เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางของอินเดีย (Reserve Bank of India – RBI) ได้ออกประกาศทบทวนนโยบายทางการเงินรายไตรมาส โดยมีประเด็นสำคัญ คือ

1. ลดสัดส่วนสภาพคล่องทางการเงิน (Statutory Liquidity Ratio – SLR) ลงร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 23 ทั้งนี้ SLR เป็นการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์มีสินทรัพย์ประเภทอื่นนอกเหนือจากเงินสด ได้แก่ ทองคำและพันธบัตรรัฐบาล ไว้เป็นเงินสำรอง ซึ่งการดำเนินการลดสัดส่วนของ SLR ลง คาดว่าจะส่งผลให้มีเงินทุนหมุนเวียนในระบบธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นประมาณ 680,000 ล้านรูปี (13,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
2. คงอัตราดอกเบี้ย repo rate (อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์จากธนาคารกลางอินเดีย) ไว้ในระดับเดิมที่ร้อยละ 8 และอัตราเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์ (cash-reserve ratio – CRR) ร้อยละ 4.75
3. ในประกาศนี้ RBI คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสำหรับเดือน มี.ค. 2556 ไว้ที่ร้อยละ 7 จากที่เดิมคาดการณ์ไว้ร้อยละ 6.5 และปรับลดประมาณการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2555 – 2556 ลงเหลือร้อยละ 6.5 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ร้อยละ 7.3
ข้อสังเกตสำคัญของการทบทวนนโยบายรายไตรมาสดังกล่าว
1. การดำเนินการดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า RBI ให้ความสำคัญกับการสะกัดกั้นเงินเฟ้อมากกว่าการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เนื่องจากอินเดียได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำฝนในฤดูมรสุมต่ำกว่าที่คาดไว้ซึ่งทำให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นและส่งผลต่อเงินเฟ้อ (ราคาผักเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 ราคานมและผลิตภัณฑ์จากนมเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2) ทั้งนี้ ราคาวัตถุดิบและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้นก็ส่งผลให้บริษัทอินเดียชะลอการขยายกิจการและการจ้างงาน อีกทั้ง เกรงผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจยูโรและปัญหาการจัดเก็บภาษีได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
2. นักวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจเห็นว่า โดยรวม อินเดีย (ทั้งรัฐบาลและ RBI) ยังคงให้ความสำคัญกับการสะกัดกั้นอัตราเงินเฟ้อมากกว่า เนื่องจากหากมีอัตราเงินเฟ้อสูงมากเกินไป ประชากรที่มีรายได้ต่ำซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศและเป็นฐานคะแนนเสียงสำคัญในการเลือกตั้ง ก็จะได้รับความยากลำบากในการครองชีพเพิ่มขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมและรัฐบาลอาจจะสูญเสียคะแนนนิยม ดังนั้น การสะกัดกั้นอัตราเงินเฟ้อจึงเป็นประเด็นสำคัญทางการเมืองที่เห็นผลในทันที
ในขณะเดียวกันรัฐบาลอินเดียก็ตระหนักดีว่า หากอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับต่ำ ก็จะส่งผลให้บริษัทเอกชนชะลอหรือหยุดการจ้างงาน ประชากรจำนวนมากก็จะตกงานและอาจตกเป็นเป้าหมายของการขยายลัทธิความเชื่อของกลุ่มหัวรุนแรงหรือกลุ่มก่อการร้ายต่าง ๆ ได้ และจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเมืองในที่สุด ซึ่งการแก้ปัญหาเหล่านี้จะต้องมีการวางแผนร่วมกันอย่างจริงจังระหว่างรัฐบาลกลางและธนาคารกลางอินเดีย ดังนั้น การรักษาความสมดุลระหว่างการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการควบคุมเงินเฟ้อจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งขณะนี้จุดเน้นยังอยู่ที่การสะกัดกั้นเงินเฟ้อ
3. ถึงแม้ว่าการปรับลด SLR จะส่งผลให้มีเงินไหลหมุนเวียนเพิ่มขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งว่าจะมีมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่และยินดีที่จะปล่อยเงินกู้หรือไม่ ทั้งนี้ นาย Pratip Chaudhuri ประธานธนาคาร State Bank of India ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย เชื่อว่าธนาคารฯ น่าจะมีนโยบายเพื่อดึงดูดลูกค้ารายย่อย และนาย M Narendra ประธานธนาคาร Indian Overseas Bank เชื่อว่าธนาคารอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับกิจการบางประเภท แต่ไม่น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในภาพรวม
กนกภรณ์ คุณวัฒน์
รายงานจากเมืองมุมไบ
10 สิงหาคม 2555