เมื่อสัปดาห์ก่อน มีรายงานในสื่ออินเดียว่า คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านเศรษฐิจของรัฐบาลอินเดีย นำโดยนายอาร์บิน มายาราม ปลัดกระทรวงคลังอินเดียด้านเศรษฐกิจ ได้เสนอแผนการปรับขยายเพดานการลงทุนตรงจากต่างชาติ หรือ FDI ให้ ครม. อินเดียพิจารณา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้เคยประกาศขยายเพดาน FDI ไปแล้วระลอกหนึ่ง ทั้งในสาขาค้าปลีกและการบิน แต่ยังกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ตามเป้า
การเสนอแผนดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่อินเดียกำลังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้อินเดียจะเพิ่มกำแพงภาษีนำเข้าทอง หรือพยายามลดการนำเข้าน้ำมัน ผนวกกับค่าเงินรูปีที่ตกลงไปถึงจุดที่อ่อนที่สุดในประวัติการณ์ เกือบ 60 รูปีต่อดอลลาร์ ทำให้รัฐบาลอินเดียต้องเร่งหามาตรการดึงดูดเงินทุนเอาไว้ เพื่อใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจ
โดยกลุ่มธุรกิจที่ได้รับการเสนอให้มีการเพิ่มเพดาน FDI ได้แก่ ค้าปลีกทั้งแบรนด์เดียวและหลายแบรนด์ การบิน เภสัชกรรม พลังงาน ไร่ชา สื่อสิ่งพิมพ์ โรงกลั่นน้ำมัน โทรคมนาคม อาวุธยุทโธปกรณ์ ธนาคาร ประกันชีวิตและกองทุนเกษียณอายุ โดยหวังจะขยายเพดานต่ำสุดจากเดิม 26% เป็น 49% และสูงสุด 100% ในหลายสาขา เช่น โทรคมนาคม และการบินแบบ non-scheduled air transport service
สำหรับสาขาการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ มีการเสนอขอให้รัฐบาลอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนถือหุ้นได้เป็น 49% จากเดิม 26% แต่ต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลอินเดียก่อน ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่า น่าจะถูกใจชาติยักษ์ใหญ่ด้านการผลิตอาวุธ โดยเฉพาะสหรัฐที่พยายามล้อบบี้อินเดียมาโดยตลอด ขณะที่สาขาการธนาคาร โดยเฉพาะธนาคารสาธารณะ (PSU) มีการเสนอเพิ่มเพดาน FDI จากเดิม 20% เป็น 49%
ในสาข้าค้าปลีก โดยเฉพาะประเภทหลายแบรนด์ ซึ่งมาตรการเดิมที่ขยายให้ต่างชาติลงทุนได้ถึง 49% เมื่อปลายปีที่แล้ว ยังไม่สามารถดึงดูดค้าปลีกข้ามชาติรายใหญ่อย่าง Walmart หรือ Tesco ได้ คณะกรรมนี้จึงเตรียมเสนอให้รัฐบาลเพิ่มขอบเขต FDI เป็น 74% โดยต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลก่อนเช่นกัน
แต่สาขาที่น่าติดตามคือประกันชีวิตและกองทุนเกษียณอายุ ที่แม้รัฐบาลจะพยายามผลักดันการเพิ่มเพดานการลงทุนจาก 26% เป็น 74% ตามคำเรียกร้องของประเทศตะวันตก โดยเฉพาะอียูที่ใช้เรื่องนี้เป็นข้อแม้ในการบรรลุความตกลงเอฟทีเอกับอินเดีย แต่เป็นเรื่องที่จะต้องนำเข้าสภาเพื่อขอรับการอนุมัติ ทำให้ยังติดขัด ด้วยความร้อนแรงของการเมืองที่เพิ่มขึ้นในช่วงใกล้กำหนดเลือกตั้งทั่วไปต้นปีหน้า
ทั้งนี้ คาดว่าคณะรัฐมนตรีอินเดียจะสามารถพิจารณาและประกาศผลการขยายเพดาน FDI ตามที่คณะนายมายารามเสนอได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงความเร่งด่วนที่เป็นผลมาจากปัจจัยภายนอก ได้แก่เศรษฐกิจสหรัฐที่เริ่มกลับสู่ภาวะปกติ รัฐบาลสหรัฐเตรียมหยุดมาตรการพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์จำนวนมากไหลย้อนกลับไปยังสหรัฐ
ปัจจุบัน อินเดียขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ประมาณ 5% ของ GDP ขณะที่ธนาคารกลางอินเดียระบุว่า ระดับการขาดดุลที่อินเดียจะรับได้ หากต้องการให้ GDP เติบโตตามเป้า 8% จะต้องไม่เกิน 2.5% ของ GDP ขณะที่อัตราการเติบโตของ GDP อยู่ที่เพียง 5% ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี
ประพันธ์ สามพายวรกิจ
รายงานจากกรุงนิวเดลี
24 มิถุนายน 2556