สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์: 8 - 14 กรกฎาคม 2560 (อินเดีย)
1. นเรนดรา โมดี กล่าวว่าการเพิ่มขึ้นของลัทธิกีดกันทางการค้ากำลังคุกคามการแสวง ผลประโยชน์จากโลกยุคโลกาภิวัตน์
Rise in protectionism threatens gains from globalisation: Narendra Modi
Source: The Economic Times
HAMBURG: นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีของประเทศอินเดีย ได้กล่าวถึงการดำรงรักษา และขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอย่างเปิดเผยและเสรี ไว้อย่างน่าสนใจว่า ปัจจุบันการเพิ่มขึ้น และ เติบโตอย่างรวดเร็วของลัทธิกีดกันทางการค้า กำลังคุกคามการแสวงประโยชน์ทางเศรษฐกิจของ ประเทศต่างๆ ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ ทั้งนี้การแสดงความคิดเห็นดังกล่าวเกิดขึ้นในเวทีการประชุม G20 ที่มีผู้นำประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจจำนวนมากเข้าร่วมการประชุม อาทิ ประธานาธิบดี ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของประเทศจีน และผู้ชาติอื่นๆ โดย นายกรัฐมนตรีโมดี เน้นยำว่าประเทศในกลุ่มสมาชิกควรที่จะเดินไปทางเดียวกัน เพื่อดำรงรักษา ระบอบการค้าที่เปิดกว้างและเสรีบนโลก
เมื่อพูดถึงเศรษฐกิจของประเทศอินเดีย นายกรัฐมนตรีโมดี ได้ยกกรณีนโยบาย Demonetisation ที่อินเดียนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อขจัดปัญหาการทุจริตในภาคส่วนต่างๆ การส่งเสริมและเพิ่มการประยุกต์ใช้ระบบ ดิจิตอลในภาคการเงิน และการขยายสัดส่วน ของภาคส่วนเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการที่ถูก กฎหมายให้มากยิ่งขึ้น และด้วยการนี้รัฐบาลอินเดียจึงพยายามขจัดปัญหาเงินนอกระบบ ด้วยการประกาศยกเลิกธนบัตรมูลค่า 500 กับ 1,000 รูปี ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2016
นายกรัฐมนตรีโมดียังได้กล่าวเสริมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเงินทุจริต ที่ไม่ได้อยู่ในระบบ ธนาคาร โดยอาศัยการเคลื่อนเงินตราผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบันช่วยให้อินเดียลดการ ผลิตธนบัตรได้จำนวนมาก และยังส่งเสริมให้ประชาชนในอินเดียเข้าสู่ระบบมากยิ่งขึ้น อันจะช่วย ให้การเก็บภาษีสะดวกมากยิ่งขึ้น และโมดีคาดหวังว่า ผู้น าในกลุ่ม G20 จะส่งเสริมให้การดำเนินการดังกล่าวก้าวหน้าไปได้มากยิ่งขึ้น และเป็นแกนน าทางเศรษฐกิจของโลก
โมดียังกล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพยายามกีดกันการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือ ที่หลายๆ ประเทศในกลุ่มนี้พยายามกีดกัน ว่าจะน ามาซึ่งความเสียหายอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจโลก และ ผลประโยชน์ร่วมกันของประชาคมโลกในการขยายความร่วมมือ และแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ระหว่างกัน และนายกรัฐมนตรีอินเดียยังเน้นย้ าถึงเป้าหมายของประเทศที่ว่า ต้องการให้เกิดการ เติบโตและพัฒนาอย่างทั่วถึงกันของประชาชนทุกคนในประเทศอินเดีย
บทวิเคราะห์: จะเห็นได้ว่าประเทศอินเดียเริ่มมีบทบาทในเวทีโลกมากยิ่งขึ้น อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีอินเดียสะท้อนให้เห็นถึง ความพยายามเปิดกว้างจากภายนอก ซึ่งถือเป็นผลดีอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุน นอกจากนี้ผลของ นโยบาย Demonetisation ที่นายกรัฐมนตรีโมดีพยายามผลักดันยังส่งเสริมให้ภาคการเงินของ อินเดียเติบโต และเป็นระบบมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ข้อเสนอแนะ: ควรมีการศึกษาบทเรียนของประเทศอินเดีย เพื่อผลักดันให้ภาคส่วนที่ไม่ได้อยู่ในระบบ ให้สามารถเข้าสู่ระบบการเงินให้มากยิ่งขึ้น เพื่อง่ายต่อการจัดเก็บภาษี ในขณะเดียวกันควรมีการส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศอินเดียให้มากยิ่งขึ้น ในขณะที่ภาคเอกชน ที่กำลังสนใจไปลงทุนในประเทศอินเดียนั้น ช่วงเวลานี้ถือได้ว่าอินเดียมีมาตรการจำนวนมากในการ ให้ความช่วยเหลือนักลงทุนจากต่างประเทศ จึงถือเป็นโอกาสที่ดี
Source: THE ECONOMIC TIMES. July 07, 2017
2. GST Rate finder เปิดตัวเพื่อช่วยคุณตรวจสอบอัตราใหม่ในการซื้อของคุณในทุกเวลา
GST Rate finder App launched to help you check the new rate on your purchase on the go
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมารัฐบาลได้เปิดตัวแอพลิเคชั่น GST Rate Finder ซึ่งเป็นเครื่องคำนวณ อัตราภาษีทั้งหมดที่จะต้องเสียภายใต้ระบบภาษี GST
Source: The Economic Times
Vanaja Sarna ประธาน BEC กล่าวว่า แอพลิเคชั่นนี้ถือเป็นประโยชน์สำหรับลูกค้าและ ผู้บริโภคที่สามารถตรวจสอบอัตราค่าบริการ (GST) ได้จากทุกที่ โดยแอพลิเคชันดังกล่าวได้เปิดให้ ดาวน์โหลดได้ในระบบแอนดรอยด์และ iOS ซึ่งสามารถใช้ในระบบออฟไลน์ได้ โดยผู้เสียภาษี สามารถค้นหาทั้ง CGST (Central GST), SGST (State GST) และ UTGST (Union Territory GST) ในเที่ยงคืนของวันที่ 30 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมาตั้งแต่เปิดตัว GST รัฐบาลได้เริ่มให้ ความรู้เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับผู้บริโภคและผู้ค้า
ผ่านหลักสูตร "GST master" เพื่อตอบคำถาม และชี้แจงความสับสนในข้อสงสัยต่างๆเกี่ยวกับ ระบบภาษี สำหรับการปฏิรูป GST รอบใหม่นี้ถือเป็นการปฏิรูปภาษีที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดของอินเดียตั้งแต่อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ โดยคาดว่าจะทำให้GDP ของอินเดียเพิ่มขึ้น 2 เปอร์เซ็นต์
วิเคราะห์: การเปิดตัวแอพลิชั่น GST ถือเป็นช่องทางการสื่อสารที่ดีช่องทางหนึ่งสำหรับรัฐบาลในการ สร้างความเข้าใจระบบภาษีใหม่ให้กับประชาชน นอกจากนี้ยังอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆอีกด้วย
Source: THE ECONOMIC TIMES. July 08, 2017
3. การศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ค้นพบว่าอินเดียจะกลายเป็นพื้นที่การเติบโตแห่งใหม่ ของโลก และจะแซงหน้าประเทศจีน
India new global growth field, to keep lead over China : Harvard study
นิวเดลี: ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่าประเทศอินเดียจะกลายเป็นพื้นที่ การเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ของโลก ที่จะเป็นแกนกลางสำคัญในการเติบโตของโลก และจะแซงหน้าประเทศจีน เป็นผู้นำในทศวรรษที่กำลังจะมาถึง ทั้งนี้ตามการศึกษาของศูนย์การพัฒนา ระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่าอินเดียเป็นประเทศที่จะมีการเจริญเติบโตอย่าง รวดเร็วทางเศรษฐกิจต่อเนื่องจนกระทั่งถึงปี 2025 โดยคาดการณ์ว่าจะมีระดับการเติบโตเฉลี่ยอยู่ ที่ร้อยละ 7.7 อันเนื่องมาจากปัจจัยเชิงบวก หลายๆ ประการที่สนับสนุน
Source: The Economic Times
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแกนกลางการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกมีการเคลื่อนย้ายจากประเทศจีนไปยังประเทศ เพื่อนบ้านข้างเคียงอย่างอินเดีย ซึ่งน่าจะ ครอบครองความเจริญเติบโตดังกล่าวจวบจน สิ้นสุดทศวรรษหน้า การศึกษาแสดงให้เห็นถึง แนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็วของอินเดียที่มีความเป็นไปได้ที่จะมีการกระจายการลงทุนไปสู่ พื้นที่ใหม่ ๆ เนื่องมาจากอินเดียมีศักยภาพที่ยังไม่ถูกดึงมาใช้จำนวนมาก โดยตัวอย่างที่น่าสนใจคือ อินเดียมีความก้าวหน้าในการกระจายฐานการส่งออก ในภาคส่วนที่มีซับซ้อน และหลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่นกลุ่มอุตสาหกรรมสารเคมียานยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางประเภทเป็นต้น
งานการศึกษานี้ยังกล่าวเพิ่มเติบว่าความล้มเหลวของประเทศอุตสาหกรรมน้ำมันสะท้อน ให้เห็นแล้วว่าการพึ่งพิงผลผลิตเพียงไม่กี่อย่างจะนำมาซึ่งความล้มเหลวทางเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งนี้ความน่าสนใจของประเทศอย่าง อินเดีย อินโดนีเซียและเวียดนาม คือการพยายาม ดึงเอาศักยภาพที่หลากหลายมาใช้ประโยชน์ในการผลิตสินค้า ทำให้ไม่ต้องพึ่งพิงสินค้าประเภทใดประเภทหนึ่งเท่านั้น อันจะนำมาซึ่งการเติบโตที่รวดเร็วในอนาคต
โดยอินเดีย ตุรกี อินโดนีเซีย ยูกันดา และ บัลแกเรีย ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ถึงแม้ว่าทั้ง 5 ประเทศจะมีความแตกต่างกันอยู่มาก แต่ต่างแบ่งปันบางอย่างร่วมกันคือ การมุ่งเน้นส่งเสริมศักยภาพของแรงงานให้มีความหลากหลาย เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการผลิต และเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่าอินเดียกำลังจะเป็นพื้นที่เติบโตทางเศรษฐกิจแห่ง ใหม่ของโลก ที่มีความเจริญเติบโตที่สดใสจากปัจจัยบวกหลายๆ ประการ โดยเฉพาะในภาคส่วน แรงงาน จึงถือเป็นข้อดีของนักลงทุนชาวไทย ที่ต้องการขยายพื้นที่การลงทุนนอกเหนือจาก ประเทศในกลุ่ม CLMV
ข้อเสนอแนะ: เนื่องจากปัจจุบัน อินเดียมีการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ จนมี มาตรการที่เอื้อประโยชน์จำนวนมาก ในหลายๆ ภาคส่วนการผลิต หากนักลงทุนชาวไทยที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศอินเดีย ช่วงเวลานี้ถือได้ว่ามีความเหมาสมอย่างมาก ที่จะเข้ามาลงทุน รวมถึงการผลิตสินค้าเพื่อเป็นฐานส่งออกจากอินเดีย
Source: THE ECONOMIC TIMES. July 09, 2017
4. การส่งออกเหล็กลดลงต่ำสุดในรอบ 12 เดือน: รายงาน
Net steel exports tumble to the lowest level in 12 months: Research
Source: The Economic Times
การบริโภคเหล็กกล้าคาร์บอนเพิ่มขึ้นมากกว่า 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว แต่การส่งออกเหล็กลดลงสู่ระดับต่ำสุดในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา การบริโภคเหล็กโดยรวมในเดือน มิ.ย.2560 มีอัตรากำไรขั้นเพียง 5.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
บริษัท Edelweiss รายงานว่า กลุ่มผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมได้รับประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากการผลิตเหล็กกล้าคาร์บอนเพิ่มขึ้น 7.3% โดย Tata Steel และ Rashtriya Ispat Nigam ยังคงมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากการผลิตเหล็กสามารถขายได้เพิ่มขึ้น 43% และ 29% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามแม้ปริมาณการบริโภคภายในประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น แต่การส่งออกคาร์บอนสุทธิลดลง เหลือ 83,000 ตัน ต่ำสุดในรอบ 12 เดือน ผลกระทบจากการนำเข้าที่ลดลงและการส่งออกชะลอตัวลง เป็นผลสืบเนื่องจากการแข็งค่าของเงินรูปี หากความต้องการภายในประเทศยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ความสมดุลด้านอุปทานในตลาดภายในประเทศมีแนวโน้มที่จะยังคงได้รับการสนับสนุนจากราคาสินค้าส่งออกของจีนที่เพิ่มขึ้น
วิเคราะห์: การแข็งค่าของเงินรูปีส่งผลให้ธุรกิจภาคส่วนอื่นๆได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจ นำเข้า ส่งออก ส่งผลให้ธุรกิจเหล็กซึ่งเป็นอุตสาหกรรมใหญ่อุตสาหกรรมหนึ่งของอินเดีย ได้รับผลกระทบโดยตรง
Source: THE ECONOMIC TIMES. July 10, 2017
5. Niti Aayog เสนอให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานจากภาคเกษตรกรรมไปยังภาคอุตสาหกรรม
Niti Aayog for moving workforce from agriculture to industry
Source: NITI Aayog
นิวเดลี: Arvind Panagariya รองประธานของ Niti Aayog ได้เสนอให้มีการเคลื่อนย้าย แรงงานจากภาคเกษตรกรรมสู่ภาคอุตสาหกรรม และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กมีการ เติบโตที่ยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นการเร่งการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย เขายังกล่าวอีกว่า การทำให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยที่ จำเป็นมากที่สุดสำหรับเศรษฐกิจมหภาคใน ภาพรวม เนื่องจากไม่มีประเทศขนาดใหญ่ ประเทศไหนประสบความสำเร็จในการลดความ ยากจนได้หากปราศจากปัจจัยดังกล่าว
Source: The Economic Times
Panagariya กล่าวว่า “สมมติว่าผลผลิตต่อแรงงานในภาคเกษตรกรรมเท่ากับ 1 ดังนั้น ผลผลิตต่อแรงงานในภาคอุตสาหกรรมและภาคการบริการจะเท่ากับ 5 และ 3.8 ตามลำดับ กล่าวอีกอย่างคือ แม้ว่าปัจจุบันความสามารถในการผลิตในแต่ละระดับจะเพิ่มขึ้นร้อยละหนึ่งจุด แต่การเปลี่ยนแรงงานจากภาคเกษตรกรรมไปสู่ภาคอุตสาหกรรมสามารถเพิ่ม GDP ได้ร้อยละ 1.5”
ีข้อสังเกตว่า การจ้างงานอาจจะเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย เขากล่าวว่า “ผู้ประกอบการอินเดียมีศักยภาพน้อยมาก” Panagariya กล่าวว่า การเพิ่มความสามารถในการผลิตจำเป็นต้องสร้างสภาพแวดล้อม ทางนโยบายที่ช่วยให้ผู้ประกอบการของอินเดียเติบโตมากขึ้น “เราจะต้องสนใจในนโยบายที่ทำให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพน้อยเป็นการเฉพาะ ผู้ประกอบการขนาดเล็กจะต้องมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง”
รองประธานของ Niti Aayog ได้ชี้ว่า ระดับรายได้ต่อหัวประชากรกำลังจำกัดขอบเขตของการจัดสรรปันส่วนทางเศรษฐกิจ Panagariya ได้ยกตัวอย่างรัฐ Bihar ที่มีโอกาสในการจัดสรรปันส่วนทางเศรษฐกิจใหม่ น้อยกว่ารัฐ Kerala แต่รัฐ Kerala เองก็มีข้อจำกัดในการพึ่งพาการจัดสรรปันส่วนทางเศรษฐกิจใหม่ “ในทางการเมือง การจัดสรรปันส่วนทางเศรษฐกิจใหม่นั้นมีความเป็นไปได้มาก หากรายได้ในภาพรวมมีการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว”
เขายังเน้นย้ำว่าอินเดียมีเพียงสองทางเลือก หากต้องการเพิ่มงบประมาณทั้งหมดให้กับ การศึกษา สาธารณสุข และระบบสาธารณูปโภค “เราจะต้องตัดงบประมาณในส่วนอื่นออก หรือเราจะต้องเพิ่ม GDP ของประเทศ ซึ่งน่า เสียดายที่ศักยภาพในการตัดงบประมาณอื่นๆ นอกเหนือจากการศึกษา สาธารณสุข และระบบ สาธารณูปโภคนั้นมีอย่างจ ากัด ดังนั้น การเพิ่ม GDP คือทางเลือกที่ใช้ได้จริง” เขายังกล่าวถึงรัฐบาลว่า มีความสนใจในรายละเอียดว่าแต่ละกระทรวงจะต้องทำอะไรบ้าง และทำได้ดีแค่ไหน แต่ Panagariya กล่าวว่า “ในขณะที่เมื่อพูดถึงความน่าพอใจ สิ่งนี้มีผลต่อ ทางอ้อมอย่างไม่ตั้งใจจากการที่รัฐบาลละเลยยุทธศาสตร์และทิศทางของเศรษฐกิจทั้งหมด ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องให้ความสนใจในยุทธศาสตร์เศรษฐกิจที่กว้างขึ้น”
บทวิเคราะห์: Niti Aayog คลังปัญญาของรัฐบาลอินเดีย ซึ่งหากมีข้อเสนอมาจากองค์กรดังกล่าว แล้ว รัฐบาลจะรับฟังและตอบรับข้อเสนอต่างๆ ดังนั้น ข้อเสนอให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานอินเดีย จากภาคเกษตรกรรมไปยังภาคอุตสาหกรรมจะแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนให้มีการลงทุนใน ภาคอุตสาหกรรมในอินเดียมากขึ้น
Source: THE ECONOMIC TIMES. Jul 10, 2017
6. Crisil ระบุว่า การแข็งค่าของเงินรูปีจะส่งผลเสียต่อผู้ส่งออกกว่าร้อยละ 3 ในไตรมาสแรก
Rupee strengthening to hurt exporters by up to 3 per cent in Q1: Crisil
มุมไบ: บริษัทจัดอันดับขนาดใหญ่ อย่าง Crisil เตือนว่า การแข็งค่าเพิ่มขึ้นของค่าเงินรูปีร้อยละ 4 จะส่งผลต่อการส่งออกใน ไตรมาสเดือนมิถุนายน 2560 ที่อัตราร้อยละ 3 จุด และมีกำไรร้อยละ 1.5
Source: The Economic Times
Crisil ระบุว่า “การเพิ่มขึ้นของค่าเงิน รูปีต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีแนวโน้มที่จะส่งผลเสียต่อผล กำไรของผู้ส่งออกในไตรมาสแรก (งบประมาณปัจจุบัน) ซึ่งผู้ส่งออกดังกล่าวมาจากภายในประเทศและมีข้อจำกัดในการตั้งราคา” ค่าเงินรูปีต่อดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังเพิ่มขึ้นเรื่องในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และได้เพิ่มจาก 65.03 เมื่อวันที่ 3 เมษายน เป็น 64.58 เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา
เครื่องหนัง สิ่งทอ เนื้อสัตว์ อาหารทะเล และข้าวบัสมาติ เป็นสินค้าที่มีความเสี่ยงมากที่สุด ด้วยผลกระทบที่มากกว่าร้อยละ 3 จุดของการขายทั้งหมด ในขณะที่สินค้าจากเภสัชกรรมและ สารเคมีทางการเกษตรจะต่ำกว่าที่ร้อยละ 1.5 เพชรพลอยและเครื่องประดับ และภาคเทคโนโลยีสารสนเทศจะได้รับผลกระทบที่น้อย ที่สุดจากการแข็งขึ้นของค่าเงินรูปี เนื่องจากสินค้าประเภทดังกล่าวมาจากการนำเข้ามากกว่า
บริษัทดังกล่าวยังระบุอีกว่าส่วนที่สำคัญที่สุดคือผลกำไรทั้งหมดจะได้รับผลกระทบ ประมาณร้อยละ 0.5-1.5 เนื่องจากเงินกู้ต่างประเทศถูกใช้โดยผู้ส่งออกของอินเดียส่วนใหญ่ ทั้งนี้ การกู้ยืมเงินกว่าร้อยละ 50-90 มาจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม บริษัทดังกล่าวระบุว่า ประวัติความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการจะส่งผล กระทบเล็กน้อยเนื่องจากผู้ส่งออกชั้นนำในภาคเทคโนโลยีสารสนเทศ เภสัชกรรม และสารเคมี ทางการเกษตรมีก าไรจากการดำเนินงานสูงที่อัตราร้อยละ 15-25 ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบได้
นอกจากนี้ บริษัทดังกล่าวยังเตือนว่าหากค่าเงินยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ผลกระทบอาจส่งผลที่ แย่ลง แม้ผู้ส่งออกจะมีความน่าเชื่อก็ตาม Anuj Sethi ผู้อำนวยการอาวุโสของ Crisil กล่าวว่า “ในขณะที่ผู้ส่งออกส่วนใหญ่จะรอด พ้นจากผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่การเพิ่มขึ้นของค่าเงินรูปีอย่างมากๆ และต่อเนื่องจะ ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของผู้ส่งออกในภาคสินค้าที่มีความเสี่ยง” เขายังกล่าวอีกว่า การแข็งค่าของเงินรูปี การแข่งขันของค่าเงินต่างๆ และความท้าทายของ ภาคธุรกิจกำลังจำกัดศักยภาพการแข่งขันของผู้ส่งออกสินค้าในบางภาคส่วน
บทวิเคราะห์: การแข็งค่าของเงินรูปีอาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของอินเดีย แต่ เป็นโอกาสดีของภาคการส่งออกของประเทศอื่นๆ ไปยังอินเดีย ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ดี สำหรับการส่งออกของไทยไปยังอินเดีย
Source: THE ECONOMIC TIMES. Jul 11, 2017
7. Walmart ลงทุนในรัฐ Maharashtra กว่า 9 พันล้านรูปี เพื่อเปิดสาขาห้างสรรพสินค้า 15 แห่ง
Walmart to invest Rs 900 crore to open 15 outlets in Maharashtra
มุมไบ: จากรายงานของรัฐบาลกลางได้มีการระบุว่า บริษัท Walmart ซึ่งถือเป็นบริษัทข้ามชาติ สัญชาติอเมริการายใหญ่ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้าปลีก ได้มีความสนใจที่จะลงทุนในรัฐ Maharashtra ของประเทศอินเดีย เป็นเงินมูลค่ากว่า 9 พันล้านรูปี เพื่อเปิดสาขาทั้งสิ้น 15 แห่ง ด้วยกัน ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นทางการจากส านักงานมุขมนตรีแห่งรัฐ Maharashtra
Source: The Economic Times
ทั้งนี้จากรายงานมีการกล่าว เพิ่มเติมว่าการลงทุนดังกล่าวของ บริษัท Walmart จะมีส่วนสำคัญใน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ อินเดียฝั่งตะวันตกอย่างมาก และจะ ช่วยเหลือให้เกิดการจ้างงานทั้งทางตรงและท างอ้อมกว่ า 3,000 ตำแหน่งงาน ทั้งนี้กรมอุตสาหกรรม แห่งรัฐ ได้มีการลงบันทึกความเข้าใจ ระหว่างผู้แทนของบริษัท Walmart และรัฐมนตรีกรมอุตสาหกรรมแห่งรัฐ นาย Devendra Fadnavis ทั้งนี้เป้าหมายของการด ำเนินการดังกล่าว เพื่อขยายเครือข่ายความร่วมมือและการ ลงทุนระหว่างประเทศของรัฐ
สำหรับในปัจจุบันบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ อย่าง Walmart ได้มีการลงทุนไปที่เรียบร้อยแล้ว และมี 2 สาขาด้วยกันที่อยู่ในรัฐ Maharashtra คือที่เมือง Aurangabad และ Amravati ทั้งนี้ สำหรับในปัจจุบันกฎหมายของประเทศอินเดีย ยังคงมีการห้ามไม่ให้มีการลงทุนทางตรงจาก ต่างประเทศแบบเต็มจำนวน โดยเฉพาะในลักษณะของบริษัทการค้าปลีกรายใหญ่รายเดียว อันเนื่องมาจากลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้เกิดการผูกขาด อินเดียจึงพยายามให้มีคน ท้องถิ่นเข้าไปถือครองร่วมด้วย
สำหรับในปัจจุบัน Walmart India เป็นเจ้าของร้านค้าปลีกรายใหญ่กว่า 21 แห่ง ใน 9 รัฐ ของประเทศอินเดีย และมีการจัดจำหน่ายสินค้ามากกว่า 5,000 รายการ ทั่วทั้งประเทศ นอกจากนี้ Walmart India ยังมีแผนที่จะเปิดกิจการเพิ่มเติมกว่า 49 สาขา ภายในปี 2020 อีกด้วย
บทวิเคราะห์: การเข้ามาลงทุนที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ระดับโลกอย่าง Walmart สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจของอินเดีย ที่ในอนาคตจะยิ่งดึงดูด นักลงทุนจากต่างชาติมากยิ่งขึ้น อินเดียจึงเป็นที่น่าจับตามองส าหรับนักลงทุนชาวไทยที่ต้องการ ขยายตลาดการค้าอย่างยิ่ง ในทางตรงกันข้ามอินเดียจะกลายเป็นคู่แข่งส าคัญของประเทศกำลัง พัฒนาในภูมิภาคเอเชียอื่นๆ ในการดึงดูดเงินลงทุน ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย
ข้อเสนอแนะ: หากนักลงทุนชาวไทยกำลังแสวงหาแหล่งลงทุนใหม่ๆ ที่เศรษฐกิจกำลังเติบโต อินเดียถือได้ว่าเป็นเพชรเม็ดงามที่กำลังถูกเจียระไนอย่างปราณีต เพื่อเจิดจรัสในอนาคต การเข้าไปลงทุนในอินเดียในช่วงนี้ยังคงได้เปรียบอยู่มาก เพราะมาตรการช่วยเหลือหลายๆ ประการภายในประเทศ จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเปิดตลาดการค้าใหม่ๆ
Source: THE ECONOMIC TIMES. July 12, 2017
8. ภาษีนำเข้าน้ำตาลพุ่ง!!! หนุนราคาภายในประเทศ
Sugar import duty hiked to 50 per cent to support domestic prices
รัฐบาลกลางประกาศขึ้นอัตราภาษีนำเข้าน้ำตาลถึง 50% เพื่อหนุนราคาน้ำตาล ภายในประเทศภายหลังราคาน้ำตาลในตลาดโลกทรุดหนัก ทั้งนี้อุตสาหกรรมน้ำตาลคาดการณ์ว่า จะสามารถจ่ายเงินคงค้างให้กับผู้ผลิตอ้อยภายในฤดูกาลหน้าได้ซึ่งตรงกับเดือนตุลาคม 2017 ทั้งนี้ ภาษีน าเข้าน้ำตาลดิบและน้ำตาลทรายขาวภายในพิกัดภาษีที่ 1701 จะเพิ่มขึ้นจาก 40% ใน ปัจจุบันไปสู่ 50% โดยจะมีผลทันทียิ่งไปกว่านั้นคณะกรรมการกลางกรมสรรพสามิตและกรม ศุลกากรแถลงการณ์ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2560 ว่า ”การเพิ่มขึ้นของภาษีดังกล่าวยังไม่มีเวลาสิ้นสุดที่แน่ชัด”
Source: The Economic Times
T Sarita Reddy, ประธานสมาคมน้ำตาลอินเดียกล่าวว่า “เป็นเวลาที่ประจวบเหมาะอย่าง ยิ่งสำหรับการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าดังกล่าวเพื่อป้องกันอุตสาหกรรมภายใน เนื่องจากทะลักของ น้ำตาลราคาถูกจากต่างประเทศส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมน้ำตาลโดยตรง ทั้งยังส่งผลต่อราคาน้ำตาลให้ถูกลงอีกด้วย” และยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “อินเดียมีปริมาณน้ำตาลที่เพียงพอต่อความ ต้องการแล้วหลังจากการนำเข้าน้ำตาลแบบปลอดภาษีถึง 5 หมื่นล้านตันซึ่งส่วนมากเป็นน้ำตาลดิบเพื่อนำมาป้อนโรงงานภายในประเทศซึ่งถือเป็นการพยุงราคาน้ำตาลไปในตัวด้วย ทำให้ อุตสาหกรรมน้ำตาลมีสภาพคล่องที่สูงขึ้นและเพียงพอต่อการชำระสินค้าให้กับเกษตรกรผู้ผลิตอ้อย”
รัฐบาลอินเดียได้กำหนดราคาที่เป็นธรรมสำหรับสินค้าอ้อยไว้ที่ 255 รูปีต่อหนึ่งร้อย กิโลกรัมในปี2017-2018 T Sarita Reddy เสริมว่า “ การเพิ่มขึ้นของ FRP ถึง 11% ในฤดูกาล หน้าประกอบกับราคาน้ำตาลตกต่ าภายในประเทศที่ราคา 36 รูปีต่อหนึ่งกิโลกรัม ณ ต้นทุนหน้า โรงงานจะส่งผลให้ไม่สามารถซื้ออ้อยได้ในราคา 255 รูปีต่อหนึ่งร้อยกิโลกรัม ทั้งนี้เราคาดการณ์ว่า จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจากอ้อยได้ประมาณ 4.2 - 4.5 ล้านตันในปลายเดือนกันยายน 2560 ที่จะถึง ทั้งนี้ราคาน้ำตาล ณ ระดับราคา 36-37 รูปีต่อหนึ่งกิโลกรัม ณ ต้นทุนหน้าโรงงานใน ปัจจุบันถือว่ามีเสถียรภาพ”
ผู้ค้าน้ำตาลกล่าวว่า “ ราคาน้ำตาลในตลาดนิวยอร์กได้ร่วงลงมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ อันเนื่องมากจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้ตามฤดูกาลในบราซิลประกอบกับอินเดียนำเข้าน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ทั้งนี้จากราคา 20 Cents ต่อหนึ่งปอนด์ในเดือนกุมภาพันธ์ดิ่งลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ ราคา 12.58 Cents ต่อหนึ่งปอนด์แล้วเด้งกลับมาที่ 14.2 Cents ต่อหนึ่งปอนด์ในปัจจุบัน การดำเนินนโยบายเปิดกว้างทางการค้าทำให้ทั้งโรงสีน้ำตาลและโรงงานน้ำตาลกังวลถึงอุปทานส่วนเกินที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นการเคลื่อนไหวของรัฐบาลดังกล่าวเป็นที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าแล้ว”
Source: THE ECONOMIC TIMES. Jul 10, 2017
9. อินเดียพิจารณาควบคุมสินค้าน าเข้าบางประเภท เหตุกระทบอุตสาหกรรมภายใน
Restriction likely on import of items that hit local companies
Source: The Economic Times
รัฐบาลกลางอินเดียกำลังพิจารณามาตรการทางการค้าเสียใหม่ผ่านความพยายามในการ ควบคุมสินค้านำเข้า พร้อมทั้งระบุมาตรฐานของสินค้านำเข้าที่จะเข้ามาในตลาดอินเดียอย่างจริงจัง เพื่อเป็นการลดช่องว่างทางด้านการค้าลง โดยทั้งหมดที่กล่าวมานั้นถือเป็นส่วนหนึ่งในความ พยายามผลักดันนโยบาย “Make in India” ของรัฐบาลอินเดียในปัจจุบัน โดยกระทรวงพาณิชย์ อินเดียได้สั่งให้หน่วยงานต่างๆวิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอรายชื่อบริษัทหรืออุตสาหกรรมที่เสีย ส่วนแบ่งทางการตลาดไปอันเนื่องมาจากการนำเข้าสินค้าและบริการ
สำนักงานมาตรฐานอินเดีย(BIS) ได้มอบหมายให้มีการกำหนดมาตรฐานสินค้าที่จะมีผลบังคับใช้กับสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ(สินค้านำเข้า)ทั้งนี้พนักงานเจ้าหน้าที่ขององค์กรดังกล่าว กล่าวว่า “ก่อนที่เราจะดำเนินมาตรการจ ากัดทางการค้า เราจะต้องทำการวิเคราะห์ ข้อมูลการขาดดุลการค้าอย่างละเอียดเสียก่อนเนื่องจากเราแน่ใจว่าในบางอุตสาหกรรมยังจำเป็นที่ จะต้องพึ่งพาสินค้านำเข้าอยู่” โดยสินค้าที่อาจจะได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวก็คงหนีไม่ พ้น สินค้าจำพวกอุปกรณ์ทางการแพทย์ เซลล์แสงอาทิตย์เซรามิค พลาสติกบรรจุภัณฑ์และของ เล่นเด็กที่อินเดียขาดดุลทางการค้าเป็นจำนวนมาก โดยอินเดียขาดดุลการค้าในปี 2016-2017 รวมทั้งสิ้น 105.7 แสนล้านรูปีทั้งนี้ The national treatment ให้การยืนยันว่าการผลักดัน มาตรการดังกล่าวจะสอดคล้องกับข้อกำหนดทางการค้าของ WTO
ยิ่งไปกว่านั้นกระทรวงดังกล่าวมีความต้องการผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐต่างๆให้เข้า ร่วมประชุมในการกำหนดมาตรฐานสากลเพื่อปรับใช้กับอินเดีย นอกจากนี้การควบคุมการขาดดุล ทางการค้าของอินเดียควบคู่กับการมีมาตรฐานทางสินค้าที่สอดคล้องกับค่านิยมของสังคมโลกจะ เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศของอินเดียให้มีความสามารถในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอุตสาหกรรมแสดงความคิดเห็นว่า “ผู้บริโภคจะได้รับ ผลประโยชน์อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่ออุตสาหกรรมภายในประเทศต่างพร้อมใจกันปรับมาตรฐานสินค้า ให้ตรงตามที่กำหนดขณะที่ความสำเร็จของนโยบายดังกล่าวต่างขึ้นอยู่กับว่าใช้มาตรฐานอะไรและ ระยะเวลาที่บริษัทต้องปฎิบัติตามนั้นยาวนานแค่ไหน”
Source: The Economic Times
Source: THE ECONOMIC TIMES. Jul 12, 2017
10. การจัดซื้อผ่านแพลตฟอร์ม e-market ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 20-30%
Procurement through e-market platform has cut prices by 20-30%
Source: The Economic Times
การจัดซื้อผ่านแพลตฟอร์ม e-Market ของรัฐบาล (Government e-Market: GeM) ทำให้ได้สินค้าและบริการในต้นทุนที่ลดลงประมาณ 20-30% เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้กล่าวโดย Nirmala Sitharaman รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม รัฐบาลกลางและรัฐบาลของแต่ละรัฐ(The Central and state governments) ได้จัดซื้อสินค้าและบริการมูลค่ากว่า 5 พันล้านรูปีต่อปียิ่งไปกว่านั้น GeM สามารถช่วยประชนชนผู้ เสียภาษีในการประหยัดค่าใช้จ่ายได้จำนวนมาก รัฐมนตรี Sitharaman ได้กล่าวในการประชุมเชิง ปฏิบัติการการให้คำปรึกษาระดับชาติในวันอังคารที่ผ่านมา
"ถ้านั่นคือจำนวนเงินที่ผู้เสียภาษีที่ถูกนำไปใช้ในการใช้จ่ายในการจัดซื้อสินค้าให้กับ รัฐบาล จะต้องมีกระบวนการที่โปร่งใสและเปิดเผย ดังนั้น GeM มาใช้นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง" รมว. Sitharaman กล่าว
ทั้งนี้ มีรัฐจำนวน ห้ารัฐและ Union Territory อาทิ รัฐคุชราต รัฐอรุณาจัลประเทศ และ รัฐเตลังกานา ลงนามในบันทึกข้อตกลง GeM เมื่อวันอังคารเพื่อจัดหาสินค้าและบริการ ภายใต้ Smart procurement of goods and services. ซึ่งด้วยข้อตกลงนี้รัฐต่างๆจะวางกลไกในการทำให้กรอบ GeM ดำเนินการได้อย่างราบรื่น รัฐมนตรีพาณิชย์อินเดีย กล่าวเสริมว่า ยินดีที่ GeM ได้รับการยอมรับว่าเป็นพอร์ทัลการ จัดซื้อทางอิเล็กทรอนิกส์ระดับประเทศ ที่สำคัญที่สุดคือผู้ขายไม่จำเป็นต้องสูญเสียเวลาไปกับการ รอรับการชำระเงินจากลูกค้า ซึ่งใช้เวลาถึง 10 วันนับจากวันส่งมอบสินค้า
เจ้าหน้าที่อาวุโสกว่า 300 คนที่จัดการกิจกรรมการจัดซื้อจัดจ้างในหน่วยงานของรัฐเช่น finance, treasuries, IT & e-governance, general admin, industry & commerce, women & child development (WCD), food, board of revenue และหน่วยงานอื่น ๆที่มีบทบาทใน การจัดกิจกรรมการจัดซื้อ ได้เข้าร่วมในการประชุมเชิงปฏิบัติการเป็นเวลาสองวัน นอกจากนี้คาด ว่าผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่กว่า 200 รายใน GeM จะเข้าร่วมด้วย
Source: THE BUSINESS LINE. July 11, 2017