การเติบโตแบบฉุดไม่อยู่ของรัฐทมิฬนาฑู
รัฐทมิฬนาฑูเป็น 1 ใน 29 รัฐของอินเดีย ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ รัฐนี้ขึ้นชื่อด้านอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์เนื่องจากมีทรัพยากรแร่เหล็กในปริมาณมาก และยังได้เปรียบด้านการส่งออกอาหารทะเล เนื่องจากมีพื้นที่ชายฝั่งซึ่งรวมระยะทางแล้วยาวเป็นอันดับ 3 ของอินเดีย
ด้านโลจิสติกส์ทมิฬนาฑูก็มีความโดดเด่น ด้วยมีท่าเทียบเรือขนาดใหญ่อยู่ที่เมืองเจนไน ซึ่งมีปริมาณการขนส่งสินค้าไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านตู้คอนเทนเนอร์ต่อปี และยังเป็นที่รวมศาสนสถานสำคัญซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกถึง 8 แห่งในรัฐเดียว
ความหลากหลายภายใต้รัฐทมิฬนาฑู ชวนให้ย้อนกลับไปดูความเป็นมาแต่หนหลัง เหตุที่รัฐนี้รวมเอาไว้ซึ่งศักยภาพในการก้าวหน้า พร้อมมรดกโลกอันเก่าแก่ไว้ด้วยกันก็เพราะบริเวณนี้เป็นที่อยู่ของชาวดราวิเดียนมาแต่ดั้งเดิม ก่อนที่ชนเผ่าอารยันจะอพยพเข้ามายึดครองและตั้งถิ่นฐานในช่วงประมาณ 1,500 ปี ก่อนคริสตศตวรรษ ภาษาทมิฬซึ่งเป็นภาษาประจำรัฐก็จัดอยู่ในตระกูลภาษาอันเก่าแก่ที่ใช้สื่อสารกันมากว่า 2,500 ปี
รัฐทมิฬนาฑูมีพรมแดนชนกับอาณาเขตรัฐเพื่อนบ้าน 3 รัฐ ทางทิศตะวันตกติดกับรัฐเกรละ ทิศเหนือติดกับรัฐกรณาฎกะ และรัฐอันธรประเทศ ส่วนด้านตะวันออกและใต้ของทมิฬนาฑูนั้นเป็นพื้นที่ชายฝั่ง โดยมีระยะทางรวมทั้งหมดนับจากด้านบนสุดของรัฐ ซึ่งหันออกสู่อ่าวเบงกอล ลงไปจนจรดด้านใต้สุดที่ Kanyakumari ซึ่งเป็นจุดบรรจบของทะเลคาริบเบียนกับมหาสมุทรอินเดีย รวมระยะทาง 910 กิโลเมตร นับเป็นพื้นที่ชายฝั่งที่ยาวเป็นอันดับ 3 ของประเทศอินเดีย (อันดับ 1 คือรัฐคุชราต อันดับ 2 คือรัฐอันธรประเทศ) โดยหาดมารีน่าบีชซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นชายหาดที่ยาวที่สุดของอินเดีย มีความยาว 13 กิโลเมตร ก็อยู่ที่เมืองเจนไน ข้อได้เปรียบด้านพื้นที่ชายฝั่งนี้เอง ส่งผลให้รัฐทมิฬนาฑูติดอันดับ 1 ด้านการส่งออกอาหารทะเลมาตั้งแต่ปี 2547 โดยมีรายได้ต่อปีไม่ต่ำกว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รัฐทมิฬนาฑูมีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 11 ของประเทศอินเดียด้วยพื้นที่ 130,058 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่าประเทศไทยราว 4 เท่า แต่มีประชากรกว่า 72 ล้านคนซึ่งหนาแน่นเป็นอันดับ 7 ของประเทศ แค่ดูจากตัวเลขประชากรแล้ว หากสามารถเจาะตลาดทมิฬนาฑูได้แค่รัฐเดียว ก็เท่ากับมีตลาดที่ใหญ่ขนาดเมืองไทยทีเดียว เฉพาะเมืองเจนไน ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐนี้ก็มีประชากรทั้งที่มีสำมะโนครัว และที่เข้ามาทำงาน รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 8 ล้านคน
แม้รัฐนี้มีตัวเลขเศรษฐกิจเฟื่องฟูอยู่ในอันดับ 2 ของอินเดีย มีรายได้เฉลี่ยต่อบุคคลอยู่ที่ 98,550 รูปีต่อปี แต่ก็มีปัญหาความยากจนที่รัฐยังเร่งแก้ไข ขณะที่คนเมืองเดินห้างหรู ออกไปกินอาหารนอกบ้านกันทุกสัปดาห์ แต่ยังมีคนในชนบทที่จนมากๆ มีรายได้แค่เดือนละ 351 รูปี หรือราวๆ 150 บาท เท่านั้น
แน่นอนว่ารัฐบาลของรัฐทมิฬนาฑู มิได้เพิกเฉยต่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน ภายใต้การนำของ J.Jayalalithaa ซึ่งได้รับเลือกเข้ามาบริหารรัฐทมิฬนาฑูในฐานะมุขมนตรี เป็นสมัยที่ 3 ได้ประกาศนโยบาย Tamil Nadu Vision 2023 ที่มุ่งผลักดันให้รัฐทมิฬนาฑูติดอันดับ TOP5 ของโลก ด้านอุตสาหกรรมผลิตและประกอบรถยนต์ ให้สมกับที่เป็น “ดีทรอยท์แห่งเอเชีย”
ความฝันนี้มีโอกาสเป็นไปได้ เพราะทุกวันนี้ รถยนต์ยี่ห้อดังจากทุกมุมโลก ขนมาตั้งฐานการผลิตที่รัฐทมิฬนาฑู แต่อินเดียก็ไม่ได้นั่งดูเพื่อนเฉยๆ หากตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับตลาด และตอบสนองระดับความสามารถในการครอบครองของคนอินเดีย ซึ่งแน่นอนว่า รถยนต์ยี่ห้อ Mahindra & Mahindra, Ashok Leyland, Hindustan Motors, TVS Motors, Irizar-TVS, Royal Enfield, MRF, Apollo Tyres, TAFE Tractors มีโรงงานผลิตในรัฐทมิฬนาฑูเช่นเดียวกัน
นอกจากอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์แล้ว นโยบายTamil Nadu Vision 2023 ยังให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ รวมถึงการพัฒนาพลังงานสะอาดเพื่อเป็นทางเลือกที่ยืนยาว ทุกวันนี้ปัญหาไฟดับไม่เว้นวัน อันเนื่องมาจากการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า เปิดโอกาสให้รัฐมองหาทางเลือกสำรองทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานไฟฟ้าพลังน้ำ โรงงานไฟฟ้าพลังลม และโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งรัฐสนใจร่วมผลิตตั้งแต่หน่วยใหญ่ไปจนถึงระดับครัวเรือนที่สามารถไปติดตั้งบนหลังคาบ้าน ความต้องการด้านพลังงานจึงเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยควรพิจารณา
เทคโนโลยีด้านการสื่อสารสารสนเทศ หรือ IT ที่เมืองเจนไนไม่ได้น้อยหน้าบังคาลอร์ ตลอดเส้นทาง IT Corridors จึงอุดมไปด้วยบริษัทชั้นนำอย่าง Syntel, Infosys, Wipro, HCL, Tata Consultancy Services, Verizon, Hewlett-Packard, Amazon.com, eBay, Paypal, IBM, Accenture, Ramco Systems, Computer Sciences Corporation, Cognizant Technology solutions, Tech Mahindra, Polaris, Aricent, Mphasis, MindTree, Hexaware Technologies เป็นอาทิ
ในฐานะที่เห็นรัฐแถวหน้าด้าน E-Governance รัฐทมิฬนาฑูได้พัฒนาระบบการจัดเก็บภาษี การลงทะเบียนที่ดิน อาคาร สถานที่ ไปรวมอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์เรียบร้อยแล้ว ทำให้การเรียกเก็บภาษี หรือดูแลเขตการปกครองซึ่งแบ่งย่อยออกเป็น 32 เขต หรือ 32 เมือง ทำได้ง่ายขึ้น ลดปัญหาการคอร์รัปชั่นไปได้ไม่น้อย
แต่ใช่ว่ารัฐทมิฬนาฑูจะให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมหนักอย่างเดียว ในด้านเครื่องหนังและแพรพรรณ รัฐนี้ก็ไม่เป็นสองรองใคร ตำแหน่ง “เจ้าแห่งเครื่องหนัง” ต้องยกให้กับเมือง Vellore และเมืองที่อยู่รอบๆ คือ ศูนย์อุตสาหกรรมเครื่องหนังครบวงจร ซึ่งเฉพาะเมือง Vellore ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินเดีย
รัฐทมิฬนาฑูให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าประเภทเครื่องหนังเป็นอย่างยิ่ง มีการตั้งสถาบัน Central Leather Research Institute (CLRI) ที่เมืองเจนไน และยังมีสถาบัน Footwear Design & Development Institute (FDDI) ที่ Irungattukottai ใกล้กับ SIPCOT Footwear Park ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมือง เจนไนประมาณ 40 นาที โดยรถยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องหนังฟอกย้อมเฉพาะรัฐนี้รัฐเดียว สามารถนำรายได้เข้าสู่ประเทศไม่ต่ำกว่าปีละ 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ส่วนอาภรณ์และแพรพรรณ ต้องยกให้เมือง Coimbatore เป็นที่รู้จักในฐานะ “Manchester of the South of India” เมืองนี้ขึ้นชื่อด้านผลิตผ้าคอตต้อน ส่วนเมือง Tirupur, Karur และ Erode ก็ได้รับฉายาว่า “textile valley of India” แค่เมือง Tirupur เมืองเดียวก็ทำรายได้จากการส่งออกผ้าถึงปีละ 50,000 ล้านรูปี หรือประมาณ 816 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
พูดถึงแต่อุตสาหกรรม อาจจะทำให้รัฐทมิฬนาฑูกลายเป็นรัฐที่เป็นไปด้วยนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของทมิฬนาฑูทำรายได้เป็นลำดับ 2 ของประเทศอินเดีย ทั้งนี้เป็นเพราะว่าที่นี่คือศูนย์รวมเมืองโบราณขึ้นทะเบียนมรดกโลกถึง 8 แหล่ง มีชายหาดมารีน่าบีชที่ยาวที่สุดในประเทศอินเดีย มีอุทยานแห่งชาติ ป่า เขา น้ำตก ลำธาร ให้พักผ่อนหย่อนใจ หากเปรียบกับรีสอร์ทอาจจะสวยสู้บ้านเราไม่ได้ แต่ความเป็นอินเดียได้รวมเอาเสน่ห์อันหลากหลายทางวัฒนธรรมส่งเสริมให้แคมเปญ Incredible India เรียกแขกต่างชาติมาเที่ยวเมืองแขกได้ทั้งปี
นอกจากนี้ ทมิฬนาฑูยังมีข้อได้เปรียบด้านถนนหนทาง มีถนนที่เชื่อมต่อกันทั้งรัฐตั้งแต่ด้านบนสุดไปจรดด้านใต้สุด รวมแล้ว 167,000 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีสนามบินถึง 5 แห่ง ซึ่งไม่รวมสนามบินในเมืองเจนไน ได้แก่ Coimbatore International Airport, Tiruchirapalli International Airport ,Madurai Airport, Salem Airport และ Tuticorin Airport ไม่ว่าจะเดินทางโดยรถยนต์ รถไฟ หรือเครื่องบิน ก็สะดวกสบายด้วยกันทั้งนั้น
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินเดีย เริ่มมานานหลายร้อยปีตั้งแต่สมัยที่อาณาจักรศรีวิชัยรุ่งเรืองอยู่ในแดนใต้ของเมืองไทย ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากการค้าขาย ขยายดินแดนในสมัยอาณาจักรโจฬะ และอาณาจักรวิชัยนคร ซึ่งมีอิทธิพลอยู่ทางอินเดียตอนใต้ หรือรัฐทมิฬนาฑูในปัจจุบัน วันนี้ ทมิฬนาฑู เดินทางมาไกลมาจากอดีต และมีสิทธิ์จะพุ่งทะยานไปสู่ดวงจันทร์ ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันอย่างยาวนาน คงทำให้อ่านใจกันได้ไม่ยาก รัฐทมิฬนาฑูจึงเป็นตลาดสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยควรศึกษา และติดตามข่าวสารเพื่อโอกาสทางการค้า การลงทุน
โอกาสต่อไปจะนำเรื่องราวที่น่าสนใจของแต่ละเมือง แต่ละภาคอุตสาหกรรมภายในรัฐทมิฬนาฑูมาฝากกัน
***************************
รายงานโดย นางสาวสุทธิมา เสืองาม
สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจนไน