อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าของอินเดีย
อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าของอินเดีย
Tata Steel plant, Jamshedpur (Source: Tata Steel Website)
อินเดียเป็นประเทศผู้ผลิตเหล็กกล้าดิบ (Crude Steel) ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากจีน โดยมีปริมาณการผลิตในปี ค.ศ. 2023 อยู่ที่ 143.6 ล้านตัน ในขณะเดียวกันอินเดียเป็นประเทศผู้บริโภคผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูปขั้นปลาย (Finished Steel) ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากจีนเช่นกัน มีปริมาณการใช้ผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูปอยู่ที่ 136 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 อุตสาหกรรมเหล็กของอินเดียมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 2 ของ GDP อินเดีย มีการจ้างงานประมาณ 2.5 ล้านคน
ในอดีตที่ผ่านมา อินเดียเป็นประเทศผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กออกสู่ตลาดโลก มีปริมาณการส่งออกกว่า 7.5 ล้านตันต่อปี แต่ปัจจุบัน อินเดียกลายเป็นประเทศผู้นำเข้าเหล็กจากต่างประเทศ โดยมีปริมาณการนำเข้าประมาณ 8.3 ล้านตัน โดยประเทศผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กมายังอินเดียที่สำคัญ ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เวียดนาม และรัสเซีย อุตสาหกรรมเหล็กของอินเดียกำลังประสบกับภาวะราคาตกต่ำ แม้ว่าความต้องการภายในประเทศจะเพิ่มขึ้นก็ตาม เนื่องมาจากปริมาณการส่งออกที่ลดลง และปริมาณการนำเข้าเหล็กราคาถูกจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
Indian Steel Association (ISA) ซึ่งเป็นสมาคมของผู้ผลิตเหล็กกล้าของอินเดียให้เหตุผลของปัญหาที่เกิดขึ้นว่า เนื่องจากประเทศผู้ผลิตเหล็กรายสำคัญ ๆ ให้การอุดหนุนอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศของตน โดยเฉพาะจีน ซึ่งนอกจากจะอุดหนุนอุตสาหกรรมเหล็กของตนเองแล้ว ยังต้องการที่จะระบายเหล็กที่ผลิตออกมาเกินความต้องการของตลาดภายในประเทศออกสู่ตลาดโลกในราคาถูกอีกด้วย ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงการที่จีนส่งออกเหล็กมายังอินเดียผ่านประเทศที่ 3 อีกด้วย ในขณะที่ผลิตภัณฑ์เหล็กของอินเดียต้องประสบกับปัญหาโครงสร้างการเก็บภาษี และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ไม่เป็นธรรม ทำให้ผลิตภัณฑ์เหล็กของอินเดียไม่สามารถแข่งขันกับผลิตภัณฑ์เหล็กนำเข้าได้อย่างเท่าเทียม พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน
บรรดาผู้ผลิตเหล็กและเหล็กกล้ารายสำคัญของอินเดีย อาทิ Tata Steel Limited, Steel Authority of India Limited (SAIL), JSW Steel Limited, ArcelorMittal Nippon Steel India และ Jindal Steel and Power Limited (JSPL) ต่างมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตของตนเพื่อรองรับปริมาณความต้องการภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ประสบกับการแข่งขันจากเหล็กนำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาต่ำกว่า ทำให้แผนการเพิ่มกำลังการผลิตต้องชะลอออกไป
นอกจากนี้ การที่อุตสาหกรรมเหล็กของอินเดียส่วนมากยังคงใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบเก่า ที่เรียกว่า Integrated Blast Furnace – Basic Oxygen Furnace (BF-BOF) ซึ่งปล่อยคาร์บอนขึ้นสู่บรรยากาศในปริมาณเฉลี่ย 2.55 ตัน ต่อการผลิตเหล็กกล้า 1 ตัน (สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่อยู่ที่ 1.9 ตันต่อเหล็กกล้า 1 ตัน) ทำให้อุตสาหกรรมเหล็กของอินเดียปล่อยคาร์บอนขึ้นสู่บรรยากาศคิดเป็นร้อยละ 12 ของปริมาณการปล่อยคาร์บอนโดยรวมของอินเดีย น่าจะส่งผลให้ประเทศผู้นำเข้าเหล็กจากอินเดียเริ่มหันไปให้ความสนใจที่จะนำเข้าเหล็กที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ในระหว่างการสัมมนา ISA Steel Conclave จัดโดย ISA เมื่อเดือนกันยายน 2567 นาย Piyush Goyal รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดีย ได้กล่าวให้ความมั่นใจกับผู้ผลิตเหล็กกล้าของอินเดียว่า รัฐบาลอินเดียตระหนักดีถึงปัญหาเหล็กกล้าราคาถูกนำเข้าจากต่างประเทศ และอยู่ในระหว่างการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในขณะที่ผู้ผลิตเหล็กกล้าของอินเดียเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการด้านภาษีเพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมเหล็กกล้าภายในประเทศ อาทิ การออกมาตรการที่เรียกว่า Bharat Border Adjustment Mechanism (BBAM) โดยเรียกเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 8-12 สำหรับเหล็กกล้านำเข้าจากต่างประเทศ เป็นต้น ในลักษณะเดียวกับที่ EU มีแผนที่จะนำมาใช้เร็ว ๆ นี้
รัฐบาลอินเดีย ได้จัดทำ The National Steel Policy ๒๐๑๗ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มปริมาณการผลิตเหล็กกล้าภายในประเทศเป็น 300 ล้านตันภายในปี ค.ศ. 2030 และเป็น 500 ล้านตันภายในปี ค.ศ. 2047 เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และในขณะเดียวกันรัฐบาลอินเดียก็มีเป้าหมายที่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2070 ทำให้อุตสาหกรรมเหล็กของอินเดียที่มีอัตราการปล่อยคาร์บอนสูง จำเป็นที่จะต้องปรับตัวเป็นอย่างมาก ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนเพื่อการนี้ถึง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี ค.ศ. 2050
ในช่วง 10 เดือนแรกของปี ๒๕๖๗ ประเทศไทยส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กหรือเหล็กกล้ามายังอินเดียเป็นมูลค่า 232.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 2.72 ของปริมาณการส่งออกของไทยมายังอินเดียทั้งหมด โดยมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 4.7 จากช่วงเดียวกันของปี 2566และถึงแม้ว่าประเทศไทยจะส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กหรือเหล็กกล้ามายังอินเดียในปริมาณที่ไม่มากนักเมื่อเทียบกับปริมาณความต้องการใช้ภายประเทศของอินเดียทั้งหมด แต่หากรัฐบาลอินเดียตัดสินใจยกระดับมาตรการคุ้มครองอุตสาหกรรมเหล็กของตนแล้ว ย่อมจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมา เป็นที่น่าสังเกตว่ารัฐบาลอินเดีย มักจะตอบสนองต่อข้อร้องเรียนในลักษณะนี้ของภาคอุตสาหกรรมอินเดียค่อนข้างรวดเร็ว ดังจะเห็นได้ในกรณีของเหล็กม้วนรีดร้อน (Hot-rolled Coil) นำเข้าจากเวียดนาม ซึ่ง ISA ร้องเรียนว่ามีการทุ่มตลาดในช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 และ Directorate General of Trade Remedies (DGTR) ของอินเดีย ได้เริ่มกระบวนการสอบสวนในเรื่องดังกล่าวในช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2567 ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยคงจะต้องติดตามพัฒนาการในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป
อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีการปล่อยคาร์บอนขึ้นสู่บรรยากาศโลกค่อนข้างมาก ซึ่งในอนาคตจะต้องเผชิญกับมาตรการคุ้มครองสภาวะแวดล้อมจากประเทศผู้นำเข้าในลักษณะต่าง ๆ มากขึ้น อาทิ มาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ของ EU ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าของไทยจึงต้องเตรียมปรับกระบวนการผลิตของตน โดยใช้เทคโนโลยีที่ปล่อยคาร์บอนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโลกต่ำ อาทิ ใช้ Electric Arc Furnaces แทน Blast Furnace เป็นต้น ในขณะเดียวกันภาครัฐอาจจะต้องพิจารณาออกมาตรการจูงใจในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าของไทยสามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ
พฤศจิกายน 2567