สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์: วันที่ 6 - 12 พฤษภาคม 2560 (อินเดีย)
1. อินเดียปรับทิศทางนโยบายการค้าระหว่างประเทศหนุนส่งออก
India to revamp foreign trade policy to give leg up to exports
ภาพจาก : http://economictimes.indiatimes.com
อินเดียวางแผนที่จะปรับปรุงนโยบายการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากมีแรงจูงใจที่จะปรับตัวภาคการส่งออกให้สูงขึ้น ซึ่งได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ทั่วโลกที่ลดลงและค่าเงินรูปีที่แข็งค่าขึ้น
Nirmala Sitharaman รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม กล่าวกับ ET ว่า รัฐบาลได้มีการเสนอให้ทบทวนนโยบายการค้าระหว่างประเทศ (FTP) ในช่วงปี 2015-2020 ในช่วงเดือนกันยายน 2560 นี้โดยได้ถามผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนที่สนใจ เพื่อให้ข้อมูลของแก่ รัฐบาล นอกจากนี้รัฐบาลอินเดียกำลังมองหารายละเอียดในเชิงลึกเพิ่มเติมอีกด้วย
นโยบายการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งประกาศใช้ในปี 2015 ได้กำหนดเป้าหมายการส่งออก อยู่ที่ 900 พันล้านเหรียญสหรัฐฯหรือประมาณ 58 ล้านล้านรูปีภายในปี 2020 โดยในปี 2016 – 2017 มูลค่าการส่งออกสินค้าของอินเดียอยู่ที่ 275 พันล้านเหรียญสหรัฐฯหรือราว 17.77 ล้าน ล้านรูปี เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย FTP ในระยะเวลา 5 ปี การส่งออกของอินเดียต้องเติบโตขึ้นปีละ 14% ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกาและประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ กำลังมุ่งสู่ การปกป้องคุ้มครองการค้าของตนเองที่เพิ่มขึ้น ระหว่างปี 2014 และวันนี้ มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย การส่งออกกำลังเกิดขึ้น แต่การค้าทั่วโลกอยู่ในสถานการณ์ที่หดตัวSitharaman กล่าวว่า อินเดียกำลังผ่านช่วงที่เลวร้ายและกำลังฟื้นตัว
การผลิตในอินเดียจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อนโยบายนี้ นโยบายนี้ให้ ผลตอบแทนที่สูงกว่าแก่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดย ใช้วัตถุนำเข้า รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะให้สิ่งจูงใจเป็นพิเศษแก่กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดเล็กใน 25 สาขา ภายใต้โครงการ Make in India นโยบายด้านการค้าต่างประเทศอย่างจะมีการปรับเปลี่ยน เพื่อให้สอดคล้องกับฐานภาษีสินค้าและบริการ ซึ่งน่าจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนกรกฎาคม 2560 นี้
FTP 2015-2020 ได้แนะนำแผนงานใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ การส่งออกสินค้าจากอินเดีย (MEIS) และการบริการการส่งออกจากอินเดีย (SEIS) โดยแผนงานเหล่านี้ได้ไปแทนที่แผนงานเดิม ในหลายแผนงาน ซึ่งแต่ละแผนงานมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน
วิิเคราะห์: การปรับตัวด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศของอินเดียนั้น จะส่งผลให้อินเดียเกิดการ ฟื้นตัวด้านการส่งออกในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจอินเดียโดยรวมดีขึ้น
Source: THE ECONOMIC TIMES. 05 May, 2017
2. รัฐบาลจีนเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อเส้นทางเศรษฐกิจจีน-ปากีสถาน
China offers to rename China -Pakistan Economic Corridor
นิวเดลี: เพื่อขจัดความวิตกกังวลของอินเดียจีนได้เสนอให้เปลี่ยนชื่อเส้นทางเดินเศรษฐกิจ ของจีน - ปากีสถาน (CPEC) ซึ่งจะผ่านพื้นที่ PoK อันเป็นพื้นที่ปัญหาระหว่าง อินเดีย และ ปากีสถาน ทั้งนี้จีนยืนยันว่าเป็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจและโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการ เชื่อมต่อระหว่างภูมิภาค ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องเขตแดนหรืออำนาจอธิปไตย ความพยายามดังกล่าวของ จีนต้องการกระตุ้นให้รัฐบาลอินเดียเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการหนึ่งเข็มขัดหนึ่งถนน (One Belt One Road) ของจีน
Source: THE ECONOMIC TIMES
รัฐบาลจีนพยายามยืนยันอย่างแข็ง ขันว่าการสร้างความร่วมมือระหว่างจีนและ ปากีสถานไม่มีประเด็นเรื่องอำนาจอธิปไตยมา เกี่ยวข้อง แต่มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาความ ร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจีนมองว่าอินเดีย จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาโครงการ One Belt One Road ของจีนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ฉะนั้นเพื่อผลประโยชน์ระหว่างจีนและอินเดียในการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นฐาน สนับสนุนสำคัญของจีน คือเศรษฐกิจอินเดีย ที่อยู่เบื้องหลังจีนมาไม่น้อยกว่า 13 ปี
รัฐบาลจีนจึงมองว่าโครงการ One Belt One Road จะถือเป็นโอกาสเศรษฐกิจสำคัญของ อินเดียในการพัฒนาและสร้างความเติบโตให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ ฉะนั้นรัฐบาลจีนจึงมี ความพยายามอย่างยิ่งที่จะให้อินเดียเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการดังกล่าว ถึงแม้ว่ารัฐบาลอินเดีย จะมองว่ารัฐบาลจีนมักจะให้การสนับสนุนปากีสถานเป็นประเทศหลักในเอเชียใต้ ซึ่ง เอกอัครราชทูตจีนประจำนิวเดลี กล่าวว่า ข้อสังเกตดังกล่าวของรัฐบาลอินเดียไม่ถูกต้อง เพราะนโยบายหลักของรัฐบาลจีน คือการแสวงหาผลประโยชน์ที่ดีที่สุดให้กับประเทศจีน ฉะนั้นรัฐบาลจีนจึงมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะเป็นมิตรกับทุกประเทศเพื่อนบ้าน
รัฐบาลจีนยังมีความพยายามอย่างแข็งขันในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอินเดียและ เมียนมาร์ รวมถึงนโยบาย Act East ของรัฐบาลอินเดียในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจร่วมกัน รวมถึงการเจรจาโดยตรงกับรัฐบาลอินเดียในการจัดทำสนธิสัญญาความร่วมมือเป็นเพื่อนบ้านและ มิตรภาพระหว่างจีน-อินเดีย เพื่อใช้แก้ไขปัญหาพิพาททางด้านพรมแดนระหว่างสองประเทศ โดย ความมุ่งหวังของรัฐบาลจีนคือการสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งกับอินเดีย เพื่อรักษาเสถียรภาพ ของภูมิภาค ฉะนั้นรัฐบาลจีนจึงมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะลดความขัดแย้งระหว่างอินเดียและ ปากีสถาน
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่ารัฐบาลจีนมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะเชื่อมโยง อินเดียเข้ากับโครงการ One Belt One Road ของจีน เพื่อสร้างความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ ระหว่างภูมิภาค ทั้งนี้จีนมองว่าอินเดียเป็นตลาดสำคัญที่จีนไม่อาจละเลยได้ โดยขนาดของ GDP และการเติบโตอย่างต่อเนื่อง การแสดงออกของจีนดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของอินเดีย ต่อยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของจีน ซึ่งนักลงทุนชาวไทยไม่ควรพลาดโอกาสดังกล่าว
ข้อเสนอแนะ: รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสร้างการเข้าไปมีส่วนสำคัญในการ ขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและอินเดียให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ มากที่สุดจากความร่วมมือระหว่างอินเดียและจีน
Source: THE ECONOMIC TIMES. 08 May, 2017
3. รัฐบาลจีนวางแนวทาง 4 จุดสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างจีน-อินเดีย
China proposes 4-point initiative to improve Sino-India ties
นิวเดลี: ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างจีนและอินเดีย รัฐบาลจีนได้มีการจัดทำข้อเสนอ 4 ประเด็น เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ รวมถึงพัฒนาสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งโดยเฉพาะการผนวกรวม นโยบาย One Belt One Road เข้ากับนโยบายบาย Act East ของอินเดีย รวมถึงการเริ่มต้นเจรจาเขตการค้า เสรีร่วมด้วย
โดยหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ ของ รัฐบาลจีนคือการเริ่มต้นเจรจาสนธิสัญญาความ ร่วมมือการเป็นเพื่อนบ้านและมิตรภาพที่ดี ระหว่างจีนและอินเดีย (China-India Treaty of Good Neighbourliness and Friendly Cooperation) โดยจัดลำดับความสำคัญของ การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับพรมแดนของ ทั้งสองประเทศ
Source: THE ECONOMIC TIMES
ทั้งนี้สำหรับแนวทางทั้ง 4 ที่รัฐบาลจีน นำเสนอเพื่อยกระดับความสัมพันธ์กับรัฐบาลอินเดียคือ ประการแรกการพยายามเจรจาจัดทำสนธิสัญญาความ ร่วมมือการเป็นเพื่อนบ้านและมิตรภาพที่ดีระหว่างจีนและอินเดีย ประการที่สองการริเริ่มการเจรจาต่อรอง เดี่ยวกับข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างจีนและอินเดีย ประการที่สามมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาพรมแดนนับตั้งแต่ เกิดปัญหาเพื่อให้ไม่เกิดการขยายวงกว้างของปัญหา และสุดท้ายพิจารณาหาความเป็นไปได้ในการผนวกรวม นโยบาย One Belt One Road ของจีน เข้ากับนโยบาย Act East ของอินเดีย
ทั้งนี้ในส่วนของประเด็นปัญหาระหว่างอินเดียและปากีสถาน รัฐบาลจีนความกังวลอย่างยิ่งว่าจะเป็น อุปสรรคสำคัญในการดำเนินโครงการ One Belt One Road โดยรัฐบาลจีนเสนอตัวว่าจะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้ หากทั้งสองประเทศยินยอม ทั้งนี้รัฐบาลจีนยืนยันอย่างแข็งขันว่ามีความต้องการให้ปัญหาดังกล่าวระหว่างสอง ประเทศ สามารถแก้ไขได้ในระดับทวิภาคี พร้อมทั้งยืนยันว่าโครงการความร่วมมือเส้นทางเศรษฐกิจระหว่างจีน และปากีสถาน ที่ผ่านพื้นที่พิพาทระหว่างอินเดียและปากีสถานนั้น รัฐบาลจีนไม่ได้มีความพยายามที่จะสร้างปัญหาทางด้านอธิปไตยให้กับทั้งสองประเทศ แต่โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจเป็น สำคัญ โดยมุ่งเน้นการเชื่อมโยงการขนส่งทางคมนาคมและการพัฒนาเศรษฐกิจ
ทั้งนี้รัฐบาลจีนมีความกังวลและพยายามอย่างยิ่งที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว เนื่องจากจีนและอินเดียมี ประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศนับตั้งแต่อดีตผ่านเส้นทาง สายไหมโบราณ ประเด็นดังกล่าวจะถือเป็นนโยบายสำคัญของจีนในการส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ดังที่เคยเป็นมาในอดีต ผ่านโครงการ One Belt One Road ซึ่งรัฐบาลจีนมีความมุ่งมั่นอย่างยิ่ง ที่จะใช้เพื่อเชื่อมโยงจีนและอินเดีย เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ และจีนมมองว่าโครงการนี้ถือเป็นโครงการสาธารณะขนาดใหญ่ ของจีนที่สร้างให้กับโลกนี้
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่ารัฐบาลจีนมีความต้องการที่จะส่งเสริมและพัฒนาความ ร่วมมือทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจกับประเทศอินเดีย ซึ่งหากความพยายามดังกล่าวประสบความสำเร็จ จะมีความหมายว่าสองประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลก จะสร้างความมั่นคงให้กับภูมิภาคได้ ใน ขณะเดียวกันความร่วมมือของทั้งสองประเทศจะยังผลไปสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศข้างเคียง ซึ่งรวมถึง ประเทศไทยด้วย
ข้อเสนอแนะ: รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการศึกษาความก้าวหน้า ของความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและจีน รวมถึงการขยายความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศทั้งสอง เพื่อเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจของไทย เข้าหาระบบเศรษฐกิจของสองประเทศ
Source: THE ECONOMIC TIMES. 08 May, 2017
4. รายงานของ UN ระบุว่า เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตร้อยละ 7.5 ในปีหน้า จากการลงทุนด้าน สาธารณูปโภค
India to grow 7.5% next year on higher infrastructure spending: UN
นิวเดลี: จากรายงานของ UN Economic and Social Commission for Asia and the Pacific (ESCAP) ระบุว่า เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตกว่าร้อยละ 7.5 ในปี 2018 จากการฟื้นตัวของการบริโภค และการลงทุนในด้านระบบสาธารณูปโภค ขั้นพื้นฐาน
หน่วยงานของ UN ที่ดูแลเรื่องการ พัฒนาในระดับภูมิภาค กล่าวว่า ในปี 2017 เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตคงที่ที่ร้อยละ 7.1 หลังจาก นั้นจากขยับขึ้นเป็นร้อยละ 7.5 ในปีถัดมา การคาดการณ์ดังกล่าวมาจาก “การสนับสนุนจากการ บริโภคทั้งจากภาครัฐและเอกชน ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของการลงทุนด้านสาธารณูปโภคขั้น พื้นฐาน”
ที่มาภาพ : economictimes.indiatimes.com
ในเดือนที่ผ่านมา the International Monetary Fund คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอินเดียจะ เติบโตร้อยละ 7.2 ในปีงบประมาณ 2017-2018 และในปีงบประมาณถัดไปจะเติบโตร้อยละ 7.7
ในขณะที่ Asian Development Bank ที่ Manila เห็นว่า เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตร้อย ละ 7.4 ในปี 2017-2018 และจะกระโดดขึ้นเป็นร้อยละ 7.6 ในปีถัดไป
จากตัวเลขดังกล่าวทeให้เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตได้ดีกว่าจีนที่ถูกคาดหมายว่าจะเติบโต ประมาณร้อยละ 6.5 ในปี 2017
รายงานของ ESCAP ระบุว่า “ในขณะที่ภาวะเงินเฟ้อถูกคาดหมายว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 5.3- 5.5 ในปี 2017 และ 2018 ซึ่งค่อนข้างสูงกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ที่ร้อยละ 4.5-5”
ในส่วนของการที่รัฐบาลประกาศใช้นโยบายการยกเลิกธนบัตรเมื่อเดือนพฤศจิกายนถึง ธันวาคมเมื่อปี 2559 ที่ผ่านมา รายงานของ UN ระบุว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากนโยบาย ดังกล่าวเป็นไปเพียงชั่งขณะเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การฟื้นฟูผลกระทบที่เป็นไปอย่างล่าช้าจากที่คาดการณ์ไว้ทำให้ลดแรง กระตุ้นภาคเศรษฐกิจที่พึ่งพาเงินสดและห่วงโซ่อุปทานในภาคผลผลิตทางการเกษตร
ในระยะกลาง อินเดียจะได้ผลประโยชน์จากมาตรการการปฏิรูปมากมายที่มุ่งหมายในการ ผ่าทางตันของภาคอุปทาน
รายงานระบุว่า การบังคับใช้ภาษีสินค้าและบริการ (GST) การแก้ไขกฎหมายล้มละลาย และการเปิดโอกาสในด้านเภสัชกรรม การป้องกันภัย และการบินพลเรือนจะช่วยให้เศรษฐกิจ อินเดียเติบโตมากขึ้น
สำหรับแนวโน้มของภูมิภาค Asia-Pacific รายงานของ UN ESCAP ได้พบว่าการเติบโต ของภูมิภาคดังกล่าวเป็นไปในระดับปานกลางในปีที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับแนวโน้มในอดีต
รายงานระบุว่า “ยุทธศาสตร์การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคที่พึ่งพิงการส่งออกกำลังอยู่ในภาวะกดดัน ท่ามกลางความอ่อนแอที่ยาวนานของอุปสงค์จากภายนอกและการค้าระดับโลก”
อย่างไรก็ตาม การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคดังกล่าวยังเป็นที่ยกย่อง แม้จะมีการ เคลื่อนที่อย่างช้าๆ จากการที่เศรษฐกิจโลกเองก็ตกต่ำ
บทวิเคราะห์: รายงานของ UN แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ของอินเดีย รายงานดังกล่าวยังชี้ให้เห็นถึงโอกาสในอนาคตจากการที่อินเดียมีแผนและโครงการในการลงทุนโดยเฉพาะด้านสาธารณูปโภค ตลอดจนการขยายขึ้นของการบริโภคภายในอินเดียที่บ่ง บอกถึงตลาดภายในประเทศที่มีขนาดใหญ่
Source: THE ECONOMIC TIMES. May 08, 2017