สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์ 15-21 ตุลาคม 2559
1. สหรัฐอเมริกาเรียกร้องให้อินเดียผ่อนปรนนโยบาย Single-brand retail trade
Single-brand retail trade: US asks India to relax local sourcing norms
นิวเดลี: ในวันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม ที่ผ่านมาอินเดียและสหรัฐอเมริกาได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับนโยบายการค้าระหว่างกัน โดยอินเดีย (Nirmala Sitharaman) มีความคาดหวังที่ขยายการส่งออกและพัฒนาระบบสินค้าที่ส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ในขณะที่สหรัฐอเมริกา (Michael Froman) ต้องการให้อินเดียผ่อนปรนเกี่ยวกับนโยบาย single-brand retail trade เพื่อช่วยให้บริษัทของสหรัฐอเมริกาอย่างเช่น Apple ในการทำตลาดในอินเดีย
โดยประเด็นสำคัญในการประชุมคือเรื่องการลงทุนทางตรง (FDI)ที่สหรัฐอเมริกาต้องการให้อินเดียผ่อนปรนในเรื่องการจัดหาทรัพยากรในท้องถิ่น ตามนโยบายของรัฐบาลที่ประกาศไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม ที่จะยกเว้นให้กับธุรกิจค้าปลีกทั่วไปจำนวน 3 ปี และธุรกิจที่มีเทคโนโลยีทันสมัยจำนวน 5 ปี ซึ่งนโยบายดังกล่าวไม่ครอบคลุมบริษัท Apple
ในปัจจุบันนโยบายเรื่องการลงทุนทางตรงของอินเดีย ให้ต่างประเทศสามารถเข้ามาลงทุนได้ 100% ทั้งนี้วางอยู่บนเงื่อนไขที่ว่าต้องได้รับการอนุมัติและยืนยันจากสำนักงาน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของอินเดียด้วย (Foreign Investment Promotion Board)
ในส่วนของอินเดียมีความพยายามในการเพิ่มการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามากยิ่งขึ้นหลังประสบปัญหาเรื่องการประกันคุณภาพในการส่งออกสินค้าอาทิ ข้าวบาสมาติ มะม่วง และองุ่น ส่งผลให้รัฐบาลอินเดียออก Generic Drug User Fee Act และ Food Safety Modernisation Act เพื่อตรวจสอบคุณภาพสินค้าของผู้ส่งออกและสร้างความมั่นใจที่เพิ่มมากขึ้น
ปัจจุบันการค้าระหว่างทั้งสองประเทศมีมูลค่า 109 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมีการคาดการว่าจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 500 พันล้านดอลลาร์ โดยสัดส่วนการลงทุนทางตรงของสหรัฐอเมริกาในอินเดียคิดเป็นมูลค่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงปี 2015-2016
ทั้งนี้รัฐบาลอินเดียยังได้มีการพูดคุยในประเด็นเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีทับซ้อนของคนอินเดียที่เข้าไปทำงานในสหรัฐอเมริกาด้วย ซึ่งสร้างความรู้สึกแบ่งแยก และความไม่เป็นธรรมให้กับคนอินเดีย โดยข้อตกลงในเรื่องดังกล่าว สหรัฐอเมริกาได้ทำความร่วมมือกับหลายประเทศแล้ว
สุดท้ายสหรัฐอเมริกาได้พูดคุยในประเด็นเกี่ยวกับสิทธิบัตร ซึ่งสหรัฐอเมริกามีความกังวลอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องสิทธิบัตรยา ทั้งนี้อินเดียได้ยืนยันว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายที่สอดคล้องกับบรรทัดฐานขององค์กรการค้าโลก (WTO)
บทวิเคราะห์จากรายงานข่าวจะเห็นได้ว่านโยบายเรื่องการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI)ของอินเดียยังคงมีปัญหาบางประการในเรื่องการบังคับใช้ การเข้ามาลงทุนในอินเดียของนักลงทุนชาวไทยจึงมีความจำเป็นต้องศึกษาเงื่อนไข และข้อกำหนดให้ชัดเจน ก่อนเข้ามาดำเนินการลงทุน
Source: Business Standard, 21 October 2016
2. วัดในอินเดียได้ทำการแลกเปลี่ยนเหรียญเงินตราต่างประเทศน้ำหนัก 35 ตันเป็นเงินรูปี
Temple to exchange 35-tonne of foreign coins for Indian currency
ติรูปาตี: เหรียญเงินตราต่างประเทศกว่า 35 ตัน ที่วัดในเมืองติรูปาตี ได้รับจากการบริจาคจากประชาชนจากหลากหลายประเทศ ที่เคารพและศรัทธาใน Lord Venkateswara กำลังจะถูกนำไปแลกเปลี่ยนที่ธนาคารให้เป็นเงินรูปี
D Sambasiva Rao ผู้จัดการสำนักงานของTirumala Tirupati Devasthanams (TTD) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลบริหารวัด ได้ให้ข้อมูลว่า เหรียญดังกล่าวซึ่งถูกเก็บรวบรวมในพื้นที่ที่เรียกว่า “hundi”บริเวณยอดเขาของวัด เป็นเงินที่ได้รับบริจาคจากผู้คนที่ศรัทธาจากทั่วโลก โดยเขาบอกว่าเมื่อไม่นานมานี้เขาสั่งการให้ฝ่ายการเงินของวัด จัดและแยกเหรียญต่างๆ เหล่านี้ตามสกุลเงินและสัญชาติ เพื่อเตรียมการในการนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินรูปี หัวหน้าฝ่ายการเงินของวัดได้ส่งหนังสือไปยังธนาคารกลางของประเทศอินเดีย เกี่ยวกับกิจกรรมดังกล่าว
ทั้งนี้ธนาคาร ICICI ได้แสดงความสนใจในการรับแลกเปลี่ยนเหรียญเงินตราต่างประเทศดังกล่าว ซึ่งมีความจำเป็นต้องมีการวางแผนเกี่ยวกับการขนส่งเงินจำนวนนี้มายังธนาคารด้วย จากการบอกกล่าวของหัวหน้าฝ่ายการเงินของวัดพบว่า เหรียญเงินตราต่างประเทศที่พบภายในวัดส่วนใหญ่ เป็นสกุลเงินของ มาเลเซีย สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา
บทวิเคราะห์จากรายงานข่าวดังกล่าวอาจมีลักษณะข้อมูลทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยมากนัก แต่หากวิเคราะห์เชิงปริมาณของตัวเงินที่วัดได้รับจากการบริจาค จะเห็นว่าแนวโน้มของการท่องเที่ยวที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นในอินเดีย โดยเฉพาะจากประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างมาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งคาดว่าผู้บริจาคส่วนใหญ่จะเป็นคนเชื้อสายอินเดียที่อาศัยอยู่ในประเทศเหล่านั้น
Source: Millennium Post, 21 October 2016
3. นายกรัฐมนตรีอินเดียมองเห็นโอกาสจากความร่วมมือในกลุ่มประเทศ BRICS และ BIMSTEC
Narendra Modi sees opportunities for cooperation between BRICS and BIMSTEC
brics-klaH--621x414@LiveMint" >นิวเดลี : นายนาเรนดรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดียใช้โอกาสในการพบปะกับผู้นำในกลุ่มประเทศ BRICS ที่ประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย จีน และแอฟริกาใต้ ตลอดจนอีก 6 ประเทศจากภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อวิพากษ์วิจารณ์ปากีสถานอย่างรุนแรง ในฐานะที่ปากีสถานสนับสนุนการก่อการร้าย
การประชุมครั้งนี้ยังได้มีการขยายการประชุมร่วมกับกลุ่มความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ(BIMSTEC) ซึ่งนายโมดีได้กล่าวถึงโอกาสในความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างสองกลุ่มที่นอกเหนือปากีสถาน
เขากล่าวว่า “เราร่วมมือกันด้วยวิสัยทัศน์และพันธสัญญาที่มีร่วมกันเพื่อความสันติสุข ความมั่นคง และการพัฒนา ตลอดจนความท้าทายที่มีร่วมกันที่สร้างตัวเลือกภายในประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ”
“การเชื่อมโยงกลุ่มประเทศ BIMSTEC จะช่วยขยายพื้นที่ของการเติบโตและความรุ่งเรือง” เขาเสริม
“ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งใหม่ (NDB) สามารถเป็นช่องทางสำหรับความร่วมมือระหว่าง BRICS และ BIMSTEC”
สมาชิกของ BIMSTEC ประกอบด้วย บังคลาเทศ อินเดีย พม่า ศรีลังกา ไทย ภูฏาน และเนปาล โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการทำสัญญาของกลุ่มประเทศดังกล่าวที่ประเทศไทย ในปี ค.ศ. 1994 เพื่อมองหาความร่วมมือในอนุภูมิภาคที่มีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่บริเวณรอบอ่าวเบงกอล
นายโมดีกล่าวว่าความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศทั้งสองกลุ่มจะนำไปสู่โอกาสในการเติบโตและการพัฒนา
สำหรับ ประเทศปากีสถานนั้น นายโมดีได้กล่าวถึงว่า “ทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้และ BIMSTEC ต่างพยายามขับเคลื่อนไปสู่หนทางแห่งสันติสุข การพัฒนา และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสำหรับประชาชน แต่น่าเสียดายที่ประเทศเพื่อนบ้านของอินเดีย กลับสนับสนุนและแผ่ขยายความมืดมนจากภัยก่อการร้าย”
สมาคมความร่วมมือแห่งเอเชียใต้ (SAARC) ที่จัดตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1986 ที่กรุงดากา ประเทศบังกลาเทศ ไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม แม้จะจัดตั้งมากว่า 3 ทศวรรษ ซึ่งประเทศในกลุ่ม SAARC ส่วนใหญ่ต่างกล่าวหาว่าเป็นเพราะความตึงเครียดระหว่างอินเดียกับปากีสถาน ดังนั้น อินเดียจึงหันไปให้ความสนใจในการสร้างความเข้มแข็งกับประเทศในกลุ่ม BIMSTEC มากกว่า
บทวิเคราะห์: การที่อินเดียหันมาให้ความสนใจกับกลุ่มประเทศ BIMSTEC ส่งผลดีโดยตรงกับประเทศไทยในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิก BIMSTEC ดังนั้น เป็นช่วงจังหวะดีที่นักลงทุนไทยผู้สนใจลงทุนทำเศรษฐกิจกับอินเดีย อาจจะได้รับการพิจารณาจากอินเดียเป็นพิเศษ อันเป็นผลจากความร่วมมือระหว่างประเทศ BIMSTEC
Source: หนังสือพิมพ์ mint, 17 October 2016.
4. ภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดต่อผลิตภัณฑ์เหล็กทรงแบนที่ไม่ผสมโลหะ 21 ชนิดจะยังไม่ถูกบังคับใช้
Anti-dumping duty on 21 flat-rolled products of non-alloy steel is offing
Aruna Sharma เลขาธิการกระทรวงการโลหะกล่าวว่า ภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดที่ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์เหล็กรูปทรงแบนที่ไม่ผสมโลหะ 21 ชนิด เช่น แผ่นสังกะสีลูกฟูก จะยังไม่ถูกบังคับใช้ และกล่าวถึงว่าบทบัญญัติภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดในลวดเหล็กที่ผสมโลหะ และไม่ผสมโลหะ 15 ชนิด จะถูกประกาศใช้ในเร็วๆ นี้
จากการบังคับใช้มาตรการราคาสินค้านำเข้าขั้นต่ำ (MIP) ต่อผลิตภัณฑ์เหล็ก 173 ชนิด ที่มีราคาระหว่าง 341 – 752 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ในช่วง 6 เดือน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เพื่อต้องการจำกัดการนำเข้า ทั้งนี้ ในเดือนสิงหาคม รัฐบาลได้บังคับใช้ภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดต่อผลิตภัณฑ์เหล็กเพิ่มอีก 107 ชนิด
“ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานที่ชี้ชัดว่าการนำเข้าส่งผลกระทบผู้ผลิตภายในประเทศที่ผลิตอุตสาหกรรมเหล็กขั้นกลาง ที่รวมถึง TMT bars อย่างไรก็ตาม มาตรการราคาสินค้านำเข้าขั้นต่ำจะบังคับใช้จนถึงวันที่ 4 ธันวาคม” Sharma กล่าว
เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา Directorate General of Anti-Dumping (DGAD) & Allied Duties ได้แนะนำบทบัญญัติภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับสินค้านำเข้าจำพวกลวดเหล็ก
กระทรวงการโลหะยังไม่ได้แนะนำอัตราภาษีศุลกากรต่อผลิตภัณฑ์เหล็กขั้นกลาง 30 ชนิด เช่นพื้นเหล็ก เหล็กแท่ง เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับผู้ผลิตขั้นทุติยภูมิ โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังถูกมองว่า “ไม่สำคัญ”
การนำเข้าเหล็กของอินเดียพุ่งสูงโดยเฉลี่ยมากกว่า 1 เมตริกตันต่อเดือน เป็น 12.7เมตริกตัน ในปีช่วงปี ค.ศ. 2015-2016 จากเดิมที่นำเข้าเพียง 10.2 เมตริกตัน ในช่วงปี ค.ศ. 2014-2015 และ 5.7 เมตริกตัน ในช่วงปี ค.ศ. 2013-2014 ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์เหล็กจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี รวมกันแล้วมีมากถึง 3 ใน 4 ของการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กทั้งหมด หลังจากที่มาตรการราคาสินค้านำเข้าขั้นต่ำถูกบังคับใช้ การนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กเริ่มลดลง และอุตสาหกรรมโลหะภายในประเทศเริ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนพฤษภาคม ราคาเหล็กเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจนคาดการณ์ไม่ได้
Source: The Financial Express, 21 October 2016.
5. E-commerce giants are not flouting FDI norms: DIPP
บริษัท E-commerce รายใหญ่ยังไม่ได้ละเมิดกฎหมาย FDI
มีการสงสัยว่า Amazon และ Flipkart โฆษณาส่วนลดครั้งใหญ่ โดยไม่เป็นไปตามกฎการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือไม่ ? บริษัท E-Commerce ได้โฆษณาขายของครั้งใหญ่ในช่วงเทศกาลที่ผ่านในโลกออนไลน์ และสื่อสิ่งพิมพ์ชั้นนำ โดยมีการบริหารจัดการที่จะไม่ละเมิดกฎ และปฏิเสธความรับผิดชอบว่าส่วนลดที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากผู้ขายและไม่ใช่จากบริษัทเอง
เจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมและนโยบายได้กล่าวว่า "เรามีการประชุมร่วมกับ บริษัท E-commerce หลังจากได้รับการร้องเรียนจากร้านค้าต่างๆเกี่ยวกับส่วนลดดังกล่าวไม่เป็นไปตามกฎ FDI ของการลงทุนจากต่างประเทศ โดยบอกพวกเขาว่าถ้าส่วนลดจะเกิดจากผู้ขายและไม่ใช่เขาก็ควรจะบอกออกมาในโฆษณาด้วย ตอนนี้พวกเขาได้เริ่มต้นการทำเช่นนั้น "
กฎ FDI ของอินเดียอนุญาตให้ต่างชาติที่เข้ามาลงทุนขายสินค้าในตลาด E-commerce ขายเฉพาะสินค้าท้องถิ่นของอินเดียเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าบริษัท E-commerce ต่างๆไม่สามารถที่จะขายสินค้าตนเองได้นอกจากเสนอขายให้กับผู้จำหน่ายท้องถิ่นรายอื่นเพื่อขายสินค้าของตน
ตั้งแต่ บริษัท E-commerce ได้ออกมาปฏิเสธความรับผิดชอบเกี่ยวกับโฆษณาที่เกิดขึ้นว่า การโฆษณาต่างๆของพวกเขาไม่ได้ละเมิดกฎหมายใด ๆ ถ้าหากยังมีบริษัทใดๆยังเชื่อการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็มาพิสูจน์กันตามกระบวนการ
สมาคมผู้ค้าปลีกของอินเดียเอาปัญหาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับนโยบายในการพัฒนาภาคการค้าปลีก คณะผู้แทนย้ำว่าการสนับสนุนของรัฐบาลอินเดีย จะส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกของอินเดียสามารถเข้าถึงแหล่งทุนต่างๆจากทั่วโลกได้ถึงร้อยละ 49 โดยไม่มีข้อจำกัดใด ๆ
สำหรับยอดขายในช่วงเทศกาลช่วงต้นเดือนที่ผ่านมานี้ทั้ง Flipkart และ Amazon ได้เปิดเผยว่า Flipkart มียอดขายกว่าครึ่งล้านชิ้นภายในหนึ่งชั่วโมงในวันแรกของของการเปิดโปรโมชั่น ในขณะที่ Amazon ได้ระบุว่ามียอดขายมากกว่า 100,000 ชิ้น ในครึ่งชั่วโมงของวันเปิดโปรโมชั่น ในช่วงเทศกาล Diwali นี้ร้านค้าปลีกต่างๆมีความกังวลใจในธุรกิจของตนเองเนื่องจากสินค้าออนไลน์ได้มีส่วนลด และโฆษณาต่างๆ ทำให้มีลูกค้าหันมาใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
บทวิเคราะห์
ถือว่าเป็นความท้าทายของธุรกิจต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในประเทศอินเดียที่จะต้องเจอกับอุปสรรคภายในประเทศ ซึ่งถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆของไทยที่จะเข้ามาลงทุนในอินเดียถ้าประสบความสำเร็จอาจจะต้องเจอแรงต้านจากธุรกิจท้องถิ่นขึ้น
Source: BusinessLine, 21 Octorber 2016
6. Indian firms must take on China’s manufacturing might: Govt
อุตสาหกรรมของอินเดียต้องตามอุตสาหกรรมจากจีน
Anant GeeteUnion minister ออกมายอมรับว่าภาคการผลิตของอินเดียอยู่ใน "ภาวะเกิดปัญหา" หลายบริษัทพยายามที่จะตอบโต้ความท้าทายที่เกิดจากอิทธิพลของจีนที่เพิ่มมากขึ้นจากการขายสินค้าในราคาที่แข่งขันทั่วโลก
“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมหนักกล่าวในที่ประชุม ASSOCHAM ว่า"ภาคการผลิตของอินเดียมีปัญหาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในยุคของโลกาภิวัตน์ที่การแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้กลายเป็นความท้าทายสำหรับรัฐวิสาหกิจของรัฐ "
ถ้าเราล้มเหลวในการแข่งขันในตลาดโลกเราจะถูกโดดเดียวจากตลาด เราต้องแข่งขันกับประเทศจีนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นในตลาดโลก ซึ่งเราต้องยอมรับกับความท้าทายนี้ สำหรับการประเมินประสิทธิภาพการผลิตในเดือนกันยายนที่ผ่านมานั้น ลดลงถึง 52.1 จาก 52.6 ในเดือนสิงหาคม แสดงให้เห็นว่าการเจริญเติบโตในอุตสาหกรรมดังกล่าวได้สูญเสียอะไรบางอย่างลงไป
Geete กล่าวว่า "มันเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลที่จะรักษาผลประโยชน์ของภาครัฐและเอกชน เรามีการขายสินค้าในตลาดโลกในราคาที่แข่งขัน "
สำหรับอุตสาหกรรมเหล็กของอินเดียในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั้นได้ประสบกับปัญหาการไหลทะลักสินค้าจากจีนจนต้องประกาศใช้ราคานำเข้าต่ำสุด (MIP) โดยราคาขายเหล็กของอินเดียขึ้นอยู่กับราคาสินค้าสำเร็จรูปจากประเทศจีนและต้นทุนวัตถุดิบของอินเดีย
ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมารัฐบาลได้แก้ไขค่า MIP โดยกำหนดค่า MIP อยู่ที่ 752 เหรียญสหรัฐต่อตัน ในอุตสาหกรรมเหล็กบางชนิดเพื่อที่จะปกป้องผู้ประกอบการจากต่างประเทศนำเข้าเหล็กในราคาถูก ในเดือนสิงหาคมก็ได้ขยายค่า MIP ให้กับอุตสาหกรรมเหล็กอีก 66 ชนิด เพิ่มขึ้นอีก 2 เดือน
ในเดือนกันยายนคณะรัฐมนตรีได้สรุปกลยุทธ์ใหม่ขึ้น คือ Disinvestment สำหรับยุทธศาสตร์ Disinvestment ของรัฐบาลหมายถึงการขายหุ้นของรัฐบาลบางส่วนในการระบุผู้ประกอบการ (CPSEs)ในอุตสาหกรรมที่รัฐบาลถือครองหุ้นเกินร้อยละ 50 โดยกำหนดเป้าหมาย 20,500 ล้านรูปี
บทวิเคราะห์
เนื่องจากตลาดโลกในยุคโลกาภิวัตน์มีการแข่งขันสูงทำให้แต่ละประเทศต้องมีการปรับตัวมากขึ้นโดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เป็นของรัฐบาลจะมีการแข่งขันกับเอกชนที่สูงมากขึ้นแต่ความคล่องตัวน้อยกว่าทำให้ต้องเกิดการปรับตัวมากขึ้น ซึ่งถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของประเทศไทยที่จะต้องมีการปรับตัวในเรื่องในนี้อนาคตอันใกล้
Source: Millenniun Post, 21 October 2016
7. อินเดียปรับเงื่อนไขการนำเข้าเศษโลหะเฉพาะท่าเรือที่กำหนด
Extra conditions for metal scrap import
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (DGFT) ได้ประกาศให้มีการจำกัดการนำเข้าเศษเหล็กประเภทun-shredded scrap ให้ผ่านได้เฉพาะท่าเรือที่กำหนดเท่านั้น พร้อมทั้งดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับรังสีและเครื่องสแกนตู้คอนเทนเนอร์ และสินค้าฝากขายจะถูกตรวจสอบเป็นพิเศษเพื่อให้สอดคล้องกับระเบียบของศุลกากร อย่างไรก็ตามสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ICD) ทุกแห่งสามารถจัดการดำเนินพิธีการศุลกากร(Customs clearance) ได้เอง แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องผ่านเฉพาะท่าเรือที่กำหนดและสำหรับท่าเรืออื่นที่จะกำหนดเพิ่มในอนาคตด้วย
นโยบายปัจจุบันอนุญาตให้สามารถนำเข้าในของเสียประเภทโลหะหรือเศษโลหะทุกรูปแบบ ตราบใดที่ไม่ได้มีส่วนประกอบของวัสดุที่เป็นอันตราย ขยะพิษ ของเสียหรือเศษวัสดุที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี อาวุธ กระสุน เหมืองแร่ เปลือกหอย หรือวัตถุระเบิดในรูปแบบอื่น ๆ ผู้นำเข้าต้องแสดงสำเนาสัญญาที่ทำกับผู้ส่งออกที่มีการระบุว่ายอมรับตามข้อปฏิบัติที่กำหนด
ในกรณีของเสียหรือเศษโลหะบางชนิด (ได้แก่ ทองเหลือง ทองแดง เหล็ก นิกเกิล ดีบุก อลูมิเนียมสังกะสีแมกนีเซียม และเหล็ก) ที่อยู่ภายใต้รายการที่ระบุไว้ในการจำแนก ITC (HS) การนำเข้าจะได้รับอนุญาตในรูปแบบของเศษเหล็กขยี้ (Shredded scrap) ผ่านพอร์ตทั้งหมดโดยไม่ต้องมีใบอนุญาตใด ๆ สำหรับเศษโลหะที่ผ่านการแปรรูปทุกชนิด ผู้นำเข้าจะต้องแสดงหนังสือค้ำประกันจากธนาคารวงเงินหนึ่งล้านรูปี นอกจากนี้จะต้องแสดงหนังสือรับรองการตรวจสอบก่อนการส่งออก (Pre-shipment Inspection)จากหน่วยงานที่ได้รับอนุญาต เพื่อยืนยันว่าสิ่งของนั้นไม่ได้ประกอบด้วยสิ่งที่ระบุไปข้างต้น และผ่านการตรวจสอบระดับรังสี ใบรับรองจะต้องระบุค่าของค่าระดับรังสีพื้นหลังทั้งของสถานที่และบนเศษโลหะด้วย การนำเข้า การฝากขาย รวมไปถึงการพักตู้คอนเทนเนอร์เพื่อนำส่งไปยัง ICD ทั้งหมด จะต้องผ่านที่พอร์ตที่กำหนดไว้ซึ่งจะต้องถูกบังคับให้ผ่านการตรวจสอบด้วยระบบสแกนและการตรวจจับรังสีที่ติดตั้งไว้ในท่าเรือนั้น ๆก่อนจะผ่านพิธีการศุลกากร
การนำเข้าของเสียหรือเศษเหล็กไม่ขยี้เคยได้รับอนุญาตให้ผ่านเพียง 14 ท่าเรือและ 12ICD ที่กำหนดไว้ ในขณะนี้ได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขให้ทุกท่าเรือที่จะเพิ่มให้สามารถนำเข้าของเสียหรือเศษเหล็กไม่ขยี้ต้องติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับรังสีและเครื่องสแกนตู้คอนเทนเนอร์ภายใต้การรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมซึ่งจะต้องผ่านการรับรองจาก Atomic Energy Regulatory Board ด้วย ในส่วนของการดำเนินพิธีการศุลกากร กรมการค้าต่างประเทศจะประกาศให้พอร์ตที่กำหนดเป็นพอร์ตสำหรับการนำเข้าของเสียหรือเศษเหล็กไม่ขยี้
ท่าเรือที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าเศษเหล็กไม่ขยี้จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2560 ประกอบไปด้วยท่าเรือเมือง Chennai, Cochin, Ennore, JNPT (Navi Mumbai), Kandla, Mormugao, Mumbai, New Mangalore, Paradip, Tuticorin, Visakhapatnam, Pipavav, Mundra and Kolkata ซึ่งในช่วงเวลานี้สำหรับทุกท่าเรือดังกล่าวจะต้องดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับรังสีและเครื่องสแกนตู้คอนเทนเนอร์ให้แล้วเสร็จ หากท่าเรือใดไม่สามารถดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเวลาที่กำหนดจะถูกตัดออกจากรายการและจะไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าเศษเหล็กไม่ขยี้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2560 เป็นต้นไป
Source: Business Standard October 16, 2016
8. จำนวนผู้ป่วยต่างชาติของโรงพยาบาลอินเดียเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
Corporate hospitals see big jump in patients from abroad
โรงพยาบาลในเครือต่างๆ ของอินเดียได้รับความสนใจจากผู้ป่วยต่างชาติมากขึ้น อันเนื่องมาจากการส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศในฐานะศูนย์กลางทางการแพทย์ตามข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการแพทย์ จำนวนของผู้ป่วยจากต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาอินเดียเพื่อเข้ารับการรักษาเพิ่มสูงขึ้นที่ร้อยละ 23 - 25 ต่อปี
“ข้อมูลจาก 8 โรงพยาบาลในเครือ Apollo Group ซึ่งได้รับสิทธิในการรักษาผู้ป่วยต่างชาติและข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการที่เรารวบรวมจากแหล่งอื่น ๆ แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของจำนวนการเข้ามายังประเทศอินเดียเพื่อการรักษาพยาบาล”Radhe Mohan รองประธานฝ่ายการตลาดระหว่างประเทศของApollo Health City กล่าว Apollo group รักษาผู้ป่วยต่างชาติกว่า150,000 คนในปีงบประมาณสุดท้ายที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2016 และคาดว่าปีนี้จะเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 25
ผู้ป่วยต่างชาติเดินทางมาจากกว่า 125 ประเทศส่วนใหญ่จากแอฟริกาและกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช CIS เพื่อการรักษาอาการเจ็บป่วยของหัวใจตับโรคมะเร็งและการปลูกถ่ายอวัยวะอื่น ๆ HIV และโรคอื่น ๆ ซึ่งที่ผานมาในอุตสาหกรรม Medical Tourism มีประเทศไทยเป็นปลายทางหลักของผู้คนทั่วโลก ในขณะที่อินเดียก็กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดโลกเช่นกัน โดยมีตัวผลักดันสำคัญคือค่าใช้จ่ายในการรักษา
Bhavdeep Singh ประธานกรรมการบริหารบริษัท Fortis Healthcare กล่าวว่า อินเดียมีข้อได้เปรียบด้านค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ถูกกว่าประเทศอื่น ๆ เป้าหมายใหญ่ที่สุดของบริษัทคือความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับ และโอกาสในการรักษาผู้ป่วยอย่างกว้างขว้าง ทั้งนี้บริษัทยังได้นำเสนอความล้ำหน้าทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยในการรักษาด้วย โรงพยาบาลในเครือ Fortis ได้ให้การรักษาผู้ป่วยต่างชาติกว่า17,000 คนในปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 ในปีนี้
Mahendar Pala หัวหน้าฝ่ายการตลาดของโรงพยาบาลในเครือ CARE ที่ได้ให้การรักษาผู้ป่วยต่างชาติประมาณ 5,000-7,000 ต่อปีกล่าวว่าผู้ป่วยจำนวนมากจากประเทศเพื่อนบ้านของอินเดียเดินทางมารักษาที่เมืองไฮเดอราบัด อาทิ จากประเทศบังคลาเทศ (โรคกระดูกและข้อ) อัฟกานิสถาน (กุมารเวชศาสตร์ - โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาหัวใจในเด็ก) และปากีสถาน
ตามรายงานล่าสุดของCII- Grant Thornton ปัจจัยเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาและความพร้อมของสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้รับการรับรองเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนตัดสินใจเดินท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ไปยังประเทศสิงคโปร์, ไทย, อินเดีย, มาเลเซีย, ไต้หวัน, เม็กซิโกและคอสตาริกา ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีความพร้อมของสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้รับการรับรองมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากประเทศไทยในการทางเดินเพื่อสุขภาพ และคาดว่าตลาดการท่องเที่ยวทางการแพทย์ของอินเดียจะเติบโตจาก 3พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2015 เป็น 7-8พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2020
สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือผู้ป่วยที่เจ็บป่วยจากโรคที่ถือว่าเป็นอันตรายคุกคามต่อชีวิตและต้องใช้เวลาการรักษานานต้องการที่จะมารักษาที่อินเดีย ด้วยเหตุผลด้านความเชี่ยวชาญและที่สำคัญคือเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา เมื่อเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ามากในประเทศไทย
ทั้งนี้ หากการขอวีซ่าทางการแพทย์มีความซับซ้อนน้อยลงจะทำให้อินเดียมีศักยภาพอย่างเต็มที่ในด้านนี้ จึงเป็นอีกข้อจำกัดหนึ่งที่ควรจะได้รับการปรับปรุง ประธานกรรมการบริหารบริษัท Fortis Healthcare มีความเห็นว่า อินเดียก็ควรแก้ไขกฎหมายการคลังสำหรับผู้ป่วยต่างชาติ เพื่อให้การโอนเงินง่ายขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการให้การรักษาผู้ป่วยต่างชาติและจะนำรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล
ข้อเสนอแนะ:ผู้ประกอบการด้านการแพทย์ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยต้องตระหนักถึงการพัฒนาของอินเดียในเรื่องการท่องเที่ยวทางการแพทย์ และปรับปรุงให้มีความก้าวหน้ามากขึ้น โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่สนับสนุนให้คนตัดสินใจเดินทางมารักษาพยาบาลในประเทศไทยอย่างครอบคลุม เพื่อรักษาตลาดการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ให้เป็นอันดับหนึ่งของโลกต่อไป
Source: Business Line October 17, 2016
9. อินเดียแสวงหาความร่วมมือในกลุ่มประเทศผู้ผลิตยางร่วม
Cooperation among rubber producing countries sought
การประชุม Assembly Session of the Association of Natural Rubber Producing Countries (ANRPC) ครั้งที่ 39 ของสมาคมประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติ ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองกูวาฮาติ ประเทศอินเดีย มีนาย San Vantyประธานสมาคมประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติ และตัวแทนของรัฐบาลกัมพูชาเป็นประธานการประชุมและกล่าวเปิดงาน ที่ประชุมมีความเห็นพ้องต้องกันในการแสวงหาความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศผู้ผลิตยาง เพื่อให้เกิดความมั่นคงในกลุ่มประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติในอนาคต
นอกจากนี้ สมาคมประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติยังเห็นถึงความสำคัญของผู้ผลิตยางรายย่อย จึงได้สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในการจัดกิจกรรมเพื่อการพัฒนาแก่เกษตรกรผู้ผลิตยางรายย่อย
นาย A Ajith Kumar ประธานคณะกรรมการการยางของอินเดียกล่าวว่า ความร่วมมือในระดับพหุภาคีในกลุ่มประเทศผู้ผลิตยางสามารถสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอย่างมั่นคงในภาคสินค้าโภคภัณฑ์เช่นยางธรรมชาติ
Salmiah Ahmad ประธานกรรมการบริหารบริษัท International Rubber Consortiumกล่าวว่าสภาไตรภาคียางพารา (International Tripartite Rubber Council – ITRC) และบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ(IRCo) ได้ร่วมกันจัดตั้งตลาดยางระดับภูมิภาคขึ้นโดยใช้ชื่อว่าITRC RRM ตั้งแต่วันที่26 กันยายนที่ผ่านมา
ข้อเสนอแนะ:เนื่องจากประเทศไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกสมาคมประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการยางในประเทศไทยควรให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดความมั่นคงในกลุ่มประเทศผู้ผลิตยาง และให้ข้อมูลกับเกษตรกรผู้ผลิตยางรายย่อยด้วย
Source: Business Line on October 18, 2016