นาย O Pennerseelvam รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของรัฐทมิฬนาฑู ประกาศในคำแถลงงบประมาณของรัฐประจำปี ค.ศ. 2012-2013 ที่เมืองเจนไนว่า รัฐบาลรัฐทมิฬนาฑูจะแถลงนโยบายส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมฉบับใหม่เพื่อยกระดับให้เป็นรัฐอันดับหนึ่งของอินเดียในการดึงดูดภาคอุตสาหกรรม
นาย Pennerseelvam กล่าวว่า ปริมาณผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในผลผลิตมวลรวม (GDP) ของรัฐเมื่อปี 2009-10 ลดเหลือเพียง 17 เปอร์เซ็นต์ จาก 20 เปอร์เซ็นต์ในปี 2004-05 นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมฉบับใหม่จะเพิ่ม GDP ของภาคอุตสาหกรรมเป็น 23 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2023 และภายใน 6 เดือนแรกของการดำเนินนโยบายจะดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนกว่า 2 แสนล้านรูปี
แผนดังกล่าวยังจะพยายามให้ภาคอุตสาหกรรมเชื่อมโยงกับภาคการผลิตอื่นๆ ของรัฐด้วย เช่น ภาคเกษตรกรรม
นอกจากเป้าหมายที่จะทำให้รัฐทมิฬนาฑูเป็นรัฐในอินเดียที่ดึงดูดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมมากที่สุดแล้ว รัฐบาลยังประกาศจะยกระดับรัฐให้ติดหนึ่งในสามเป้าหมายที่ดึงดูดการลงทุนมากที่สุดในเอเชีย
ปัจจุบัน ประเทศในเอเชียที่ติดอันดับต้นๆ ในการสำรวจความน่าลงทุน (Ease of Doing Business) ประจำปี 2012 โดย International Finance Corporation คือ สิงคโปร์ (อันดับ 1) ฮ่องกง (อันดับ 2) เกาหลีใต้ (อันดับ 8) ซาอุดีอาระเบีย (อันดับ 12) ประเทศไทย (อันดับ 17) มาเลเซีย (อันดับ 18) และญี่ปุ่น (อันดับ 20) โดยอินเดียติดอันดับที่ 132 จากประเทศที่สำรวจทั้งหมด 183 ประเทศ
จากการสำรวจขององค์กรเดียวกันเรื่องเมืองที่น่าลงทุนมากที่สุดในอินเดีย เมืองเจนไน เมืองหลวงของรัฐทมิฬนาฑูติดอันดับที่ 15 โดย 5 อันดับแรก เรียงตามลำดับ คือ เมืองลูเดียน่าในรัฐปัญจาบ เมืองไฮเดอราบัดในรัฐอานธรประเทศ เมืองภูพเนชวาร์ในรัฐโอริสสา เมืองกูร์กาวน์ในรัฐหรยาณะ และเมืองอาห์เมดาบัดในรัฐคุชราต
อย่างไรก็ดี การจัดอันดับเมืองน่าลงทุนมากที่สุดภายในอินเดียยังไม่เคยสำรวจใหม่มาตั้งแต่ปี 2009 แล้ว ธุรกิจไทยหลายเจ้าก็ได้ไปลงทุนและประสบความสำเร็จด้วยดีในเมืองเจนไน จึงเป็นไปได้ที่นโยบายใหม่ของรัฐทมิฬนาฑูจะเป็นความจริง ติดตามดูกันต่อไปครับ
คณิน บุญญะโสภัต
รายงานจากกรุงนิวเดลี
29 มี.ค. 2555