ข่าวร้ายและข่าวดีของโมดีในเดือน พ.ย. 2558
ข่าวร้ายและข่าวดีของโมดีในเดือน พ.ย. 2558
ช่วงต้นเดือนนี้เป็นช่วงที่นายกรัฐมนตรีโมดีของอินเดียคงต้องทำใจ เมื่อเผชิญกับความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปในการเลือกตั้งท้องถิ่นซึ่งประกาศผลเมื่อวันที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา แต่ก็ยังดีที่ได้รับการปลอบใจจากข่าวดีหลายเรื่องเกี่ยวกับแนวโน้มภาคเศรษฐกิจอินเดียที่ดีขึ้น
ข่าวร้ายก็คือ การพ่ายแพ้ของนายโมดีและพรรค BJP ในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติของรัฐพิหาร (Bihar) ซึ่งเป็นรัฐที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 3 ของอินเดีย (ประชากร 104 ล้านคน) การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างนโยบายการพัฒนา (Development Agenda) ของนายโมดี กับการใช้ฐานเสียงจัดตั้งโดยไม่ต้องสนใจเรื่องนโยบายพัฒนาของกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นเดิม นำโดยนาย Nitish Kumar หัวหน้าพรรค Janata Dal (United) หรือ JDU และเป็นมุขมนตรีของรัฐคนปัจจุบัน กับกลุ่มของนาย Lalu Prasad Yadav หัวหน้าพรรค Rashtriya Janata Dal (RJD) ซึ่งเป็นนักการเมืองรุ่นเก๋าที่จับมือเป็นพันธมิตรกับนาย Kumar เพื่อตีกันไม่ให้พรรค BJP ของนายโมดีมาแจ้งเกิดในรัฐพิหารได้สำเร็จ การรณรงค์เป็นไปอย่างเข้มข้นจนถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งก็ปรากฏว่านักการเมืองท้องถิ่นที่เพียงอาศัยคำมั่นสัญญาใจและประชานิยมแบบเดิม ๆ ก็สามารถเอาชนะนโยบายการพัฒนาของโมดีไปได้ โดยมีปัจจัยเสริมมาจากประเด็นเรื่องการแบ่งชั้นวรรณะ บวกความไม่ไว้วางใจพรรค BJP โดยชาวมุสลิมที่เห็นว่าพยายามผลักดันความเป็นรัฐฮินดูมากเกินไป ทำให้นายโมดีที่แม้จะชนะการเลือกตั้งระดับประเทศอย่างท่วมท้นเมื่อ 20 เดือนก่อนต้องมาพ่ายแพ้อย่างหมดรูปในการเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นครั้งที่ 2 หลังจากพ่ายแพ้มาแล้วในการเลือกตั้งสภากรุงนิวเดลีก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี แม้จะเผชิญกับข่าวร้ายจากการเมืองภายในประเทศ แต่นายโมดีก็ได้รับการปลอบใจด้วยข่าวดีที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นจากต่างประเทศต่อการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจอินเดีย ซึ่งก็น่าจะเป็นสิ่งที่ภาคเอกชนนักธุรกิจไทยที่กำลังมองตลาดอินเดียน่าจะให้ความสนใจ
ข่าวดีประการแรกคือ อินเดียได้รับการปรับอันดับความง่ายในการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business)อย่างก้าวกระโดดจากอันดับที่ 142 ในรายงานสำหรับปี ค.ศ. 2015 มาเป็นอันดับที่ 130 ในรายงานสำหรับปี ค.ศ. 2016 การจัดอันดับดังกล่าวดำเนินการโดยธนาคารโลกทุกปีจากบรรดา 189 ประเทศทั่วโลก ซึ่งก็ถือว่าไม่ธรรมดาเพราะก้าวพรวดขึ้นมาถึง 12 อันดับภายใน 1 ปี ในขณะที่อันดับความง่ายในการทำธุรกิจของไทยตกลงจากอันดับที่ 26 มาเป็น 49 ในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วนประเทศที่ยังครองอันดับหนึ่งในเรื่องความง่ายในการทำธุรกิจต่อไปคือ สิงคโปร์
ตั้งแต่ที่นายโมดีขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ตั้งเป้าหมายที่จะแก้ปัญหาเรื่องกฏระเบียบที่ไม่เอื้ออำนวย ความยากในการซื้อที่ดินหรือการขอใบอนุญาติประกอบธุรกิจต่าง ๆ นายโมดีได้ตั้งเป้าที่จะปรับปรุงอันดับความง่ายในการทำธุรกิจของอินเดียให้อยู่ในอันดับที่ 50 เป็นอย่างน้อยภายในปี 2560 ดังนั้น การปรับอันดับที่ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดในปีนี้จึงเป็นทิศทางที่น่าพอใจ อย่างไรก็ดี ภายหลังการเปิดเผยรายงานข้างต้น นายอรุณ เชฏลี รัฐมนตรีคลังของอินเดียก็ยังไม่ค่อยพอใจ โดยให้สัมภาษณ์ว่าการจัดอันดับยังมิได้สะท้อนภาพที่แท้จริงของอินเดีย เพราะยังเป็นการประเมินการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน 2 เมืองหลักคือ กรุงนิวเดลี และนครมุมไบ ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลนายโมดีถือเป็นนโยบายหลักที่จะให้รัฐทุกรัฐปรับปรุงเรื่องกฏระเบียบและขั้นตอนการขอใบอนุญาติประกอบธุรกิจทั่วประเทศให้มีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลกลางของอินเดียก็กำลังผลักดันแก้กฏหมายที่ดิน และกฏหมายเพื่อนำเอาอัตราภาษีสินค้าและบริการ (Goods and Services Taxes) ในอัตราเดียวกันมาใช้ทั่วประเทศด้วย ซึ่งควรส่งผลให้การปรับอันดับความง่ายในการทำธุรกิจในอินเดียดีขึ้นอีก
ข่าวดีประการที่สองคือ อินเดียได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีมูลค่าของชื่อเสียงประเทศ (Nation Brand) มากเป็นอันดับที่ 7 ของโลกจากจำนวน 100 ประเทศ โดยนิตรสาร BrandFinance เป็นผู้ทำการประเมินครั้งนี้ การประเมินและจัดอันดับมูลค่าดังกล่าวดูจากความเข้มแข็งและมูลค่าแบรนด์อินเดียในช่วง 5 ปีติดต่อกันว่าเป็นที่ยอมรับและมีมูลค่าเท่าไร ทั้งนี้ประเทศที่มีมูลค่าแบรนด์สูงสุดอันดับ 1 - 6 คือ สหรัฐ (มูลค่าแบรนด์ 19.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) รองลงมาคือ จีน เยอรมนี อังกฤษ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส ส่วนอินเดียมาเป็นอันดับที่ 7 มีมูลค่าแบรนด์เท่ากับ 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 32) สำหรับสโลแกนที่ทำให้อินเดียเป็นที่รู้จักทั่วโลกก็คือ “ความเหลือเชื่อของอินเดีย (Incredible India)” ซึ่งมีขึ้นตั้งแต่ปี 2545 และโด่งดังเป็นปัจจัยดึงดูดให้คนต่างชาติเข้าไปเที่ยวอินเดียมากขึ้น คนที่คิดสโลแกนนี้ก็คือนาย Amitabh Kant ที่ปัจจุบันเป็นปลัดกระทรวงด้านการส่งเสริมการลงทุนของกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดีย นาย Khan ได้เดินทางมากล่าวให้ความรู้และเชิญชวนภาคเอกชนไทยให้เข้าไปลงทุนในอินเดียในงานสัมมนาธุรกิจที่จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงนิวเดลี สถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่โรงแรมดุสิตธานีเมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2558 นี้เอง
ข่าวดีประการที่สามคือ สถาบันมูดี้ส์ (Moody’s Investors Service) ปรับอันดับแนวโน้มความน่าเชื่อถือของภาคธนาคารอินเดียจาก “ยังมีความเสี่ยง (Negative Outlook)” มาเป็น “มีเสถียรภาพ (Stable Outlook)” เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2558 สถาบันมูดี้ส์เป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือเพื่อบริการนักลงทุนชั้นนำ ซึ่งออกรายงานการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินต่าง ๆ ทั่วโลก ในครั้งนี้ก็เป็นการยืนยันว่าภาคธนาคารของอินเดียมีความเข้มแข็งมากขึ้น หลังจากมีการลดภาระหนี้เสีย (NPLs) ในภาคการเงินลงต่ำกว่าร้อยละ 4.8 และการดำเนินนโยบายปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการประกอบธุรกิจที่ดีขึ้นมาตั้งแต่ปี 2554 นอกจากนี้รัฐบาลอินเดียก็ยังประกาศที่จะอัดฉีดเงินจำนวนกว่า 7 แสนล้านรูปี (3.5 แสนล้านบาท) เพื่อสนับสนุนธนาคารและสถาบันการเงินของรัฐให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในช่วง 4 ปีข้างหน้าด้วย
ขณะนี้เศรษฐกิจอินเดียกำลังมีทิศทางที่สดใส เมื่อเร็ว ๆ นี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก็ได้ประเมินแล้วว่าอินเดียจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุดในโลกแทนประเทศจีนปีนี้ (อัตราการขยายตัวของ GDP ร้อยละ 7.5) อินเดียเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับไทย มีชนชั้นกลางที่จะเพิ่มขึ้นจาก 318 ล้านคนเป็น 523 ล้านคนภายในปี 2568 (ตามรายงานของบริษัทที่ปรึกษา McKinsey Global Institute - MGI) ซึ่งจะกลายเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ที่มีความต้องการซื้อคล้ายคลึงกับบ้านเรา แน่นอนว่าอุปสรรคและความท้าทายก็ย่อมต้องมีบ้าง แต่หากจะรอให้คนอื่นเข้ามาชิมลางก่อน ผมก็ไม้รู้ว่าจะเหลืออะไรให้นักลงทุนไทยอีก
สุนทร ชัยยินดีภูมิ