สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์ 18-24มิถุนายน 2559 (อินเดีย)
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงนิวเดลี
สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์
18-24มิถุนายน 2559 (อินเดีย)
1. รัฐบาล Modi อนุมัติให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน 100% ใช้ระเบียบที่ง่ายขึ้น ในธุรกิจการบินและอาหาร อาวุธ เวชภัณฑ์และการค้าปลีกแบรนด์เดียว
Modi government approves 100% FDI in aviation and food, easier norms for defence, pharma, single-brand retail
นิวเดลี : รัฐบาลประกาศปรับเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเปิดทางให้กับธุรกิจการบิน ในการเป็นเจ้าของมากถึงร้อยละ 100 ผ่อนปรนกฎเกณฑ์และการป้องกันเกี่ยวกับการค้าปลีกที่จำหน่ายเฉพาะแบรนด์ตนเอง (Single-brand retail) และอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนได้เลยแบบอัตโนมัติ ผ่านช่องทางอัตโนมัติ (automatic approval route) การประกาศดังกล่าวเป็นเสมือนการกระตุ้นตลาดที่กำลังกระวนกระวายต่อคำแถลงของนายRaghuram Rajan เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ว่าเขาจะหวนสู่สายงานวิชาการหลังหมดวาระในการเป็นผู้ว่าธนาคารกลางในเดือนกันยายนนี้ ประเทศอินเดียในตอนนี้จึงถือเป็นประเทศที่เปิดกว้างมากที่สุดในทางเศรษฐกิจสำหรับชาวต่างชาติที่จะมาลงทุน นายกรัฐมนตรีนาย Narendra Modi กล่าวต้อนรับการประกาศระเบียบใหม่
ในตอนนี้หลายภาคส่วนก็จะอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนได้เลยแบบอัตโนมัติผ่านช่องทางอัตโนมัติ (automatic approval route) ยกเว้นเพียงแต่กลุ่มที่มีประวัติในทางลบและคาดว่าบริษัท Apple จะได้ประโยชน์จากการยกเครื่องกฎระเบียบดังกล่าว
เนื่องจากมีการผ่อนปรนเงื่อนไขในการจัดหาสินค้าท้องถิ่น (local sourcing) สำหรับผู้ค้าปลีกแบรนด์เดียว เพเช่น Apple ที่ต้องการตั้งร้านค้าของตัวเองในประเทศอินเดีย โดยก่อนนี้บริษัท Apple ถูกปฏิเสธขอเสนอไม่ให้ตั้งร้านค้าของตนเองในอินเดีย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่กล่าวว่าบริษัทจะต้องดำเนินการยื่นข้อเสนอใหม่อีกครั้ง
FDI กว่าร้อยละ 40 จะได้รับการอนุมัติผ่านช่องทางอัตโนมัติ (automatic approval route) ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบริหารครั้งสำคัญ
การตัดสินใจเปิดเสรี FDI เพื่อหวังจะให้เป็นแรงผลักดันสำคัญในการจ้างงานและสร้างงานในอินเดีย เกิดขึ้นในการประชุมระดับสูงโดยมีนายกรัฐมนตรีนาย Modi เป็นประธาน
เรื่องดังกล่าวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม Nirmala Sitharaman กล่าวว่าเป็นเรื่องที่ ถูกเตรียมการมาระยะหนึ่งแล้ว และสิ่งเหล่านี้จะทำให้การดำเนินการกระบวนการต่างๆชัดเจนมากขึ้น
การเคลื่อนไหวของรัฐบาลในครั้งนี้จะสอดคล้องกับการไหลเข้าของ FDI หรือเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ที่เพิ่มขึ้น 55.46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2016 จากเดิม 36.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2014 เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความน่าดึงดูดของการเจริญเติบโตในอินเดียในการที่จะเป็นปลายทางการลงทุนและมีสถานะเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเจริญเติบโตได้รวดเร็วที่สุดในโลกท่ามกลางความผันผวนต่างๆในโลก
ก่อนหน้านี้ อินเดียจำกัดการลงทุนโดยตรงในธุรกิจผลิตอาวุธที่ระดับร้อยละ 49แต่จะอนุญาตให้เป็น ร้อยละ 100 ผ่านช่องทางที่ต้องขออนุญาตจากรัฐบาล (Approval Route) หากเป็นกรณีที่ทำให้ประเทศสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ ทั้งนี้ FDI ในส่วนสำหรับกองทัพ จะบังคับใช้กับส่วนที่เป็นอาวุธปืนขนาดเล็กและการผลิตกระสุน เป็นต้น
สำหรับประเด็นการใช้วัตถุดิบในประเทศสำหรับธุรกิจค้าปลีก ก่อนหน้านี้ รัฐบาลอินเดียกำหนดกฎระเบียบกำหนดสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศสำหรับบริษัทต่างชาติที่ต้องการเข้ามาทำธุรกิจค้าปลีก แต่ในวันนี้ รัฐบาลได้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ดังกล่าวเป็นเวลา 3 ปี และจะสามารถขยายออกไปเป็น 5 ปี หากพิสูจน์ได้ว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ล้ำสมัย
บริษัท Apple จะต้องยื่นทำข้อเสนอใหม่ เพื่อที่จะเปิดร้านค้าแบบสินค้าแบรนด์เดียว(Single-brand retail) เนื่องจากบริษัทได้ยื่นข้อเสนอเพื่อเข้าลงทุนโดยตรงในอินเดีย โดยขอได้รับการยกเว้นจากเงื่อนไขในการกำหนดให้บริษัทต่างชาติต้องมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีชิ้นส่วนที่ผลิตจากวัตถุดิบภายในประเทศอย่างน้อย 30% โดยให้เหตุผลว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดหาสินค้ามาได้ในจำนวนมากเพราะเป็นสินค้าที่มีความล้ำสมัยสูง
ทั้งนี้ เลขาธิการ DIPP แนะนำให้ยกเว้นบริษัท Apple ออกจากระเบียบการจัดหาสินค้าท้องถิ่น ( Local Sourcing) แต่ถูกกระทรวงการคลังปฎิเสธไม่เห็นด้วยมาโดยตลอด นอกจากนี้รัฐบาลยังอนุญาตให้ บริษัทต่างประเทศเป็นเจ้าของได้มากถึงร้อยละ 74 ใน Brownfield Project เกี่ยวกับเภสัชกรรมยาและเวชภัณฑ์โดยไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลก่อน ส่วนเภสัชกรรมของธุรกิจแบบ Greenfield อินเดียอนุมัติสิทธิเป็นเจ้าของในลักษณะลงทุนร้อยละ 100 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับธุรกิจการบิน รัฐบาลอนุมัติให้มีการลงทุนจากต่างประเทศได้ร้อยละ 100 จากเดิมที่อนุมัติให้ลงทุนได้ไม่เกินร้อยละ 49 ในปัจจุบัน ซึ่งถ้าหากมีการขอลงทุนเกินร้อยละ 49 โครงการดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลเป็นรายกรณี อย่างไรก็ตามรัฐบาลยังคงสิทธิในการถือครองโดยสายการบินต่างประเทศ อยู่ในระดับร้อยละ 49 ต่อไปในส่วนของการลงทุนในสนามบิน Brownfield นั้นถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 100จากเดิมร้อยละ 74 ในปัจจุบัน ซึ่งอินเดียคาดหวังให้เกิดการพัฒนาจากต่างประเทศมากขึ้น
ทั้งนี้ กฎระเบียบล่าสุดดังกล่าวออกมาในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ภายหลังการเปิดเผยของthe National Civil Aviation Policy ซึ่งแสดงความกังวลเกี่ยวกับสิทธิในการควบคุมและถือครองบริการในท้องถื่นที่บริษัทต่างชาติถือครองหุ้นอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ นโยบายการลงทุนโดยตรงในการบริการถ่ายทอดสัญญาณดาวเทียมก็ถูกแก้ไขให้เป็นร้อยละ 100ในธุรกิจบริการ teleport, Direct-to-home, cable networks, mobile TVs และ headend-in-the sky (HITS).
นอกจากนี้ รัฐบาลได้อนุญาตให้มีการลงทุนโดยตรงร้อยละ 100ภายใต้การขออนุญาตจากรัฐเพื่ออนุมัติในการค้าชองทางปกติและอีคอมเมิร์ซสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตในอินเดีย
ในขณะที่ธุรกิจบริการรักษาความปลอดภัยของเอกชนที่มีการลงทุนโดยตรงฯ ไม่เกินร้อยละ 49จะใช้การอนุมัติผ่านช่องทาง automatic route ได้และหากลงทุนเกินร้อยละ 49 แต่ไม่เกินร้อยละ 74 จะต้องได้รับการอนุญาตจากรัฐบาลเป็นรายกรณีต่อไป
อนึ่ง รัฐบาลได้ตัดสินใจที่จะยกเลิกกฎระเบียบในเรื่อง security clearance หรือการได้รับอนุมัติโดยธนาคารกลางในการตั้งสำนักงานสาขาโดยบริษัทต่างชาติ เพื่อดำเนินกิจการด้านการทหาร การโทรคมนาคม การรักษาความปลอดภัยส่วนตัว ด้านข้อมูลและการกระจายเสียงโดยอัตโนมัติหากได้รับอนุมัติโดย FIPB หรือกระทรวง หรือหน่วยงานที่กำกับดูแลอยู่
- อินเดียเปิดกว้างด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมากขึ้น นโยบายที่ปรับปรุงในครั้งนี้ เป็นสิ่งยืนยันของรัฐบาลอินเดียที่จะให้มีการลงทุนจากต่างประเทศ มีการจ้างงาน และการพัฒนาภาค sector ที่สำคัญของอินเดียอย่างชัดเจน
Source : Economics Times, 21 June 2016
2. อินเดียและเกาหลีใต้ ทบทวนข้อตกลงการค้าเสรี (FTA)
India, South Korea review free trade agreement
เมื่อวันเสาร์ (18 มิถุนายน2559) อินเดียและเกาหลีใต้ได้ทบทวนข้อตกลงทางการค้าเสรี (FTA) ระหว่างกันในมุมมองเพื่อส่งเสริมความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจแบบทวิภาคี
ทั้งนี้ ข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจแบบครอบคลุมทุกมิติ (CEPA: The comprehensive economic partnership agreement)ระหว่างทั้งสองประเทศจะเริ่มดำเนินการในเดือน มกราคม ปี 2010
โดยอินเดียได้มีการประชุมเพื่อทบทวนข้อตกลงฯ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม Nirmala Sitharaman และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ฯของเกาหลีใต้ Hyunghwan Joo เจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศเข้าร่วมประชุมด้วย
ในวันศุกร์ก่อนหน้านั้นSitharaman ได้กล่าวว่าทั้งสองประเทศควรจะทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจแบบครอบคลุมฯ (CEPA)
ประเด็นสำคัญในการระชุมได้แก่การขาดดุลการค้าที่อินเดียมีต่อเกาหลีใต้ประมาณ 1 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2015-16 โดยได้ขยายกรอบความตกลงฯ ที่รวมถึงสินค้าอื่นๆ เช่น เครื่องจักรและผลิตภัณฑ์เหล็กบางชนิดภายใต้ข้อตกลง
ที่ผ่านมา การค้าแบบทวิภาคีของทั้งสองประเทศ อยู่ที่ระดับ16.59 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2015-16 ซึ่งเกาหลีใต้ได้เปรียบในเชิงมูลค่าการค้าในระดับที่สูง ในขณะเดียวกันทั้งสองประเทศยังได้เปิดตัวรูปแบบแนวนโยบาย Korea Plus เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในการลงทุนจากประเทศในเอเชียตะวันออก “มันเป็นความคิดริเริ่มพิเศษของการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้เกาหลีใต้ในการลงทุนในอินเดีย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดียกล่าวเสริม
Korea Plus ประกอบด้วยตัวแทนจากแต่ละกระทรวงของเกาหลีใต้ อาทิ กระทรวงอุสาหกรรมการค้า กระทรวงพลังงาน การลงทุนการค้าเกาหลี (Korea Trade Investment) และสำนักงานส่งเสริมการค้าการลงทุนของเกาหลีใต้ (KOTRA)รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ของอินเดียจากสามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ Invest India
Source: The Sunday Business Standard, 19 June, 2016
3. จีนสนับสนุนอินเดียประเด็นข้อขัดแย้งกับประเทศพัฒนาแล้วในเวที WTO
China comes to India’s defence in WTO debate: by D. Ravi Kanth
เจนีวา:จีนเป็นหนึ่งในประเทศของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ที่สนับสนุนอินเดีย ในเวทีองค์การการค้าโลกโดยร่วมลงนามไม่เห็นด้วยกรณี สหรัฐ สหภาพยุโรป และแคนาดาประกาศใช้กฎระเบียบต่างๆ เพื่อเป็นกำแพงป้องกันการไหลเข้าของผู้ให้บริการระยะสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นผู้เชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์ ซึ่งทำให้อินเดียเสียโอกาสในการได้รับการจ้างงานและบริษัทในต่างประเทศเสียโอกาสในการจ้างงานปีละหลายพันล้านดอลลาร์
ข้อเสนอดังกล่าวของอินเดียเพื่อถกปัญหาการเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบด้านอุปสรรคทางการค้า (trade barriers)ที่บังคับใช้กับผู้ให้บริการในระยะสั้น(Short-term service provider)ได้รับการสนับสนุนจากหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มแอฟริกาและประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด
ในขณะนี้กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และแคนาดา มีความไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของอินเดียในMode4 : “Assessment of Barriers to Entry” ซึ่งกล่าวถึงอุปสรรคทางการค้าที่กำหนดโดยพวกเขาเอง (สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และแคนาดา)
สหรัฐฯ กล่าวว่า จะคัดค้านการอภิปรายใด ๆ เกี่ยวกับข้อเสนอของอินเดียใน Council on Trade in Service(CTS)ขณะที่นิวเดลีต้องการให้มีการพิจารณาประเด็นดังกล่าวเพื่อบรรเทาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างกัน ทั้งนี้ เมื่อเดือนที่ผ่านมา สหรัฐและอินเดียได้มีการพูดคุยปรึกษากันในเรื่องการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยอินเดียเสนอข้อขัดแย้งทางการค้าของตนใน Mode 4 แต่การพูดคุยทั้งสองประเทศยังไม่บรรลุถึงข้อสรุปใด ๆ
สหภาพยุโรปแสดงความผิดหวังกับข้อเสนอของอินเดีย ที่มักจะตั้งคำถามต่อความมุ่งมั่นของสหภาพยุโรปในการสร้าง "ความร่วมมือแบบพหุภาคี" ในขณะที่แคนาดาไม่เห็นด้วยกับอินเดีย เนื่องจากแคนาดาอ้างว่าไม่ได้มีการกีดกันหรือห้ามการให้บริการ short-term service provider แต่อย่างใด
สำหรับประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น นอร์เวย์, สวิตเซอร์แลนด์, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์และญี่ปุ่น ยังคงไม่แสดงท่าทีใดๆ ในระหว่างการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่าย
Source: Mint, 20 June, 2016
สคร.นิวเดลี
มกราคม 2559
Disclaimer: การเผยแพร่ข้อมูลใน “สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์” มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้ข้อมูลแก่ผู้สนใจเท่านั้น สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดียจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการนาข้อมูลนี้ไปใช้