สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์ - 8 - 14 เมษายน 2560 (อินเดีย)
1. ทำไมอินเดียถึงจะได้ประโยชน์จำกสงครำมกำรค้ำระหว่ำงสหรัฐฯ และจีน
Why India could be the winner of a US-China trade war
ที่มาภาพ : economictimes.indiatimes.com
สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ดูเหมือนจะยืดเยื้อ อันเป็นสัญญาณเตือนถึง ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก แต่อินเดียกลับมี ความเห็นที่แตกต่างออกไป
Seshadri Chari เจ้าหน้าที่อาวุโสจาก พรรค BJP ซึ่ง เป็นพรรครัฐบาลของ นายกรัฐมนตรี Narendra Modi กล่าวว่า อินเดียจะได้ประโยชน์จากความตึงเครียดของ สงครามการค้าดังกล่าว ประธานาธิบดี Xi Jinping ต้องการตลาดขนาดใหญ่ของอินเดีย จากการที่ ประธานาธิบดี Donald Trump ขู่ว่าจะมีมาตรการลงโทษอุตสาหกรรมของจีนและบริษัทของ สหรัฐฯ ที่ผลิตสินค้าในต่างประเทศ เขากล่าวอีกว่า การที่ปักกิ่งต้องรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพทางการเมืองจะช่วยให้นิวเดลีใช้ประโยชน์จากภูมิรัฐศาสตร์ เพื่อตอบโต้การล่วงล้ า ของจีนในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยเฉพาะปากีสถาน “ความเข้มแข็งในการผลิตสินค้าของจีนต้องการตลาดขนาดใหญ่ และสหรัฐฯ ไม่ใช่ตลาดของจีนอีกต่อไป ขณะนี้จีนไม่สามารถเสี่ยงต่อการล้มสลายทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยง ทางการเมืองของ Xi Jinping มีมากเกินไป พวกเขาต้องการตลาดขนาดใหญ่ และอินเดียคือตลาด ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย”
ทั้งจีนและสหรัฐฯ ได้ประเมินว่าจะต้องพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้สงครามการค้าปะทุอย่างเต็มรูปแบบ และ Trump กำลังทำตามนโยบายที่เคยสัญญาไว้เมื่อตอนหาเสียงคือการออก มาตรการต่อต้านปักกิ่ง ทำให้ขณะนี้ความสัมพันธ์ทางการค้าในอนาคตของทั้งสองประเทศยังไม่มี ความชัดเจน
การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาคเอเชียใต้จะพิสูจน์ให้เห็นถึงผลประโยชน์ ต่อนิวเดลี โดยเฉพาะหากวอชิงตันตัดสินใจใช้มาตรการปกป้องตลาดเพื่อต่อต้านอุตสาหกรรมจาก จีน หรือตัดความช่วยเหลือทางทหารกับปากีสถานซึ่งเป็นคู่แข่งของอินเดีย
ตำแหน่งที่เข้มแข็ง
Yashwant Sinha สมาชิกอาวุโสของพรรค BJP ซึ่งเคยรับผิดชอบงานด้านต่างประเทศ และการคลังในรัฐบาลที่ผ่านมา กล่าวว่า หากความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับจีนเกิดปะทุอย่าง รุนแรง อินเดียอาจจะไม่ใช่ประเทศเดียวที่จะได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว จากการที่อินเดียมีตลาดใน ประเทศขนาดใหญ่นั่นหมายความว่าผลประโยชน์จะตกกับทั้งอินเดียและประเทศที่ทำการค้ากับอินเดียด้วย
“ระดับผู้บริโภคของอินเดียนั้นกว้างขวางกว่าประชากรของหลายๆ ประเทศ ดังนั้นเราจึงนำเสนอตลาดขนาดใหญ่ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการโฆษณามาก ซึ่งนี่เป็นข้อดีของอินเดีย และ ในทางกลับกันจะช่วยเป็นการยกระดับความต้องการของสินค้าและบริการของอินเดีย ตลอดจน การเคลื่อนย้ายของบุคลากรและแรงงาน”
ความคิดเห็นจาก Sinha และ Chari เป็นการเสนอแนวทางให้กับการดำเนินนโยบาย ต่างประเทศของพรรค BJP เพื่อตอบสนองกับช่วงเวลาที่สถานการณ์โลกขาดความมั่นคง พวกเขา ได้แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจให้กับอินเดียในการต่อรองทางการค้า อย่างไรก็ตาม อินเดียยังคงมีความเสี่ยงหากจีนและสหรัฐฯ ร่วมมือกันแก้ปัญหาความ ขัดแย้งดังกล่าวโดยเฉพาะหาก Trump จำกัดการออกวีซ่าซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อบุคลากร ชาวอินเดียที่ทำงานด้านเทคโนโลยีในสหรัฐฯ
Jagdish Thakkar โฆษกนายกรัฐมนตรี และ Muttu Singh ยังไม่มีความเห็นในประเด็น ข้างต้น
ความเสี่ยงคู่ขนาน
Ashok Malik จาก the Delhi-based Observer Research Foundation “นโยบาย ปกป้องตลาดของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบกับจีนมากกว่าอินเดีย”
เขากล่าวว่า จีนสามารถตอบโต้ความขัดแย้งทางการค้าโดยเริ่มสงครามค่าเงิน และในขณะ ที่อินเดียเป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับเงินทุนของจีน ซึ่งไม่ใช่ตลาดที่อยู่ในระดับเดียวกับสินค้าที่ บริโภคในสหรัฐฯ แม้ว่าจะมีผลประโยชน์ในทางการเมืองจากความทรุดโทรมของความสัมพันธ์ ระหว่างสหรัฐฯ และจีน แต่ในทางเศรษฐกิจแล้ว ผลกระทบอาจจะเกิดขึ้นกับทั้งอินเดียและ ประเทศอื่นๆ ด้วย
คำถำมเกี่ยวกับปำกีสถาน
ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน มาพร้อมกับการที่ปักกิ่งลงทุนกว่า 5.5 หมื่นล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ ในโครงการ China Pakistan Economic Corridor ซึ่งจีนลงทุนในโครงสร้าง สาธารณูปโภคในเขต Kashmir ซึ่งเป็นส่วนที่อินเดียอ้างว่าอยู่ในดินแดนของตน
Chari กล่าวว่า “หากจีนต้องการสร้างผลกระทบให้กับเศรษฐกิจอินเดียโดยการลงทุนใน โครงการ CPEC ดังนั้น อินเดียก็จะสร้างผลกระทบให้กับเศรษฐกิจของจีนเช่นเดียวกัน”
“ปัจจุบันนี้ อินเดียต้องเผชิญหน้ากับจีนในการแข่งขันเพื่อสร้างความเข้มแข็ง ซึ่งขณะนี้จีน กำลังสูญเสียตลาดของสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว”
Shashi Tharoor นักกฎหมายที่อยู่ตรงข้ามพรรค Congress และคณะกรรมาธิการของ รัฐสภาในกิจการระหว่างประเทศ มีความเห็นว่า ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะผลักดัน ให้ทั้งสองประเทศสนใจในอินเดีย “หากสหรัฐฯ และจีนยังคงขัดแย้งกัน สหรัฐฯ จะหันมาสนใจใน อินเดียมากขึ้นในฐานะที่เป็นตัวแสดงหลักของเอเชีย ขณะเดียวกันจีนจ าเป็นต้องขยายความ หลากหลายของตลาดและการลงทุน ซึ่งตลาดดังกล่าวก็รวมถึงอินเดียเช่นกัน”
อย่างไรก็ตาม Ashok Kantha อดีตทูตอินเดียประจำประเทศจีน และผู้อำนวยการ the Institute of Chinese Studies แห่งนิวเดลี กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เร็วเกินไปที่จะกล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะตกต่ำลง เนื่องจากขอบเขตการพึ่งพากันระหว่างสองประเทศยังจำเป็นอยู่
“อินเดียกำลังจะเป็นตลาดที่สำคัญสำหรับจีน แต่จากการที่อินเดียเสียดุลการค้ากับจีนกว่า 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การส่งออกของอินเดียไปยังจีนยังคงเป็นไปอย่างจำกัด”
บทวิเครำะห์: เป็นที่น่าสนใจว่าอินเดียจะใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งของสองมหาอำนาจอย่าง สหรัฐฯ และจีน เพื่อดึงดูดให้ทั้งสองประเทศมาแข่งขันกันค้าขายและลงทุนในอินเดียซึ่งมีศักยภาพ ทางตลาดสูงจากการที่มีผู้บริโภคมากมายและมีหลายระดับ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงช่องว่างและโอกาสในการแข่งขันในการลงทุนในอินเดียที่เปิดกว้างอย่างมาก ดังนั้นนักลงทุนจากไทยจึงไม่ควรละเลย จุดแข็งของตลาดอินเดียที่จะสามารถดึงดูดประเทศมหาอำนาจให้เข้ามาทำธุรกิจในอินเดีย
Source: THE ECONOMIC TIMES. Apr 07, 2017.
2. ธนาครกลางของอินเดียมีกำรเสนอธนำคำรส ำหรับกำรลงทุนระยะยำวเพื่อกำรระดมทุนใน กำรส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานและอุตสำหกรรมหลักของประเทศ
RBI proposes long-term finance banks for funding to infrastructure & core industries
ที่มาภาพ : economictimes
มุมไบ: เอกสารการอภิปรายของธนาคารแห่งประเทศอินเดีย (Reserve Bank of India - RBI) ได้เสนอให้มีการจัดตั้งธนาคารสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะกองทุนเพื่อการลงทุน ด้านโครงสร้างพื้นฐานและโครงการอุตสาหกรรมสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Greenfield) โดยมีความต้องการเงินทุนขั้นตำประมาณ 1 หมื่นล้านรูปีทั้งนี้สำหรับของผู้มีสิทธิ์ที่จะลงทุนใน ธนาคารเพื่อการค้าและการเงินระยะยาว (Wholesale and Long-term Finance Bank: WLTFB) จะมีลักษณะเช่นเดียวกับใบอนุญาตให้ใช้บริการธนาคารสากลที่เปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว ฉะนั้นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ไม่ สามารถถือหุ้นได้เกินกว่าร้อยละ 10
ในขณะที่บุคคลทั่วไปที่มีประสบการณ์ด้านการธนาคารและการเงินมากกว่า 10 ปีหรือเทียบเท่าระดับตำแหน่งอาวุโสที่มีความสำเร็จในการทำงาน สามารถยื่นขอใบอนุญาตพร้อมกับกลุ่มธุรกิจซึ่งมีสินทรัพย์รวมไม่น้อยกว่า 5 หมื่นล้านรูปีและไม่ถือหุ้นเกินกว่า 40% ของรายได้รวมจากแหล่งที่มิใช่การเงิน ทั้งนี้ธนาคารดังกล่าวจะไม่มีการเปิดดำเนินงานในพื้นที่ชนบท หรือพื้นที่กึ่งเมืองรวมถึจะไม่เปิดดำเนินงานในพื้นที่ที่สร้างผลกระทบต่อระบบการเกษตรและสังคม
ธนาคาร WLTF จะให้ความสำคัญกับการให้กู้ยืมแก่โครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม หลักภาคต่างๆ ซึ่งภาคส่วนเหล่านี้ขาดแคลนเงินลงทุนและสินเชื่อในการดำเนินงาน ฉะนั้นเพื่อการกำหนดช่องทางในการให้สินเชื่อที่แน่นอนของธนาคาร WLTF สู่กลุ่มภาคส่วนเศรษฐกิจที่เป็น เป้าหมายของโครงการ การคำนวณภาพรวมของจำนวนเงินที่จำเป็นสำหรับการส่งเสริมสินเชื้อทั้ง ในส่วนโครงสร้างพื้นฐานและโครงการลงทุนระยะยาวจึงมีความจำเป็นอย่างมาก ดังนั้นธนาคาร WLTF จึงอาจไม่มีการรับฝากแบบออมทรัพย์และอาจมีเพดานการฝากเงินเริ่มต้นแบบระยะยาวที่ 1 ร้อยล้านรูปี และอาจจำเป็นต้องมีข้อจำกัด รวมถึงกฎเกณฑ์บังคับไม่ให้เกิดการถอนเงินจำนวน ดังกล่าวก่อนเกณฑ์ การระดมทุนจากการขายพันธบัตรสกุลเงินรูปี ทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ จะเป็นแหล่งเงินทุนหลักสำหรับธนาคาร WLTF ธนาคารนี้ยังสามารถหาเงินจากแหล่งอื่น ๆ ได้ เช่นการกู้ยืมเงินธนาคารพาณิชย์บัตรเงินฝากและสินทรัพย์ การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
นอกจากนี้ธนาคาร WLTF ยังต้องรักษาอัตราการถือครองเงินสด (CRR) เช่นเดียวกับ ธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ โดยต้องวางเงินมัดจำร้อยละ 4 ของเงินฝาก แต่อย่างไรก็ตาม ธนาคาร WLTF มีความต่างคือ ต้องรักษาอัตราส่วนสภาพคล่องตามกฎหมายไว้(the statutory liquidity ratio: SLR) ซึ่งเป็นการบังคับให้ธนาคารลงทุนในหลักทรัพย์ของรัฐบาล ซึ่งปัจจุบันธนาคารลงทุน ร้อยละ 20.5 ของเงินฝากในหลักทรัพย์ของรัฐบาล
บทวิเครำะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่าอินเดียกำลังมีแผนที่จะเพิ่มการลงทุนด้านโครงสร้าง พื้นฐาน รวมถึงอุตสาหกรรมหลักหลายๆส่วนภายในประเทศ แสดงให้เห็นว่าในอนาคตอินเดียจะมี ศักยภาพมากยิ่งขึ้นในการดึงดูดการลงทุน จากการมีโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ สิ่งเหล่านี้ จึงเป็นผลกระทบต่อรัฐบาลไทยที่มีการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศเช่นเดียวกัน
ข้อเสนอแนะ: สำหรับประเทศที่ต้องการวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีรูปธรรมมาก ยิ่งขึ้น โดยอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนอื่นๆ อาจใช้โมเดลของอินเดีย ผ่านการออกพันธบัตร และธนาคารเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนระยะยาว
Source: THE ECONOMIC TIMES. Apr 08, 2017.
3. รายงานควำมเชื่อมั่นทำงธุรกิจของ CII พุ่งสูงเป็นประวัติกำรณ์ในทิศทำงเดียวกับบริษัท อินเดียที่ปรับตัวดีขึ้น
Business confidence hits record high with companies upbeat on economy: CII
ที่มาภาพ : economictimes
นิวเดลี: เนื่องจากบริษัทต่างๆ คาดการณ์ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะก้าวไปในทิศทางที่ดี ขึ้น ในปีนี้ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของ CII จึงทะยานสู่ระดับสูงสุดในไตรมาสสุดท้ายของเดือน มกราคม – มีนาคม 2560 การคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้นในมุมมองทางธุรกิจในช่วงเริ่มต้นของปีพ.ศ. 2560 เป็นรากฐานของความหวังว่าการริเริ่มด้านการปฏิรูปของรัฐบาล จะช่วยลดอุปสรรคในการลงทุนขอบริษัทต่างๆ ให้สามารถก้าวไปข้างหน้าได้มากยิ่งขึ้น
ดัชนีในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากดัชนีคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้นอย่าง ชัดเจน แม้จะมีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยใน ดัชนีสถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้แสดงให้ เห็นว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นและ บริษัทต่างๆ มีความ ตื่นตัวในเรื่องกิจกรรมในภาคธุรกิจของตน อย่างไรก็ตาม CII ได้ถามคำถามแก่ภาคธุรกิจ ต่างเกี่ยวกับประเด็นที่มีความวิตกกังวลภายในช่วง 6 เดือนข้างหน้า โดยภาคธุรกิจส่วนใหญ่เริ่มต้น ด้วยระบุว่าอุปสงค์ในประเทศต่ำตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เปราะบางและการเพิ่มขึ้นของ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์เป็นประเด็นสำคัญของพวกเขา
ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของ CII (The CII Business Confidence) มีการบันทึกไว้ที่ 64.1 ในช่วงเวลาระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมปี 2017 เทียบกับระดับที่ 56.5 ในไตรมาส ก่อหน้า แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของความเชื่อทางธุรกิจที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นภายหลังมีระดับต่ำอย่างต่อเนื่องในช่วงปีก่อนหน้านี้ โดยผลการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจความคิดเห็นทางธุรกิจประจำปีครั้งที่ 98 ของ CII ซึ่งอิงตามการตอบรับ ประมาณ 200 ครั้ง จาก บริษัทขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ซึ่งครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ
ทั้งนี้สภาพการณ์ของภาคธุรกิจมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 63 จากความ เชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นในช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคมในปี 2017 ซึ่งต่าง จากในช่วงไตรมาสก่อนหน้านี้ที่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 39 เท่านั้น ในทางเดียวกันจากการตอบ แบบสอบถามของภาคธุรกิจต่างๆ คาดการณ์ว่าในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมในปี 2017 มีการ เพิ่มขึ้นของการสั่งซื้อใหม่มากถึงร้อยละ 60 ในขณะที่ไตรมาสก่อนหน้านี้มีเพียงร้อยละ 41 การฟื้น ตัวของสภาพธุรกิจคาดว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเติบโตภายในประเทศ เช่นเดียวกับ ความคาดหวังของของ บริษัทส่วนใหญ่ กว่าร้อยละ 61.8 คาดว่าจะพยายามรักษาสภาพอัตราการ ส่งออกที่มีอยู่ในช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคมในปี 2017
นอกจากนี้รอบงบประมาณใหม่ที่กำลังจะหมุนเข้ามาใหม่นี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการ ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทต่างๆ คาดว่าจะเป็นสำคัญในการเพิ่มศักยภาพในการเพิ่มอัตราการผลิตในไตรมาสที่สี่ของปีงบประมาณ 2016-2017 ข้อมูลดังกล่าวเป็นความ จริงที่ร้อยละ 65 ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตจะสูงกว่าร้อยละ 75 ในขณะที่เพียงร้อยละ 36 ของผู้ตอบแบบสอบถามมีประสบการณ์เดียวกันในช่วงเดือนตุลาคมถึง ธันวาคม 2016
อย่างไรก็ตามแม้จะมีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น แต่บริษัทส่วนใหญ่จะไม่มีการ เปลี่ยนแปลงแผนการลงทุนในประเทศและระหว่างประเทศในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2017 มากกว่าครึ่งหนึ่งของ บริษัทคาดว่าจะรักษาสถานะเดิมด้านแผนการลงทุนในระบบ เศรษฐกิจภายในประเทศในช่วงไตรมาสที่จะมาถึงข้างหน้า
บทวิเครำะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่าความเชื่อมั่นทางด้านการลงทุนของภาคธุรกิจของ อินเดียมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นผลสำคัญจากแนวทางการปฏิรูปด้านต่างๆ ของรัฐบาล ถึงแม้ บริษัทต่างๆ จะยังคงแผนการลงทุนในลักษณะเดิม แต่มีแนวโน้มสูงที่การลงทุนจะเพิ่มขึ้น ซึ่งแสดง ให้เห็นว่าเศรษฐกิจของอินเดียจะเติมโตมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลในเชิงบวกต่อผู้ลงทุนชาวไทย แต่จะอาจจะมีผลในทางตรงกันข้ามต่อการส่งเสริมการลงทุนของอินเดียในไทย ที่ยังคงไม่มีความแน่นอน เท่าใดนัก
Source: THE ECONOMIC TIMES. Apr 09, 2017.
4. อินเดียมีแผนเชื่อมเลขประจำตัว Aadhaar กับ PAN โดยผ่ำนกำรตรวจสอบข้อมูล แบบ ID proof scan
Now, link Aadhaar with PAN through ID proof scan, OTP
รูปภาพจาก : http://economictimes.indiatimes.com
กรมสรรพากรของอินเดียกำลังวางแผนที่จะเสนอทางเลือกใหม่ในการกรอกข้อมูลของ efiling สำหรับผู้เสียภาษีสามารถที่จะเลือกเชื่อมข้อมูล Aadhaar โดยไม่ต้องเปลี่ยนชื่อผ่านการ เลือกรหัสผ่านแบบครั้งเดียวหรือ OTP โดยที่ระบบสามารที่จะเชื่อมข้อมูลปีเกิดของบุคคลใน เอกสารทั้งสอง ด้วยการเชื่อมข้อมูลของ PAN กับ Aadhaar ได้เลย นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมเข้า สู่ระบบ e-filing website ของกรมสรรพากรหรือ NSDL ได้ แต่จะมีปัญหาในกรณีที่สะกดชื่อ ต่างกันในบัตรสองใบ เช่น การใช้ชื่อเต็มใน PAN และชื่อย่อใน Aadhaar ในกรณีเช่นนี้ กรมสรรพากรอนุญาให้แก้ไขโดยการอัพโหลดสำเนาของ PAN บนเว็บไซต์ Aadhaar เจ้าหน้าที่บอก PTI กล่าวว่า แผนกภาษีจะเริ่มให้ความรู้แก่ผู้เสียภาษีในเรื่องดังกล่าว ตั้งแต่ สัปดาห์นี้เป็นต้นไป ผ่านทางสื่ ประชาสัมพันธ์ต่างๆ เกี่ยวกับวิธีการเชื่อมโยง PAN กับ Aadhaar รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง Arun Jaitley ได้ผ่านการแก้ไขข้อเสนอภาษี ในงบ การเงินของปีงบประมาณ 2017-18 ได้ทำให้ Aadhaar บังคับสำหรับการยื่นแบบแสดงรายการ ภาษีรายได้ของผู้เสียภาษี ส่งผลให้มีดารเชื่อมโยงระหว่าง PAN กับ Aadhaar ซึ่งจะช่วยลดการ หลีกเลี่ยงภาษีผ่านการใช้บัตร PAN หลายใบ นอกจากนี้ e-filing ได้เปิดใช้งานฟังก์ชันการ เชื่อมโยง PAN กับ Aadhaar แล้ว กว่า 10.8 ล้านบัญชี แต่ก็ยังถือเป็นสัดส่วนที่น้อยอยู่ถ้าเทียบ กับผู้ถือบัตร PAN ที่มีอยู่กว่า 250 ล้านบัญชี และในขณะที่Aadhaar มีอยู่ถึง 1,110 ล้านคน และ ตามสถิติแล้วมีผู้ที่ยื่นภาษีเงินได้ในปัจจุบันเพียง 60 ล้านคนเท่านั้น
โดยเจ้าหน้าที่กล่าวว่าการเชื่อมโยง PAN กับ Aadhaar ไม่ควรยุ่งยากส าหรับผู้ที่มี หมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ลงทะเบียนไว้กับ Unique Identification Authority of India (UIDAI) ที่มีการใช้งานอยู่
"ในกรณีที่ผู้เสียภาษีไม่สามารถเชื่อมโยง PAN กับ Aadhaar ได้ เนื่องจากความแตกต่างใน ชื่อ เราขอแนะนำให้เข้าสู่เว็บไซต์ Aadhaar ขอเปลี่ยนชื่อและอัปโหลดสำเนา PAN card ที่สแกนเป็นหลักฐาน ถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการปรับปรุงชื่อใน”
ตัวเลือกนี้จะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ใช้ชื่อย่อหรือผู้ที่สะกดชื่อผิดไปไว้ในบัตร Aadhaar อย่างไรก็ตามก็ยังเป็นประโยชน์ในกรณีของผู้ที่แต่งงานและเปลี่ยนนามสกุลของพวกเขา โดยได้เปลี่ยนในห มายเลข Aadhaar แต่ไม่ได้เปลี่ยนในเอกสารของ PAN อีกด้วย
ในกรณีการเปลี่ยนแปลงชื่อดังกล่าวและอื่น ๆ ฝ่ายภาษีวางแผนที่จะให้เลือกตัวเลือก OTP โดยรหัสผ่านจะถูกส่งไปยังหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ลงทะเบียนไว้กับ Aadhaar โดยสามารถ เชื่อมปีเกิดของผู้เสียภาษีที่ตรงกับฐานข้อมูลของ Aadhaar
วิเครำะห์
วิธีการเชื่อมข้อมูลดังกล่าวของรัฐบาลอินเดียจะทำให้ฐานการจ่ายภาษีของอินเดียจะกว้าง มากขึ้น ทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้สามารถมี งบประมาณในการพัฒนาต่างๆในอนาคตได้มากขึ้นอีกด้วย
Source: THE ECONOMIC TIMES. Apr 09, 2017.
5. พื้นที่เบงกอลตะวันตก: ผลผลิตของมันฝรั่งมำกเกินควำมต้องการ ขณะที่ราคำข้าวลดลง
West Bengal: Overproduction of potato, rice lead to sharp drop in prices
ภาพจาก : http://economictimes.indiatimes.com
Tapan Samui ชาวนาในรัฐเบงกอลตะวันตกอายุ 45 ปี กล่าวว่า เขาไม่เคยมีความหวังว่า จะได้รับการยกเว้นเงินกู้ Samui ไม่ได้กู้ยืมเงินจากธนาคาร เขาได้หว่านมันฝรั่งในดินแดน 40 คัทธา (ประมาณ 2 ใน 3 ของเอเคอร์) เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาเกิดภาวะ Demonetisation ท า ให้ Samui ไม่สามารถเข้าถึงเงินสดและเงินฝากธนาคารได้ในขณะนั้น เขาจึงต้องยืมเงินจำนวน 30,000 รูปีจากนายทะเบียนท้องถิ่นเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์
การเก็บเกี่ยวมันฝรั่งของรัฐในปีนี้ (การเก็บเกี่ยวหัวมักจะเริ่มต้นในปลายเดือนมกราคมและ จะดำเนินต่อไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์) ได้มีการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 22% เป็น 11 ล้านตัน ซึ่งส่งผลให้ ราคาตกต่ำ ส่งผลให้อย่างน้อยเกษตรกรผู้ปลูกมันฝรั่ง 4 คนได้ทำการฆ่าตัวตายแล้ว โดยรัฐ ท้องถิ่นได้ทำการจัดซื้อมันฝรั่งจำนวน 28,000 ตัน ในราคากิโลกรัมละ 4.60 รูปี ซึ่งช่วยเพิ่มราคา และความเชื่อมั่นในตลาดที่ดีขึ้น แต่อาจจะสายเกินไป ในขณะปีที่ผ่านมาราคาหน้าฟาร์มอยู่ที่ 6 ถึง 8 รูปีต่อกิโลกรัม
Purnendu Basu รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรเบงกอล กล่าวว่า เกษตรกรผู้ปลูกมัน ฝรั่งต้องช่วยกันแบ่งความรับผิดชอบในสถานการณ์เช่นนี้ เนื่องจากเขาได้ให้คำแนะนำแก่เกษตรกร ให้เปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่น ขณะที่พวกเขาได้ราคาที่ดีขึ้นในปีที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาเลือกที่จะ ปลูกมันฝรั่งอีกครั้งในปีนี้
ขำดแคลนเงินสดในอุตสำหกรรมมันฝรั่ง
Samui ซึ่งมีพื้นที่เก็บเกี่ยวถึง 6,500 กิโลกรัม อยู่ในเขต Baikunthapur ของเขต Hooghly อยู่ห่างจากโกลกาตาไปทางตะวันตกประมาณ 80 กิโลเมตรก็ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก โดยเขากล่าวว่า "ต้นทุนการผลิตมันฝรั่งของเขาอยู่ที่กิโลกรัมละ 3.80 - 4.20 รูปี แต่เขาขาย ผลผลิตของเขาในราคากิโลกรัมละ 1.80-1.90 รูปีเท่านั้น เนื่องจากมีผู้ที่รับจำนวนไม่มากนัก
ยกเว้นชาวนาที่ร่ำรวยใน 3 เขตของ West Midnapore, Burdwan และ Hooghly ผู้ซึ่ง สามารถปลูกพืช สามารถเช่าพื้นที่ในที่เก็บความเย็น และจ่ายเงินเพื่อขนส่งผลผลิตได้ทั้งหมด เท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ ต่างจากเกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่ที่ต้องเสี่ยงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดย พวกเขาส่วนใหญ่แล้วจะขายสินค้าของเขาให้กับพ่อค้าคนกลาง
การบริโภคมันฝรั่งในเบงกอลนั้นจะไม่เกิน 5.5 ล้านตัน โดยทั่วไปจะส่งออกไปยังรัฐเพื่อนบ้านประมาณ 4.5 ล้านตัน ซึ่งหมายความว่าจากผลผลิตทั้งหมด 11 ล้านตัน มีปริมาณส่วนเกินถึง 1 ล้านตัน โดยพื้นที่จัดเก็บของห้องเย็นในรัฐเบงกอลตะวันตกสามารถรองรับได้เพียง 6.5 ล้านตัน เท่านั้น
Basu กล่าวว่า เราเริ่มจัดหามันฝรั่งจากเกษตรกรโดยตรง เป้าหมายของเราคือการ ช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย นอกเหนือจากการขายให้กับรัฐใกล้เคียงอย่าง Odisha, Assam และ Jharkhand เรายังได้สำรวจการส่งออกไปยังเนปาล ภูฏาน และบังคลาเทศอีกด้วย นอกจากนี้เรา พยายามแนะนำให้เกษตรกรผลิตเมล็ดมันฝรั่งในที่ดินของตนอี เพื่อที่จะช่วยให้สามารถช่วยสร้าง รายได้ทางเลือก และลดการพึ่งพาแหล่งเมล็ดพันธุ์มันฝรั่งของ Jalandhar ได้
โอกำสของข้าว
ในขณะที่มันฝรั่งยังคงเป็นปัญหาให้รัฐปวดหัวที่จะต้องแก้ไข รัฐยังคงต้องจัดการกับการ เก็บเกี่ยวข้าวเปลือกในปี 2016 ซึ่งมันถูกเก็บเกี่ยวตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม ถึงสัปดาห์ที่สามของ เดือนพฤศจิกายน และในปีนี้เองการผลิตข้าวในรัฐเบงกอลตะวันตกสามารถผลิตข้าวได้ถึง 16.6 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยฟู้ดคอร์ปอเรชั่นอินเดียซึ่งเป็นหน่วยงาน กลางของรัฐได้ทำการจัดซื้อข้าวเปลือกจำนวน 1.2 แสนตัน สำหรับฤดูการ 2016-17 และ นอกจากนี้ฝ่ายอาหารและซัพพลายแห่งรัฐเบงกอลตะวันตกยังมีแผนจะจัดหาข้าวเปลือกจำนวน 52 แสนตันจากเกษตรกรในราคา 20 รูปีต่อกิโลกรัม ซึ่งมากกว่าราคาซื้อกลางที่อยู่ที่14.70 รูปีต่อ กิโลกรัม
ในรัฐ Kerala ช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องข้าวโดยการเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ เนื่องจากราคาข้าวพุ่ง ขึ้นในรัฐทางใต้ สหพันธ์ผู้บริโภคและสหกรณ์สหกรณ์แห่งรัฐ Kerala กำลังจัดหาข้าวของตัวแทน รัฐบาล โดยกรรมการผู้จัดการ M Ramanunny กล่าวว่า "เราได้ซื้อข้าว Swarna Masuri จ านวน 500 ตันจากเบงกอลแล้ว เราอาจจะมีความสัมพันธ์ระยะยาวกับแคว้นเบงกอลในการจัดซื้อข้าว"
ขณะเดียวกันความเชื่อมั่นของตลาดมันฝรั่งปรับตัวดีขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเนื่องจากการ จัดซื้อของรัฐบาลประกาศขึ้นที่ระดับ 4.60 รูปีต่อกิโลกรัม ท าให้ราคาเพิ่มขึ้นจาก 1-1.50 รูปีต่อ กิโลกรัมในหลายสายพันธุ์ของมันฝรั่ง
วิเครำะห์
ภาวะล้นตลาดของของอุตสาหกรรมมันฝรั่งของอินเดียส่งผลให้อุตสาหกรรมอื่นๆในท้องถิ่น เกิดทรุดตัวลง เนื่องจากเกษตรไม่สามารถที่จะหาทุนในการผลิตและไม่มีเงินหมุนเวียนในการดำรงชีวิตแต่ละวันได้ ทำให้ส่งผลกระทบไปยังอุตสาหกรรมอื่นในพื้นที่
Source: THE ECONOMIC TIMES. Apr 09, 2017.