MNCs มุ่งหน้าลงทุนในรัฐคุชราต
รัฐคุชราตยังคงเป็นรัฐที่ได้รับความสนใจจากบรรษัทข้ามชาติ (Multinational Corporations) เข้าไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทเนสเล่ อินเดีย (Nestle India) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัทเนสเล่ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ได้ประกาศจะเข้าไปเปิดโรงงานแห่งที่ 9 ในประเทศอินเดียที่เมืองสานันท์ (Sanand) ในรัฐคุชราต ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการผลิตสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์นม (Dairy Products) ที่สำคัญของอินเดีย โดยมีกลุ่มสหกรณ์ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมยี่ห้อ Amul รายใหญ่ของอินเดียตั้งอยู่ที่เมืองนี้เช่นกัน โดยเมืองสานันท์นี้อยู่ห่างจากเมืองอาห์เมดาบาด (Ahmedabad) ประมาณ 30 กิโลเมตร
บริษัทเนสเล่ อินเดียมีโครงการลงทุนในโรงงานแห่งที่ 9 ที่รัฐคุชราตเป็นเงิน 4,000 ล้านรูปี (ประมาณ 2,400 ล้านบาท) โดยขณะนี้ได้ทำการจัดซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งบริหารจัดการโดยบรรษัทพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งรัฐคุชราต (The Gujarat Industrial Development Corporation: GIDC) เรียบร้อยแล้วจำนวน 50 เอเคอร์ (ประมาณ 125 ไร่) ในราคา 13 ล้านรูปี (ประมาณ 7.8 ล้านบาท)ต่อเอเคอร์ หรือ 5.20 ล้านรูปี (ประมาณ 3.12 ล้านบาท)ต่อไร่ อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวว่าการขยายโรงงานเข้าไปที่เมืองสานันท์ของบริษัทเนสเล่ อินเดียในครั้งนี้ได้รับการต่อต้านจากสหพันธ์สหกรณ์การตลาดผลิตภัณฑ์นมแห่งรัฐคุชราต (Gujarat Co-operative Milk Marketing Federation: GCMMF) เนื่องจากสหพันธ์สหกรณ์ฯ นี้เป็นองค์กรการตลาดที่ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมที่ใหญ่ที่สุดของอินเดียที่ดำเนินการในลักษณะสหกรณ์ ผลิตและจำหน่ายสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์นมยี่ห้อ Amul ทั่วประเทศอินเดีย มียอดขายในปี 2554-2555 มูลค่า 116,680 ล้านรูปี (ประมาณ 70,000 ล้านบาท) โดยรับซื้อนมสดจากสมาชิกจำนวน 3.18 ล้านคนวันละ 13 ล้านลิตร ซึ่งสินค้าของบริษัทเนสเล่ อินเดีย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์นมเช่นเดียวกันอาจจะกลายเป็นคู่แข่งของสหพันธ์สหกรณ์ฯ ดังกล่าวได้ แต่คาดว่าถึงอย่างไรบริษัทเนสเล่ อินเดียก็จะเดินหน้าเปิดโรงงานแห่งที่ 9 ที่เมืองสานันท์ ในรัฐคุชราตต่อไป เพราะรัฐคุชราตซึ่งนำโดยมุขมนตรีคนสำคัญ คือ นายนเรนทรา โมดี มีนโยบายที่ชัดเจนในการดึงดูดการลงทุนเข้าไปในรัฐและมุขมนตรีท่านนี้ก็มีสไตล์การบริหารแบบเด็ดขาดชัดเจน จึงไม่น่าจะมีปัญหาใดๆเกิดขึ้นสำหรับการเปิดโรงงานแห่งใหม่ของบริษัทเนสเล่ อินเดีย ในรัฐคุชราตในครั้งนี้
สำหรับบริษัทเนสเล่ อินเดียเริ่มเข้าไปตั้งโรงงานผลิตสินค้าในประเทศอินเดียตั้งแต่ปี 2504 ที่เมือง Moga รัฐปัญจาบ หลังจากนั้นก็ได้ขยายเข้าไปลงทุนจัดตั้งโรงงานในรัฐอื่นๆ คือ รัฐทมิฬนาดู รัฐกรณาฏกะ รัฐหรยาณา รัฐกัว (มี 2 แห่ง) รัฐอุตตราขัณฑ์ และรัฐหิมาจัลประเทศ (เมือง Tahilwal) จำนวนรวม 8 โรงงาน ส่วนโรงงานล่าสุดที่เมืองสานันท์ รัฐคุชราตนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะเริ่มผลิตสินค้าประเภทอาหารเช้า (Breakfast Cereal) ซึ่งเป็นสินค้าที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญมากที่สุดเพื่อรองรับความต้องการของตลาดอินเดียได้ภายในปีนี้
นอกจากบริษัทเนสเล่ อินเดียแล้ว ยังมีบรรษัทต่างชาติที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค (Fast Moving Consumer Goods: FMCG) ในอินเดียอื่นๆได้ทะยอยกันเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตในรัฐคุชราตเช่นกัน ได้แก่ บริษัท Colgate-Palmolive บริษัท Amway India และบริษัท Teva-Procter & Gamble โดยบริษัท Teva-Procter & Gamble ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท Teva Pharmaceutical Industries ของอิสราเอลกับบริษัท Procter & Gamble ของสหรัฐอเมริกามีโครงการจะเปิดโรงงานผลิตสินค้าแห่งแรกในประเทศอินเดียที่เมืองสานันท์ในเร็วๆนี้ ส่วนบริษัท Colgate-Palmolive มีแผนที่จะลงทุนมูลค่า 2,000 ล้านรูปี (ประมาณ 1,200 ล้านบาท) เพื่อเปิดโรงงานผลิตสินค้าภายในปี 2557 และบริษัท Amway India มีแผนที่จะลงทุนมูลค่า 4,000 ล้านรูปี (ประมาณ 2,400 ล้านบาท) เพื่อเปิดโรงงานผลิตสินค้าแห่งแรกของบริษัทฯ ที่รัฐนี้ในประเทศอินเดีย
ปัจจุบัน รัฐคุชราตมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งทางด้านเศรษฐกิจของอินเดีย เนื่องจากเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของอินเดียหลายสาขาทำให้มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมากด้วยอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของรัฐที่พัฒนาแล้วของอินเดียรัฐอื่นๆและที่สำคัญเป็นรัฐที่นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้าไปลงทุนมากที่สุด ทั้งนี้ จากข้อมูลของสมาคมหอการค้าและอุสาหกรรมแห่งอินเดีย หรือ Assocham ระบุว่า ณ สิ้นปี 2554 มีการลงทุนเฉพาะใน 5 รัฐ (จาก 20 รัฐสำคัญ) ของอินเดีย คือ คุชราต มหาราษฏระ อานธรประเทศ โอริสสา และกรณาฏกะ (ตามลำดับ) รวมกันเป็นมูลค่า 120.34 ล้านล้านรูปี (ประมาณ 78.22 ล้านล้านบาท) คิดเป็นร้อยละ 53.56 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด โดยรัฐคุชราตสามารถดึงดูดเงินลงทุนได้มากที่สุดเป็นมูลค่า 16.28 ล้านล้านรูปี (ประมาณ 10.58 ล้านล้านบาท) นอกจากนี้ รัฐคุชราตยังถือเป็น Petro Capital ของอินเดีย โดยมีอุตสาหกรรมการผลิตปิโตรเคมีร้อยละ 30 และอุตสาหกรรมเคมีและเวชภัณฑ์ร้อยละ 50 ของปริมาณการผลิตในประเทศอินเดีย และยังมีอุตสาหกรรมที่สำคัญอีกอุตสาหกรรมหนึ่ง คือ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ที่กำลังมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วท้าทายรัฐคู่แข่งอย่างรัฐทมิฬนาดูอย่างไม่เกรงใจ โดยบริษัท General Motors ก็ได้ใช้รัฐคุชราตเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์อีกด้วย
สำหรับบริษัทไทยที่สนใจจะเข้าตลาด Fast Moving Consumer Goods: FMCG ในอินเดีย ควรจะเข้าไปลงทุนเพื่อผลิตสินค้าและจัดจำหน่ายในตลาดอินเดียเลยจึงจะสามารถแข่งขันได้ เพราะปัจจุบันสินค้าดังกล่าวการแข่งขันสูงมาก ไม่เฉพาะการแข่งขันกับบริษัทอินเดียเท่านั้น แต่ยังต้องแข่งขันกับบรรษัทข้ามชาติจากประเทศต่างๆที่เข้าไปลงทุนในประเทศอินเดียอีกด้วย การพึ่งพาการส่งออกจากประเทศไทยเข้าไปจำหน่ายในตลาดอินเดียเพียงลำพัง น่าจะแข่งขันได้ยากเนื่องจากสินค้าไทยที่เข้าตลาดโดย Export Mode จะประสบปัญหาเรื่องต้นทุนสูงจากค่าขนส่ง ค่าภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ รวมทั้งปัญหาเรื่องระบบ Logistic ในประเทศอินเดียที่ทำให้เกิดความล่าช้าและทำให้สินค้าเสียหายระหว่างการขนส่งอีกด้วย
อุปสรรคใหญ่ที่สุดก็คือ ถ้าสินค้าที่ประเทศไทยส่งออกไปอินเดียเป็นสินค้าที่สามารถผลิตได้ในประเทศอินเดียไม่ว่าจะเป็นการผลิตโดยบริษัทอินเดียหรือโดยบรรษัทข้ามชาติที่เข้าไปลงทุนในประเทศอินเดียก็ตาม ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทยจะไม่มีเลย คือ ไม่สามารถแข่งขันได้เพราะสินค้าไทยจะราคาสูงมาก ยกเว้นสินค้าที่ประเทศไทยสามารถผลิตได้โดยที่ไม่มีการผลิตในประเทศอินเดียเท่านั้นจึงจะสามารถทำตลาดด้วยการส่งออกได้
รัฐคุชราตเป็นรัฐที่ผู้ประกอบการไทยควรให้ความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากเป็นรัฐที่ได้รับการวางแผนและพัฒนาเป็นอย่างดี ไม่มีปัญหาเหมือนรัฐอื่นๆ ผู้บริหารของรัฐโดยเฉพาะมุขมนตรี (นายนเรนทรา โมดี) มีวิสัยทัศน์และมีความเด็ดขาดชัดเจน ถ้าผู้ประกอบการไทยจะเข้าไปลงทุนเพื่อผลิตและจำหน่ายสินค้าป้อนตลาดอินเดียตามยุทธศาสตร์ที่สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบเสนอไว้ รัฐคุชราตเป็นรัฐที่เหมาะสมที่สุด พิจารณาได้จากการที่บรรษัทข้ามชาติต่างๆได้ทะยอยกันเข้าไปลงทุนเป็นระยะๆ
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ
สิงหาคม 2555
สำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐคุชราต สามารถเข้ารับฟังการบรรยายจากวิทยากรจากหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนของรัฐคุชราตได้ในสัมมนา Doing Business in India: Forum for Thai Executives วันที่้ 14 กันยายน 2555 ที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินี กรุงเทพฯ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ