สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์: 29 เมษายน – 5 พฤษภาคม 2560 (อินเดีย)
1. เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของอินเดียเพิ่มสูงขึ้นกว่า1.2 พันล้านเหรียญแตะระดับ 371 พันล้านเหรียญ
India's forex reserves rise $1.2 billion to hit $371 billion
มุมไบ: ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของอินเดียเพิ่มขึ้น 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐแตะระดับ 371 พันล้านดอลลาร์จากการคำนวณในช่วงสุดท้ายของสัปดาห์ของวันที่ 21 เมษายน ทั้งนี้ จากการให้สัมภาษณ์ของธนาคารแห่งประเทศอินเดียระบุว่าการเพิ่มขึ้นของเงินทุนสำรองดังกล่าว เป็นผลสำคัญจากการลงทุนของนักลงทุนจากต่างประเทศเป็นจำนวนเงินกว่า 400 ล้านเหรียญ ดอลลาร์ในตลาดหลักทรัพย์และตรา สารทุนของประเทศอินเดีย
ที่มาภาพ : economictimes.indiatimes.com
ประการสำคัญที่ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเลือกที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศอินเดียเพิ่มมากยิ่งขึ้นคือค่าเงินรูปี ที่แข็งค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเงินดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงการเติบโตทาง เศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปี ที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้ดึงดูดให้นักลงทุนหันทิศทางมายังประเทศอินเดียมากยิ่งขึ้น ปัจจัยความมั่นคง และเสถียรภาพทางการเมืองเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งเสริมให้ระบบเศรษฐกิจของอินเดียมีความ แข็งแกร่ง เข้มแข็ง และเป็นที่จับตามองของนักลงทุนต่างชาติมากยิ่งขึ้น และยังผลให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลอินเดียมีการแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศอินเดีย สามารถถือครองเงินตราต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
โดยจากข้อมูลที่ถูกเผยแพร่โดย NSDL พบว่าจำนวนเงินกว่า 227,580 ล้านรูปีสำหรับเงิน ลงทุนในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาถูกกระจายไปยังการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดตราสารหนี้ และหากคำนวณเงินลงทุนเฉพาะในช่วงปีที่ผ่านมาพบว่า เงินลงทุนจากชาวต่างชาติคิดเป็นจำนวนกว่า 913,850 ล้านรูปี
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่าอินเดียกำลังเป็นที่จับตามองสำหรับนักลงทุน ชาวต่างชาติ เนื่องจากปัจจัยเชิงบวกหลายๆ ประการที่หนุนนำให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตอย่าง ต่อเนื่อง ผนวกกับค่าเงินที่แข็งค่ามากยิ่งขึ้น ยิ่งจูงใจให้นักลงทุนหันทิศทางมายังอินเดียมากยิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้ส่งผลโดยตรงกับประเทศไทยมีพยายามเชิญชวนนักลงทุนเข้ามายังประเทศมากยิ่งขึ้น อินเดียจึงเป็นคู่แข็งสำคัญของประเทศไทย ในอีกทางหนึ่งการเติบโตของอินเดียถือเป็นโอกาสของ นักลงทุนไทยในการเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ผ่านการลงทุนในรูปแบบต่างๆ เนื่องจากอินเดีย และไทยมีข้อตกลงทางด้านการค้าเสรีร่วมกันในหลายรายการการค้า
Source: THE ECONOMIC TIMES. 28 April, 2017
2. อินเดียกำลังพัฒนำระบบการขับขี่อิเล็กทรอนิกส์และเตรียมมุ่งสู่ระบบรถยนต์ไฟฟ้าภายใน ปี 2030
India goes for e-ride, eyes all-electric car fleet by 2030: Piyush Goyal
นิวเดลี: อินเดียกำลังแสวงหาระบบรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2030 โดยวัตถุประสงค์สำคัญ ของแผนการนี้คือการลดอัตราการนำเข้าปิโตรเลียมและเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่อินเดียสูญเสีย เป็นจำนวนมากในแต่ละปี เพื่อตอบสนองต่อระบบการคมนาคมขนส่งของอินเดียโดยเฉพาะรถยนต์ นโยบายดังกล่าวต้องการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคในการเลือกซื้อรถยนต์ และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประเทศ
ทั้งนี้ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ามี ความคาดหวังว่ารัฐบาลจะเข้ามาให้ความ ช่วยเหลือผ่านมาตรการต่างๆ ภายในช่วง 2-3 ปี เพื่อให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าสามารถ รักษาเสถียรภาพทางการผลิตได้ ตัวอย่างที่น่าสนในใจคือการให้การสนับสนุนของรัฐบาลต่อกลุ่มธุรกิจ Maruti ที่ทำให้บริษัทดังกล่าวสามารถสร้างผลกำไรมากถึงร้อยละ 30 และกลายเป็น กลุ่มอุตสาหกรรมหลักในการผลิตยานยนต์ของประเทศ
ที่มาภาพ : economictimes.indiatimes.com
ทั้งนี่รายงานระบุอีกด้วยว่ากระทรวงอุตสาหกรรมหนัก (Ministry of Heavy Industries) และ NITI Aayog มีแผนสำหรับการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศอินเดีย ให้สามารถ เดินเครื่องการผลิตได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรียังได้อธิบายเพิ่มเติมว่าอุปสรรคสำคัญ ของรถยนต์ไฟฟ้า คือความคุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่าย ผู้คนเลือกที่จะซื้อสินค้าใดๆ ล้วนวางอยู่ พื้นฐานของราคาและความคุ้มค่า
ทั้งนี้รัฐมนตรียังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงโครงการพัฒนาพลังงานลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าป้อน ความต้องการของภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของการบริโภคพลังงานของอินเดีย มีเพิ่มสูงถึงร้อยละ 6.5 ซึ่งมากกว่าอัตราการเติบโต ในช่วง 10 ปีก่อนหน้านี้ ซึ่งโครงการดังกล่าวอยู่ในขั้นของการพัฒนาและการศึกษาวิจัย เพื่อให้ได้ เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่ารัฐบาลอินเดียกำลังมีแผนสำคัญในการจัดวาง ยุทธศาสตร์เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อลดภาระการนำเข้าพลังงานเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ ซึ่ง ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญเพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางด้านพลังงาน ในขณะเดียวกันนโยบาย ดังกล่าวยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ เพื่อให้ตอบสนองจ่อการแก้ไข ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย การพัฒนานโยบายดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศ ไทยที่กำลังมีการวางแผนเพื่อพัฒนาการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ ซึ่งอินเดียจะเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในการพัฒนาระบบดังกล่าว
Source: THE ECONOMIC TIMES, April 29, 2017
3. Niti Aayog แนะรัฐ Outsouce บริการภาครัฐและนำเอาความสามารถของภาคเอกชนมาใช้
Outsource government services and bring in private sector talent, recommends Niti Aayog
นิวเดลี: Niti Aayog ถือเป็นหนึ่งใน think-tank ทางด้านนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล อินเดีย ครั้งนี้หน่วยงานดังกล่าวได้มีการเสนอแนะแนวทางในการลดภาระค่าใช้จ่ายสำหรับการ บริการของภาครัฐผ่านการแบ่งส่วนภาคบริการของรัฐบาลไปให้ภาคเอกชนบริหารจัดการแทน เพื่อลดการพึ่งพางบประมาณของรัฐบาลกลาง นอกจากนี้หน่วยงานนี้ยังได้มีการเสนอแนะให้มีการ ปรับปรุงระบบข้าราชการโดย เพิ่มเติมช่องทางใหม่ๆ ให้สามารถรับเข้าผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ เข้ามายังระบบราชการได้ผ่านความรู้ความสามารถในรูปแบบพิเศษ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการ แข่งขันกับอาชีพที่ผ่านระบบปกติอย่างข้าราชการ
ในร่างรายงานวาระการดำเนินงานสามปีที่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณชนเมื่อไม่นานมานี้ Niti Aayog ได้กำหนดเป้าหมายการแปลงข้อมูลงานเกี่ยวกับการกำกับดูแลที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ภายในสิ้นปี 2018-2019 การบริการสาธารณะเป็นหัวใจสำคัญของรัฐบาลและจำเป็นต้องมีอำนาจ ในการตัดสินใจอย่างรวดเร็วในการดำเนินงาน กล่าวได้ว่าการตรวจวัดประสิทธิภาพระดับการทำงานและศักยภาพจะสามารถประสบความสำเร็จได้ หากรัฐบาลสามารถกำหนดตัวชี้วัดที่เป็น รูปธรรมมากยิ่งขึ้น เช่นการให้รางวัล หรือการตำหนิติเตียน
ที่มาภาพ : economictimes.indiatimes.com
ทุกวันนี้การเติบโตของระบบ เศรษฐกิจมีความซับซอนมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การกำหนดนโยบายต่างๆ ไม่สามารถกระทำได้เช่นในอดีตจำเป็นต้องมีกิจกรรมพิเศษเพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว ระบบราชการจึงจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะที่ไม่ได้ผ่านระบบ การทำงานของระบบราชการ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของร่างพระราชบัญญัติปฏิบัติงาน 3 ปี โดยร่างดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ครั้งแรกในการประชุมสภาปกครอง ซึ่งประกอบด้วยมุขมนตรีจากทุกๆ รัฐในประเทศอินเดีย รวมถึงคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา
ซึ่งร่างดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากสำนักงานข้าราชการพลเรือนของ อินเดีย ซึ่งถือเป็นหน่วยงานสำคัญที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดกรม กองต่างๆของรัฐบาล และทำหน้าที่สรรหาข้าราชการในการทำงานให้กับรัฐบาล ในขณะที่ Niti Aayog กล่าวว่าการพึ่งพากลไกการบริหารราชการของรัฐบาลในการให้บริการต้องลดลง เพื่อให้เกิดการแข่งขันและ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ข้อเสนอดังกล่าวในการปรับปรุงระบบราชการของรัฐบาลอินเดียมีความมุ่งหวังสำคัญคือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและส่งมอบบริการที่มีคุณภาพสูง สะดวกและรวดเร็ว ให้กับประชาชน รวมถึงการเพิ่มช่องทางในการเข้าไปทำงานในระบบราชการที่ไม่จำเป็นต้อง ดำเนินการไปตามสายการบังคับบัญชาแบบบนลงล่าง หรือการไต่ลำดับตำแหน่งตามอายุงาน แต่ เพิ่มช่องทางให้สามารถเข้าไปทำงานในระบบราชการได้ผ่านความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะแบบ ด้านข้างตามระยะเวลาสัญญาที่จัดทำเป็นช่วงๆ ไป
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่าอินเดียกำลังปรับโครงสร้างระบบราชการครั้งใหญ่ เพื่อตอบสนองระบบตลาดเสรีมากยิ่งขึ้น โดยใช้หลักคิดของเสรีนิยมใหม่ในการดำเนินงาน เช่นการ ถ่ายงานบริการให้ภาคเอกชนทำ หรือเพิ่มตำแหน่งพิเศษสำหรับผู้เชี่ยวชาญ สิ่งเหล่านี้จะเอื้ออำนวยให้การลงทุนในประเทศอินเดียสะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งเพิ่มความสามารภในการแข่งขัน ให้กับอินเดียอีกด้วย
Source: THE ECONOMIC TIMES. 30 April, 2017
4. นโยบายปกป้องทางการค้าเป็นปัญหาใหญ่สำคัญของการส่งออกสินค้าของประเทศอินเดีย
Protectionism a big worry for India's exports: Report
นิวเดลี: แนวคิดว่าด้วยการปกป้องทางการค้าของประเทศพัฒนาแล้วที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นกำลัง ส่งผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญต่อระบบการส่งออกสินค้าของประเทศอินเดีย ซึ่งหลายบริษัท ภายในประเทศอินเดีย กำลังต่อสู้อย่างแข็งขันต่อนโยบายการปกป้องทางการค้าของประเทศ ดังกล่าว ที่ส่งผลให้ความต้องการซื้อจากภายในนอกลดลงอย่างมาก และผลกำไรที่ลดลงจาก นโยบายดังกล่าว
อย่างไรก็ตามผลกระทบจากนโยบาย ยกเลิก ธนบัตรของรัฐบาลอินเดียสร้าง ผลกระทบอย่างรวดเร็วเกินความคาดหมาย โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของความ เชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อระบบเศรษฐกิจของ ประเทศอินเดีย โดยจากการสำรวจตัวเลข ดัชนีความเชื่อมั่นในช่วงเดือนมีนาคม – เดือน เมษายน 2560 จากการมีส่วนร่วมของบริษัทต่างๆ กว่า 185 บริษัท
จากข้อมูลการสำรวจพบว่าในช่วงเดือนเมษายน ถึง เดือนกันยายน จากการสำรวจพบว่า กว่าร้อยละ 62 ของบริษัทที่ให้การตอบรับในการมีส่วนร่วมมีการคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น และ ร้อยละ 42 คาดว่าผลกำไรของบริษัทจะเพิ่มมากยิ่งขึ้น สุดท้ายร้อยละ 40 ของบริษัทที่มีส่วน ร่วมกับการสำรวจดังกล่าวคาดว่าจะเพิ่มการลงทุนให้มากกว่าการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา
ยิ่งไปกว่านั้น กว่าร้อยละ 31 มีการคาดการณ์ว่าอัตราการส่งออกจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบัน และมากกว่าร้อยละ 27 มีแผนการที่จะเพิ่มการจ้างงานให้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เสียงส่วนใหญ่ของกลุ่มธุรกิจต่างๆ ยังคงไม่ได้รับผลประโยชน์ทางตรงจากอัตราดอกเบี้ยราคาถูกที่ลดลงอย่างรวดเร็วจากผลของนโยบายของรัฐบาล ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจที่ถามข้อมูลเกี่ยวกับ ผลประโยชน์ที่กลุ่มธุรกิจได้รับจากการปรับลดอัตราเงินกู้ของรัฐบาล ซึ่งกว่าร้อยละ 67 ยังคงมองว่านโยบายดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบเชิงบวกเท่าที่ควร
จากการสำรวจดังกล่าวพบว่ากว่าร้อยละ 54 ของบริษัทที่ตอบแบบสำรวจดังกล่าว มี ความรู้สึกว่าภาวะทางเศรษฐกิจของอินเดียมีสถานะที่ดีมากยิ่งขึ้นกว่าในอดีตพอสมควร เมื่อ เปรียบเทียบกับช่วง 6 เดือนที่ผ่าน นอกจากนี้กว่าร้อยละ 79 ของกลุ่มธุรกิจที่ตอบแบบสำรวจดังกล่าว คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของอินเดียมีแนวโน้มที่จะขยายตัวและเติบโตเพิ่มมากยิ่งขึ้นในช่วง 6 เดือนข้างหน้า
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจของอินเดียมีการเจริญเติบโตเพิ่ม มากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลสำคัญจากอัตราความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การเติบโตทางด้านการลงทุนและการจ้างงานของอินเดียขยายตัว ทั้งนี้นโยบายการยกเลิก ธนบัตรของอินเดียยังส่งผลเชิงบวกไม่มากพอในการเอื้อประโยชน์ ให้นักลงทุนต่างชาติ อันถือเป็น ปัญหาสำคัญของนโยบายดังกล่าว
ข้อเสนอแนะ: รัฐบาลไทยควรมีการส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนไทยในประเทศอินเดียมากยิ่งขึ้น ผ่านการจัดเจรจาทางการค้าระหว่างไทย-อินเดีย เพิ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อจูงใจนักลงทุนไทย ให้ได้พบปะกับนักลงทุนชาวอินเดีย เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศ
Source: THE ECONOMIC TIMES, April 30, 2017
5. Walmart จะเปิดสาขาใหม่ในอินเดียกว่า 50 สาขา
Walmart to open 50 new stores in India
ที่มาภาพ : economictimes.indiatimes.com
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริษัท Walmart ซึ่งทeธุรกิจร้านค้าปลีกรายใหญ่ จะเปิดร้านค้าใหม่กว่า 50 สาขาทั่วอินเดีย ภายใน 3-4 ปีข้างหน้านี้ โดยทางบริษัทได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับ รัฐบาลของรัฐ Telangana แล้วว่าจะมีการเปิดร้านค้าในรัฐดังกล่าว 10 สาขา
ทั้งนี้ จะมีการลงทุนกว่า 10-12 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในแต่ละสาขา ซึ่งจะทำให้เกิดการ จ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมกว่า 2,000 คน ปัจจุบัน Walmart มีสาขาในอินเดียอยู่แล้ว 21 สาขาร้านค้าของ Walmart ในแต่ละสาขาจะมีขนาด 50,000-60,000 ตารางฟุต โดยจะสามารถรองรับลูกค้าประมาณ 300,000 ราย
ผู้บริหารของ Walmart และรัฐบาลท้องถิ่นของรัฐ Telangana ได้ลงนามในบันทึกความ เข้าใจ โดยมี K.T. Rama Rao รัฐมนตรีอุตสาหกรรมของรัฐ Telangana และ Dirk Van den ประธานและผู้บริหารของ Walmart ในแคนาดาและเอเชีย และ Krish Iyer ประธานและผู้บริหาร Walmart ของอินเดีย
Dirk กล่าวว่า Walmart ได้สนใจในอินเดียเป็นเพราะอินเดียมีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ สูงและเป็นตลาดที่สำคัญของ Walmart ปัจจุบัน Walmart มีร้านค้าอยู่ใน 28 ประเทศ และจะสร้างสาขาใหม่ๆ ต่อไปในอินเดียในระดับชุมชนท้องถิ่น เพื่อสร้างธุรกิจ และฝึกแรงงานต่างๆ ตลอดจนพัฒนาสายการผลิต
Kirish Iyer กล่าวว่า Walmart กำลังมองหาช่องทางในการก่อตั้งสาขาใหม่ในเมืองชั้น 2 อย่าง Warangal, Karimnagar และ Nizamabad นอกจากนี้เขายังกล่าวว่า Walmart จะทำงาน ร่วมกับร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม โรงแรม ร้านอาหาร ออฟฟิศ และสถาบันต่างๆ เพื่อช่วยเพิ่มการ เติบโตของธุรกิจโดยการทำการค้าด้วยสินค้าที่มีคุณภาพดีในราคาถูก
เขายังกล่าวอีกว่า Walmart จะทำงานร่วมกับเกษตรกรรายเล็ก และจะช่วยฝึกและให้ การศึกษาแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกระดับในห่วงโซ่การผลิต และทางบริษัทจะทำธุรกิจเพื่อเพิ่ม อำนาจทางเศรษฐกิจของผู้หญิงและสนับสนุนการพัฒนาการทำธุรกิจโดยผู้หญิง
K.T. Rama Rao กล่าวว่า รัฐบาล Telangana จะเร่งออกนโยบายการค้าปลีกเพื่อช่วย สร้างพื้นฐานที่มั่นคงในการขยายการค้าปลีกภายในรัฐ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลท้องถิ่นกำลังพูดคุยกับ ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกหลายราย และพวกเขาก็พยายามผลักดันให้เกิดนโยบายการค้าปลีก โดยเฉพาะเพื่อกระตุ้นการทำธุรกิจ
Rajneesh Kumar รองประธานอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายประสานงานของ Walmart ใน อินเดีย กล่าวว่า พวกเขากำลังสนใจเปิดสาขาในอินเดียโซนใต้ ซึ่งรวมถึง Telangana และ Andhra Pradesh ซึ่งทางบริษัทได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับรัฐ Andhra Pradesh แล้วเช่นกัน ในส่วนของอินเดียตอนเหนือนั้น Walmart กำลังสนใจใน Uttar Pradesh, Haryana และ Punjab โดยได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับ Haryana และ Punjab แล้ว Maharashtra ก็เป็น หนึ่งในรัฐที่ Walmart จะให้ความสนใจในแผนการขยายสาขา
บทวิเคราะห์: ด้วยศักยภาพทางเศรษฐกิจและขนาดของตลาดในอินเดีย ข่าวข้างต้นจึงเป็น อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทข้ามชาติชั้นนำต่างก็สนใจและแสวงหาช่องทางในการทำการค้าและการลงทุนในอินเดีย ดังนั้นนักลงทุนไทยจึงไม่ควรตกขบวนจากกระแสการลงทุน ดังกล่าว
Source: INDIARETAILING.com, May 1, 2017
6. กลุ่มธุรกิจอเมริกันจะได้รับประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่ดีของรัฐบาลอินเดียและสหรัฐฯ
‘US business community encouraged by high level Indo-US engagement’
วอชิงตัน: หัวหน้าโฆษกของกลุ่ม อุตสาหกรรมอเมริกัน กล่าวว่า สมาคมนักธุรกิจอเมริกันได้รับประโยชน์จากความ ร่วมมือของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง รัฐบาลอินเดียและสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลของ Trump และทั้งสองประเทศกำลังพยายาม ยกระดับความร่วมมือให้มากขึ้น
Mukesh Aghi ประธาน US India Business Council (USIBC) กล่าวกับ PTI ว่า “เราได้รับประโยชน์จากความสัมพันธ์ระดับสูงของทั้งสองประเทศ ในช่วง 100 วันแรกของรัฐบาล Trump เขายังกล่าวว่า รัฐบาล Trump ได้ทำตามหมุดหมายที่วางไว้ในช่วง 100 วันแรกของการทำงาน และความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ จะได้รับการสนับสนุนในทวิภาคีอย่าง ต่อเนื่อง
“ประธานาธิบดี Donald Trump และนายกรัฐมนตรีโมดี ได้มีการสนทนาเกี่ยวกับ ความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของความร่วมมือทั้งสองประเทศ และ USIBC ก็กำลังทำงานเพื่อ สนับสนุนยุทธศาสตร์ the US-India Strategic and Commercial Dialogue” โดยการพูดคุย เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ the US-India Strategic and Commercial Dialogue ในครั้งต่อไปจะมีขึ้นในปลายปีนี้
Aghi กล่าวว่า สมาชิกของ USIBC กำลังพยายามลงทุนในอินเดีย จากการที่ปัจจุบันอินเดีย มีเสถียรภาพทางการเมือง
ในขณะเดียวกัน Richard M Rossow จาก Center for Strategic and International Studies ซึ่งเป็น think-tank ชั้นนำของสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯและอินเดียกำลังพยายามมองหาประเด็นใหม่ๆ เพื่อรักษาสถานะความสัมพันธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง เขายังกล่าวว่า “เราได้เห็น ผลกระทบของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจจากความกังวลของอินเดียต่อกรณีข้อจำกัด H1B วีซ่า ในทางตรงข้าม สหรัฐฯ ก็กังวลต่อการควบคุมราคาอุปกรณ์ทางการแพทย์ สิ่งเหล่านี้จะช่วยกดดัน ให้ผู้นำนโยบายของทั้งสองประเทศมองหาประเด็นร่วมกันในการประชุมครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้น ในช่วงฤดูร้อนนี้”
ตั้งแต่ที่ประธานาธิบดี Trump ได้รับเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เขาได้พูดคุย กับนายโมดีแล้วสามครั้ง โดยการพบปะของคณะรัฐบาลครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่ง Arun Jaitley รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เดินทางไปยังวอชิงตันเพื่อเข้าร่วมการประชุมของ World Bank และ IMF
นอกจากนี้ Trump และโมดี ได้มีการเชิญชวนกันและกันในการเยี่ยมเยือนทั้งสองประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังพยายามหาวันที่ทั้งสองสามารถพบปะได้อย่างสะดวก
บทวิเคราะห์: ความสัมพันธ์ที่ดีจากภาคการเมืองย่อมจะส่งผลที่ดีต่อภาคเศรษฐกิจ จาก การที่ความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ และอินเดีย เป็นไปด้วยดีคงไม่เพียงส่งผลต่อเฉพาะกลุ่มนักธุรกิจ ชาวอเมริกันเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงผลประโยชน์ที่จะมายังอินเดียด้วย ซึ่งผลประโยชน์ของ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศดังกล่าวสามารถสร้างผลดีต่อประเทศเพื่อนบ้านทางอ้อมได้ เช่นกัน ตัวอย่างเช่นนักลงทุนต่างชาติที่มาลงทุนในอินเดีย ดังนั้นอินเดียจึงเป็นที่ดึงดูดแหล่งทุน จากต่างประเทศ นักลงทุนชาวไทยจึงไม่ควรพลาดโอกาสนี้
Source: THE ECONOMIC TIMES. May 02, 2017.