สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์: 13 - 19 พฤษภาคม 2560 (อินเดีย)
1. การประชุมว่าด้วยประเด็นนโยบาย OBOR ณ ประเทศจีน: ความรู้เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวและเหตุผลที่อินเดียไม่เข้าร่วม
OBOR summit in China: Know what it is and why India is not attending
รัฐบาลจีนได้มีการจัดประชุมระดับนานาชาติว่าด้วยนโยบาย One Belt, One Road (OBOR) เพื่อสร้างความเชื่อมโยงทางด้านการคมนาคม และการค้าระหว่างภูมิภาคต่างๆ อาทิ เอเชีย แอฟริกา และยุโรป มากกว่า 65 ประเทศให้ความสนใจในการเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวในขณะที่ผู้นำจาก 20 ประเทศจะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ทั้งนี้การประชุมดังกล่าวของรัฐบาลจีนใช้เวลาทั้งสิ้น 2 วัน เพื่อนำเสนอแผนนโยบายและโครงการต่างๆ ที่จีนมุ่งหวังจะเชื่อมโยงภูมิภาคต่างๆ เข้าด้วยกัน
อินเดียและญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่แสดงถึงความไม่เต็มใจในการเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว โดยญี่ปุ่นเลือกที่จะส่งผู้แทนไป ในขณะที่อินเดียกลับปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว สำหรับท่าทีของสหรัฐอเมริกาที่ในช่วงแรกดูเหมือนจะไม่เข้าร่วม แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจส่งตัวแทนเข้าร่วมการจัดประชุมดังกล่าวของจีน
ที่มาภาพ : economictimes.indiatimes.com
คำถามสำคัญคือนโยบาย One Belt, One Road (OBOR) คืออะไร นโยบาย One Belt, One Road (OBOR) มีพื้นฐานสำคัญมาจากเส้นทางสายใหม่เดิมที่เป็นช่องทางการค้าระหว่างเอเชียและยุโรป ซึ่งนโยบาย OBOR จะขยายกว้างขวางกว่านั้น โดยครอบคลุมทั้งพื้นทวีปและมหาสมุทร ของกว่า 100 ประเทศ และส่งผลกระทบต่อประชากรมากกว่า 4.4 พันล้านคน ซึ่งคาดว่ารัฐบาลจีนจะลงทุนในโครงการดังกล่าว เป็นเงินกว่า 1 ล้านล้านเหรียญ ทั้งนี้โครงการไม่ใช่โครงการเดี่ยว แต่ประกอบด้วยโครงการย่อย อาทิ การสร้างทางรถไฟ ถนน ท่าเรือ และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งจะถือเป็นการลงทุนครั้งมหึมาของรัฐบาลจีนเพื่อสร้างโครงข่ายการค้าโลก ที่น่าสนใจคือประเทศเพื่อนบ้านอินเดียส่วนใหญ่ นอกเหนือจากภูฏาน ต่างให้ความสนใจในการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการดังกล่าว
อีกหนึ่งคำถามที่น่าสนใจคือ ใครจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากโครงการนี้ หากมองในมุมกว้าง โครงการดังกล่าวถือได้ว่าสร้างประโยชน์ให้กับประเทศขนาดเล็กที่ขาดเงินลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ตามคาดว่ารัฐบาลจีนจะให้ความช่วยเหลือผ่านโครงการดังกล่าวในรูปแบบเงินกู้ ที่ประเทศต่างๆ ยากที่จะชดใช้คืนได้ จึงเป็นเสมือนคมของดาบอีกด้านหนึ่งที่ประเทศขนาดเล็กจะได้รับผลกระทบจากโครงการนี้ OBOR สามารถให้ประโยชน์ระยะยาวแก่เศรษฐกิจจีนได้เป็นอย่างมาก และยังเพิ่มโอกาสสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมเหล็กและเหมืองแร่อีกด้วย จากการขยายตัวของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ฉะนั้นแล้วผลประโยชน์โดยรวมยังคงตกอยู่ที่ประเทศจีน เนื่องจากนโยบายนี้จะยังผลให้จีนสามารถเข้าถึงตลาดการค้าใหม่ๆ รวมถึงวางฐานการผลิตอย่างมั่นคงในประเทศต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันเนื่องมาจาก ปัญหาทางด้านพลังงานและค่าแรงของคนจีนที่เพิ่มสูงขึ้น การกระจายการลงทุนดังกล่าวจะช่วยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของจีนได้ และหากนโยบายดังกล่าวเกิดขึ้นจริง จีนจะกลายเป็นประเทศที่เป็นจักรวรรดิทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมเอเชียและแอฟริกา
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือนโยบายดังกล่าวเป้ฯเพียงเรื่องการค้าและเศรษฐกิจตามคำบอกเล่าจริงหรือ คงเป็นไปได้น้อยมาก เพราะแน่นอนว่ารัฐบาลจีนต้องมีความลับเบื้องหลังโครงการนี้อย่างแน่นอน เพราะการกระจายตัวทางเศรษฐกิจ มาพร้อมกับการขยายตัวของกำลังทางทหารเพื่อคุ้มครองเส้นทางการค้าและเศรษฐกิจดังกล่าว ซึ่งสุดท้ายประเทศที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวที่ไม่สามารถใช้คืนเงินกู้ได้ ก็ต้องหันมาสนับสนุนการทูตและการทหารของจีน
ท้ายสุดนี้อะไรเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้อินเดียไม่เข้าร่วมนโยบายดังกล่าว คำตอบคงเป็นปัญหาพรมแดนระหว่างอินเดียและปากีสถาน เนื่องจากภายใต้นโยบายดังกล่าว รัฐบาลจีนและปากีสถานตกลงที่จะพัฒนาความร่วมมือและวางโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน ซึ่งเป็นโครงการยาวกว่า 3,000 กิโลเมตร ซึ่งพาดผ่านพื้นที่พิพาทระหว่างอินเดียและปากีสถาน ส่งผลให้อินเดียมีความวิตกกังวลต่ออำนาจอธิปไตยของตนอย่างยิ่ง
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่ารัฐบาลจีนมีความต้องการที่จะสร้างโครงข่ายการลงทุนขนาดใหญ่ ที่จะครอบคลุมทั้งภูมิภาคเอเชีย แอฟริกา และยุโรป ซึ่งหากนโยบายดังกล่าวเกิดขึ้นจริง หมายความว่าการเชื่อมโยงกันทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียและภูมิภาคอื่นๆ จะเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น ถือเป็นโอกาสของไทยที่จะใช้ช่องทางดังกล่าวในการเข้าถึงตลาดสินค้าใหม่ๆ เพื่อทำการค้าขาย และเพิ่มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ข้อเสนอแนะ: รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเพิ่มมาตรการในการส่งเสริมการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการดังกล่าวเพื่อขยายความร่วมมือในการส่งเสริมและพัฒนาช่องทางการค้าที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันควรมีการวางแผนเพื่อรองรับการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจจากนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลจีน ทั้งนี้ควรวางอยู่บนพื้นฐานผลประโยชน์แห่งชาติเป็นสำคัญ
Source: THE ECONOMIC TIMES. 13 May, 2017
2. บริษัทจัดหางานอินเดียเผยแนวโน้มวิศวกรด้าน IT กว่า 2 แสนคนอาจตกงานในช่วงสามปีข้างหน้า
2 lakh IT engineers to lose jobs annually in the next 3 years: Head Hunters India
เบงกาลูรู: บริษัทจัดหางานอย่าง Head Hunters India กล่าวว่า จะมีการตัดแรงงานในภาค IT ในช่วงสามปีข้างหน้าลงประมาณ 1.75 – 2 แสนคนต่อปี เนื่องจากแรงงานบางส่วนยังไม่มีความพร้อมในการปรับตัวกับเทคโนโลยีรูปแบบใหม่
MD K Lakshmikanth ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร Head Hunters India กล่าวว่า “ตรงกันข้ามกับที่สื่อต่างๆ รายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญด้าน IT กว่า 56,000 คนจะตกงานในปีนี้ และจะมีการลดแรงงานด้าน IT ประมาณ 1.75 – 2 แสนต าแหน่งต่อปี ในช่วงสามปีข้างหน้า เนื่องจากแรงงานดังกล่าวไม่มีความพร้อมในการปรับตัวกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น” จากการวิเคราะห์ผ่านรายงานโดย McKinsey &Company ที่นำเสนอใน the Nesscom India Leadership Forum เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา
รายงานของ McKinsey & Company ระบุว่า กว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานในภาค IT จะเป็นแรงงานที่ขาดความพร้อมในอีก 3-4 ปีข้างหน้า Noshir Kaka ผู้จัดการทั่วไปของ McKinsey India กล่าวว่า ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ต่ออุตสาหกรรมดังกล่าวคือการที่แรงงานกว่าร้อยละ 50-60 จะต้องถูกฝึกฝนเพื่อให้สอดรับกับ เทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น อุตสาหกรรมดังกล่าวมีการจ้างแรงงานกว่า 3.9 ล้านคน ซึ่งแรงงานส่วนใหญ่จะต้องถูกฝึกฝนอีกครั้ง
ที่มาภาพ : economictimes.indiatimes.com
Lakshmikanth กล่าวว่า “เมื่อเราได้วิเคราะห์ตัวเลขดังกล่าว เป็นที่ชัดเจนว่าร้อยละ 30-40 ของแรงงานในภาค IT ไม่สามารถฝึกฝนใหม่ได้ ดังนั้น เพียงครึ่งหนึ่งของแรงงานที่สามารถทำงานต่อด้วยทักษะเดิม ซึ่งตัวเลขของแรงงานที่ไม่สามารถฝึกใหม่ได้ในอีกสามปีข้างหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 5-6 แสนคน ทำให้ต้องมีการปลดแรงงานโดยเฉลี่ย 1.75-2 แสนคนต่อปีในช่วงสามปีต่อจากนี้”
อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าการลดแรงงานในภาค IT จะไม่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่ๆ อย่าง มุมไบ หรือ เบงกาลูรู แต่จะเกิดขึ้นในเมืองอย่าง Coimbatore หรือเมืองอื่นๆ ในพื้นที่ห่างไกล เขายังกล่าวอีกว่า ขณะนี้การบริการในอุตสาหกรรม IT กำลังก้าวผ่านช่วงเวลาของความไม่แน่นอน จากการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็ว และบริษัทต่างๆ ต่างก็เรียนรู้ในการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ และการเสริมทักษะใหม่ๆ เช่นกัน “เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีกลุ่มแรงงานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือกลุ่มที่อยู่ในช่วงอายุ 35 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาในการทำงาน”
เมื่อมีการถามถึงว่า ถูกต้องหรือที่จะโยนความผิดให้กับประธานาธิบดีทรัมป์ จากนโยบายลดแรงงาน Lakshmikanth กล่าวว่า ไม่ถูกต้องนักที่จะกล่าวเช่นนั้น เพราะทรัมป์ได้ทำไปตามสัญญาที่ให้ไว้ในช่วงที่เขาหาเสียงเลือกตั้ง เขายังกล่าวอีกว่า ไม่เป็นที่ถูกต้องที่จะพุ่งเป้าไปที่รัฐบาลอินเดีย เพราะอุตสาหกรรม IT ได้เติบโตด้วยตัวเองในอินเดีย แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลทั้งท้องถิ่นและส่วนกลางจะต้องจัดหาความช่วยเหลือ เช่น ที่ดิน หรือการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น
บทวิเคราะห์: ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยีส่งผลโดยตรงต่อตลาดแรงงานภาค IT ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่หากไม่สามารถปรับตัวให้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงก็ย่อมต้องมีการปลด/ลด/เลิกการจ้างงาน แนวโน้มการปลดแรงงานจากรายงานข่าวดังกล่าวเป็นการชี้แนะและกระตุ้นให้ แรงงานในภาค IT ในปัจจุบันได้ตระหนักถึงการเรียนรู้และเพิ่มทักษะให้ตัวเองอยู่เสมอในการที่จะก้าวทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตลอดจนเป็นการแสดงให้เห็นถึงโอกาสให้กับแรงงานรุ่นใหม่ที่ได้รับการฝึกฝนด้วยเทคโนโลยีล่าสุดด้วยเช่นกัน
Source: THE ECONOMIC TIMES. May 14, 2017
3. ภาคการค้าอัญมณีและเครื่องประดับมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการปรับใช้ภาษีสินค้าและบริการ หรือ GST
Gems & jewellery trade fully ready for GST roll out from July
นิวเดลี: องค์กรที่ดูแลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการค้าอัญมณีและเครื่องประดับ GJF กล่าวว่าการค้าอัญมณีและเครื่องประดับขณะนี้มีความพร้อมแล้วที่จะปรับใช้ภาษีสินค้าและการบริการ (GST) ซึ่งจะประกาศใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 นี้ ทั้งนี้ องค์กรดังกล่าวหวังว่ารัฐบาลกลางจะเก็บภาษีในสินค้าดังกล่าวที่ร้อยละ 1.25 ปัจจุบัน อัตราภาษีของสินค้าประเภทอัญมณีและเครื่องประดับในรัฐท้องถิ่นส่วนใหญ่อยู่ที่ร้อยละ 2 ยกเว้นในรัฐ Kerala
ที่มาภาพ :economictimes.indiatimes.com
Nitin Khandelwal ประธาน All India Gems and Jewellery Trade Federation(GJF) กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “เรามีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะปรับตัวเข้ากับภาษีและบริการ เราได้พัฒนาเงื่อนไขที่จะสร้างความตระหนักต่อประเด็นดังกล่าว รัฐบาลยังไม่ได้ออกคำสั่งสุดท้ายต่ออัตราภาษีสินค้าและบริการในอุตสาหกรรมดังกล่าว “เราได้เรียกร้องอัตราภาษีที่ร้อยละ 1.25 เราหวังว่ารัฐบาลจะยอมรับข้อเสนอดังกล่าว เราพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะชักนำรัฐบาลในประเด็นดังกล่าว”
GJF ได้เข้าพบกับเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังของรัฐบาลกลาง ตลอดจนรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อหารือในประเด็นดังกล่าวและอธิบายถึงข้อเท็จจริงต่างๆ GJF กล่าวว่า ภาษีสินค้าและบริการที่มีอัตราสูงอาจส่งผลกระทบในทางลบต่อผู้ประกอบการ ภาคอุตสาหกรรมดังกล่าวกำลังกำหนดอัตราภาษีในระดับต่ำเพื่อที่จะชักนำให้ผู้ประกอบการแบบดั้งเดิมได้เข้าสู่ระบบออนไลน์อันจะนำไปสู่ความโปร่งใสในการทำงานมากขึ้น
Khandelwal และสมาชิกของ GJF กำลังจะจัดกิจกรรม ‘Preferred Manufacturer of India (PMI) ที่จะมีขึ้นที่กรุงนิวเดลี โดยกิจกรรมดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ผลิตสินค้าจากอัญมณีและเครื่องประดับระดับสูง และผู้ค้าส่งและปลีกได้พบปะ อันจะเป็นการสร้างเครือข่ายระหว่างกัน คาดว่าจะมีผู้ผลิตระดับสูงกว่า 45 ราย และผู้ค้าส่งและปลีกกว่า 150-200 ราย เข้าร่วมในกิจกรรมดังกล่าว
บทวิเคราะห์: การที่รัฐบาลจะปรับใช้ภาษีสินค้าและบริการเพื่อให้มีอัตราเดียวกันทั่วทั้งอินเดียในเร็ววันนี้ และการที่ภาคส่วนต่างๆ เช่น กลุ่มผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับมีความตื่นตัวกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว อีกทั้งการรวมกลุ่มเพื่อชักนำในการกำหนดอัตราภาษี แสดงให้เห็นว่าการปรับรูปแบบภาษีของอินเดียจะช่วยส่งผลดีให้กับกลุ่มผู้ค้าดังกล่าวมากขึ้น ดังนั้น จึงเป็นโอกาสที่ดีที่กลุ่มนักลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับจากประเทศไทยที่สนใจลงทุนในอินเดียจะได้ใช้ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้เป็นประโยชน์
Source: THE ECONOMIC TIMES. May 16, 2017
4. FSSAI เพื่อมาตรการที่เข้มงวดเพื่อต่อต้านการปลอมปนสารพิษและสิ่งไม่พึงประสงค์ในอาหาร
FSSAI to take strict action against food adulteration
นิวเดลี: สำนักงานความปลอดภัยด้านอาหารและมาตรฐานแห่งอินเดีย (FSSAI) กำลังพิจารณามุมมองที่เข้มงวดของการปลอมปนหรือการสูญเสียสุขอนามัยในธุรกิจอาหาร โดยเมื่อการประชุมครั้งล่าสุดที่ผ่านมา Pawan Kumar Agarwal ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานดังกล่าว ได้กล่าวว่า อินเดียจะมีการแก้ไขกฎระเบียบเกี่ยวกับมาตรฐานและความปลอดภัยทางด้านอาหารเพื่อให้ผู้ประกอบการ หรือผู้ประกอบธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับอาหาร ต้องมีการส่งตัวแทนของกลุ่มธุรกิจ หรือบริษัทของตนมาเข้ารับการอบรมเกี่ยวกับมาตรฐานและความปลอดภัยทางด้านอาหารอย่างน้อยหนึ่งคน
ที่มาภาพ : economictimes.indiatimes.com
FSSAI ยังได้เปิดตัวหลักสูตรการฝึกอบรม และการรับรองด้านความปลอดภัยด้านอาหาร (FoSTaC) ซึ่งมีหลักสูตรระยะสั้น 19 หลักสูตร ตั้งแต่หลักสูตรขั้นพื้นฐาน จนถึงขั้นสูงและหลักสูตรเฉพาะสำหรับผู้ขายอาหารบนท้องถนน พ่อครัวร้านอาหาร ผู้ให้บริการผู้ประกอบการด้านธุรกิจอาหารและประชาชนทั่วไป ทั้งนี้สำนักงานความปลอดภัยด้านอาหารและมาตรฐานแห่งอินเดีย (FSSAI) ยังมีการเตรียมการที่จะเปิดให้มีช่องทางการสื่อสารผ่านระบบออนไลน์ อาทิแอพลิเคชั่น หรือเว็บไซด์ เพื่อให้ประชาชนสามารถร้องทุกข์ หรือแจ้งปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพอาหารได้โดยตรง เพื่อให้รัฐบาลทำการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
ระบบดังกล่าวจะช่วยให้ประชาชนสามารถร้องทุกข์กล่าวโทษผู้ประกอบการหรือบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับอาหารได้โดยตรง ทั้งนี้โครงการดังกล่าวยังจะเพิ่มการเผยแพร่เอกสารความรู้ต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อสร้างความเข้าใจในวงกว้างแก่ทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนทั่วไป อีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจของสำนักงานความปลอดภัยด้านอาหารและมาตรฐานแห่งอินเดีย (FSSAI) คือการสร้างตัวแสดงอย่าง Master และ Miss Sehat ซึ่งเป็นตัวยอดมนุษย์ที่ทำหน้าที่ในการให้ความรู้และส่งเสริมความตระหนักรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยทางด้านอาหารและมาตรฐานให้เด็กๆ อินเดียได้รับรู้
สุดท้ายนี้สำนักงานความปลอดภัยด้านอาหารและมาตรฐานแห่งอินเดีย (FSSAI) จะออกกฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับการติดฉลากผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปและนำคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อลดการบริโภคไขมัน น้ำตาลและเกลือ
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่ารัฐบาลอินเดียมีความพยายามในการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบความปลอดภัยและมาตรฐานของสินค้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงสินค้านำเข้าจากต่างประเทศด้วย ซึ่งแน่นอนว่ามาตรการดังกล่าวย่อมส่งผลต่อการส่งออกสินค้าของไทยมายังประเทศอินเดีย
ข้อเสนอแนะ: รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการติดตามความเปลี่ยนแปลงของนโยบายทางด้านความปลอดภัยและมาตรฐานทางด้านอาหารของอินเดียอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ข้อมูลแก่นักลงทุนชาวไทย ในการส่งออกสินค้าประเภทอาหารมายังประเทศอินเดีย เพื่อส่งเสริมการค้าไทย-อินเดียให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
Source: THE ECONOMIC TIMES. 17 May, 2017
5. Paytm to become payments bank: Know what will happen to your money
Paytm จะกลายเป็นธนาคารช าระเงิน: อะไรบ้างที่จะเกิดขึ้นกับเงินของคุณ
Paytm ผู้นeตลลาดกระเป๋าสตางค์ดิจิทัลชั้นน าของอินเดีย ได้รับใบอนุญาตขั้นสุดท้ายจากธนาคารกลางอินเดียสeหรับจัดตั้งธนาคารชeระเงิน โดย Paytm Payments Bank Limited จะเริ่มดeเนินการธุรกรรมทางการเงินตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2017 ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารกลาง โดยบริษัทจะโอนธุรกรรมกระเป๋าสตางค์ออนไลน์ของตนให้แก่บริษัทที่จัดตั้งใหม่ ภายใต้ใบอนุญาตของธนาคารที่มอบให้แก่ Vijay Shekhar Sharma ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ
ที่มาภาพ : Paytm
ลูกค้าที่ใช้กระเป๋าสตางค์ออนไลน์ในการช าระเงินจะถูกย้ายธุรกรรมต่างๆไปที่ Paytm Payments Bank Limited โดยสามารถดeเนินการธุรกรรมต่างๆครบถ้วนเหมือนเดิมภายในวันที่ 23 พฤษภาคม 2560 นี้
หากคุณเป็นผู้ใช้ Paytm และกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี่คือสิ่งที่คุณต้องรู้:
จะเกิดอะไรขึ้นกับเงินในกระเป๋าสตางค์ของ Paytm?
เงินจะถูกโอนไปยัง Paytm Payments Bank Limited เนื่องจากธุรกรรมกระเป๋าสตางค์จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ บริษัท ใหม่ มันจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติและคุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรและธนาคารอื่น ๆ ก็มีธุรกิจกระเป๋าสตางค์ของตนนอกเหนือจากธุรกิจตามปกติ ลูกค้ายังคงใช้แอปพลิเคชั่นทุกอย่างได้เหมือนเดิมและมันจะทำงานต่อไปได้ตามปกติ โดยคุณจะยังคงใช้จ่ายเงิน สำหรับธุรกรรมต่างๆได้ปกติเหมือนเดิม
อะไรคือสิ่งที่จะเปลี่ยน?
ธุรกิจกระเป๋าสตางค์จะได้รับโอนไปยัง บริษัท ใหม่ แต่จะทำงานต่อไปได้
ฉันจะได้รับหมายเลขบัญชีธนาคาร เช็ค บัตรเดบิต ฯลฯ ?
เฉพาะในกรณีที่คุณเลือกเปิดบัญชีกับธนาคารของบริษัทใหม่ กระเป๋าสตางค์ของคุณจะทำงานต่อไปตามปกติ บริษัทจะให้คุณเลือกเปิดบัญชีแยกต่างหาก คุณจะได้รับดอกเบี้ยจากเงินของคุณ หากคุณเลือกเปิดบัญชีธนาคารการชำระเงิน
ธนาคารชำระเงินต่างจากธนาคารปกติอย่างไร?
การชำระเงินของธนาคารไม่สามารถให้ยืมหรือให้ล่วงหน้าแก่ลูกค้า แต่ลูกค้าสามารถออกเช็คและบัตรเดบิตได้ แต่ไม่สามารถใช้บัตรเครดิตได้ โดยในบัญชีของคุณสามารถเก็บเงินได้ไม่เกินหนึ่งแสนรูปีใน Paytm payment bank
วิเคราะห์: การที่ Paytm กลายเป็นมาเป็นผู้เล่นในระบบธนาคารของอินเดียนั้น ทำให้ตลาดของระบบธนคารในอินเดียเกิดการตื่นตัวมากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัจจุบันคนส่วนใหญ่ของอินเดียมีการใช้ระบบกระเป๋าเงินออนไลน์ของ Paytm ในการดำเนินธุรกรรมต่างๆ ซึ่งส่งผลธนาคารอื่นๆจะต้องมีการปรับตัวด้านธุรกรรมออนไลน์มากยิ่งขึ้น
Source: THE ECONOMIC TIMES. 17 May, 2017
6. ธนาคาร Kotak Mahindra ช่วยให้การดำเนินงานด้านการจัดหาเงินทุนในรูปแบบ blockchain ดำเนินไปได้
Kotak Mahindra Bank enables blockchain based trade financing operation
ภาพจาก : http://m.economictimes.com
มุมไบ: ธนาคาร Kotak Mahindra ได้เปิดการใช้งานการจัดหาเงินทุนการค้าสำหรับลูกค้ารายใดรายหนึ่งโดยการใช้เทคโนโลยี blockchain ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการทำธุรกรรมจากเดิม 20-30 วัน กลายเป็นไม่กี่ชั่วโมง
LC เป็นตราสารที่เจรจาต่อรองได้ โดยเป็นเอกสารสำคัญในการดำเนินธุรกรรมการค้าทั้งในและต่างประเทศ และเป็นหนึ่งในเอกสารที่น่าเบื่อที่สุดในการดำเนินการด้านการของธนาคารเนื่องจากต้องใช้เวลาในการดำเนินการค่อนข้างนาน ทำให้ผู้ส่งออกไม่สามารถใช้เงินจากการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนการยืนยันการอนุมัติ และการจัดทำเป็นเอกสารใช้เวลาค่อนข้างมาก เนื่องจากแต่ละประเทศมีกระบวนการพิจารณาต่างๆที่แตกต่างกัน ในกระบวนการนี้เทคโนโลยี Blockchain ไม่เพียง แต่ช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลเท่านั้น แต่ยังรวมข้อมูลเข้ากับระบบการเข้าถึงส่วนกลางของระบบคลาวด์สำหรับผู้ทำธุรกรรมอีกด้วย
ในช่วงแรกของการทำธุรกรรมในอินเดีย Kotak Mahindra ร่วมมือกับ Deloitte และใช้เทคโนโลยี blockchain เพื่อทำธุรกรรม LC กับ JP Morgan Singapore ในฐานะธนาคารคู่ค้า - จากการออก LC ส าหรับธุรกรรมขาออกเพื่อถ่ายโอนเอกสารการค้า สำหรับ LCs ขาเข้า เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมของกองทุน
KVS Manian ประธานธนาคารเพื่อการลงทุน Kotak Mahindra กล่าวว่า ในระบบดิจิตอลที่พัฒนาแล้ว มีความก้าวหน้าในระบบการโอนเงินเป็นอย่างมาก สำหรับการเงิน การค้าในอินเดียจำนวนมากที่ต้องทำ Blockchain เทคโนโลยี โดยบัญชีแยกประเภทย่อยได้กลายเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจอย่างมากในอุตสาหกรรมการเงินอินเดีย นับตั้งแต่ปี 2008 เทคโนโลยี blockchain ได้พัฒนามาจากการบันทึกธุรกรรมไปสู่การปฏิวัติระบบดิจิตอลที่มีศักยภาพ ในการรักษาความปลอดภัย โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ
ธนาคาร Kotak Mahindra เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพกับสถาบันการเงินอื่น ๆ ทั้งในอินเดียและต่างประเทศ ในการดำเนินการ blockchain ในโครงการต่างๆ เช่น การค้า การคลัง การชำระเงินข้ามพรมแดน การตั้งถิ่นฐานทางการค้า การตั้งถิ่นฐานของ FX การแลกเปลี่ยนสินค้า การตรวจสอบและการก ากับดูแล การจัดการข้อมูลผู้ใช้เป็นต้น
ธนาคารที่มีการลงทุนอย่างมากในด้านเทคโนโลยี โดยกำลังพยายามให้ผู้นำเข้าและส่งออกของอินเดีย และผู้ค้าในประเทศ ในการใช้ blockchain ให้มีศักยภาพสูงสุด ธนาคารกล่าวว่าพวกเขามองเห็นอนาคตที่ธนาคารจะร่วมมือกันและมีส่วนร่วมในการทำธุรกิจแบบ blockchain ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกง และปรับปรุงประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าในการด าเนินธุรกรรมต่างๆ ได้แก่ KYC การชำระเงินข้ามพรมแดน สินเชื่อ การตรวจสอบและรายงานทางกฎหมาย
วิเคราะห์: การที่ธนาคาร Kotak Mahindra ของอินเดียสามารถพัฒนาระบบการชำระเงินระหว่างประเทศให้สะดวกและง่ายมากยิ่งขึ้นนั้น ทำให้การดำเนินการธุรกรรมการนำเข้าและส่งออกของอินเดียง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อภาคอุตสาหกรรมการน าเข้าและส่งออกของอินเดีย และคาดว่าจะขยายตัวมากยิ่งขึ้นในอนาคต
Source: THE ECONOMIC TIMES. 17 May, 2017