สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์: 10-16 มิถุนายน 2560 (อินเดีย)
1. ผู้ประกอบการอัญมณีอินเดียเกรงจ่ายภาษีมากขึ้นจนกำไรหดตัว
Jewellers fear fall in profit
ภาษีสินค้าและบริการ (GST) สามารถบล็อกเงินทุนหมุนเวียน ได้ถึงสามในสี่ของธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับและส่งผลกระทบต่อ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัท เนื่องจากโครงสร้างภาษี GST แบบใหม่ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการอัญมณีจะสามารถเก็บภาษี(ร้อยละ 3) จากลูกค้าได้น้อยกว่ากว่าภาษีที่พวกเขาจะต้องจ่ายให้ทางการสำหรับ การซื้อและแปลงทองคำเป็นเครื่องประดับ (ร้อยละ 18) จากข้อมูลที่ รวบรวมโดยตัวแทนจำหน่ายทองคำแท่ง และ สมาคมทองคำแท่งและอัญมณีของอินเดีย (India Bullion and Jewellers Association, IBJA) แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างของ GST จะลดปริมาณเงินทุนหมุนเวียนในระบบกว่าร้อยละ 87
ในประเด็นดังกล่าว Mr.Surendra Mehta เลขาธิการของ IBJA ได้กล่าวว่า“เกือบร้อยละ 95 ของ ผู้ประกอบการอัญมณีไม่ได้มีหน่วยการผลิตของตัวเองและทำให้เครื่องประดับของพวกเขาต้องจ้างผ่านคนงาน / ผู้ผลิตรายอื่นๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอัตรา GST แบบใหม่ของการทำเครื่องประดับเท่ากับร้อยละ 18 แต่อัตรา ภาษีGST ของอัญมณีทองคำของการซื้อขายทองคำรูปพรรณ จะกำหนดคงที่ร้อยละ 3 ทำให้ผู้ประกอบการจะต้องยื่นขอคืนเงินภาษีส่วนชำระเกิน” อนึ่ง การผลิตอัญมณีเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก ซึ่งการลดลงของเงินทุนหมุนเวียนจะส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมนี้ “โดยผู้ผลิตเครื่องประดับจะลดกิจกรรมการผลิตเนื่องจากการไหลเวียนของเงินทุนที่ลดลง
Mr. Nitin Khandelwal ประธานสมาคมอัญมณีและเครื่องประดับอัญมณีแห่งอินเดีย(All India Gems and Jewellery Trade Federation, GJF) กล่าวว่า “เราเรียกร้องให้รัฐบาลรักษาอัตราภาษีหัก ณ ทีจ่ายให้กับเครื่องประดับที่ระดับ “ศูนย์” อย่างไรก็ตามก็ไม่มีปัญหาหากต้องจ่ายภาษี GST ในการผลิต เครื่องประดับในระดับร้อย 3 ซึ่งเท่ากับระดับเดียวกันกับการทำทองคำ " Mr. Khandelwal กล่าว
แม้ว่ารัฐบาลจะยังกำลังหาอัตราภาษี GST ที่บังคับใช้ในการเรียกเก็บเงินสำหรับอุตสาหกรรมอัญมณี และเครื่องประดับที่ชัดเจน แต่อุตสาหกรรมคาดการณ์ว่าอัตราค่าบริการร้อยละ 18 ที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ถูกบังคับใช้กับอุตสาหกรรมทำเครื่องประดับด้วย
“เราได้ขอให้รัฐบาลปรับอัตราภาษีGST สำหรับเครื่องประดับทองและทองคำในลักษณะที่ ผู้ประกอบการอัญมณีไม่จำเป็นต้องขอคืนเงินภาษีใดๆ เพื่อให้ทางการสามารถเรียกเก็บค่าภาษีGST ร้อยละ 3 จากส่วนประกอบที่ทำมาจากทองคำ และภาษี GST ร้อยละ 18 ในการเรียกเก็บเงินจากผู้บริโภคขั้นสุดท้าย” ทั้งนี้ ผู้แทนผู้ประกอบการอัญมณีได้ยื่นข้อเสนอต่อ รมว.คลังของอินเดียด้วยแล้ว
อนึ่ง การตัดสินใจขั้นสุดท้ายคาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 11 มิถุนายนเมื่อมีการกำหนดการประชุมครั้งถัดไป ของ GST Council
Source: Business Standard. 11 June, 2017
2. อินเดียกลายมาเป็นผู้ผลิตโลหะรายใหญ่ของโลก
India to become top global steel producer
Source: Business Standard
สภาอุตสากรรมของอินเดียได้ให้ความเห็นว่าประเทศอินเดียได้กลายเป็นจุดสนใจในการค้าโลหะและกำลังก้าวไปสู่การเป็นผู้ผลิตชั้นนำระดับโลก ตามรายงานล่าสุดจาก ผลวิจัย BMI Research พบว่าความต้องการจากภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างยานยนต์ และโครงสร้างพื้นฐานยังคงทวีคูณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รายงานฉบับนี้ได้นำความสำเร็จของภาคอุตสาหกรรมไปสู่การผลักดันของรัฐบาล ในการเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อที่จะตอบสนอง ความต้องการในเรื่องของการก่อสร้าง, ยานยนต์, และ ภาคการผลิต นาย Nikunj Turakhia ประธานสมาพันธ์ผู้ใช้โลหะของอินเดีย กล่าวว่า "ในช่วงไม่กี่ปี ที่ผ่านมาผู้ค้าโลหะของอินเดียได้เผยว่ามี แนวโน้มการส่งออกที่ก้าวหน้าขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา"
นาย Nikunj Turakhia กล่าวเสริมว่า ด้วยการเปิดตัวโลหะและนโยบายการต่อต้านการทุ่มตลาดของอินเดียนั้น กำลังอยู่ในเส้นทางที่จะกลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตโลหะที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น "แสงสว่าง" ที่ให้ความสำคัญเป็น อย่างมาก
รายงานระบุว่า บริษัทโลหะของอินเดีย อาทิ เช่น Steel Authority of India Ltd (SAIL) และ Tata Steel เป็นแรงผลักดันสำคัญของการเติบโตดังกล่าว ผลวิจัย BMI คาดการณ์ว่ายอดผลิตโลหะของอินเดียจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 8.9ต่อปี ในช่วง 2017- 21 ซึ่งสูงกว่าร้อยละ 2.9 ในปี 2012-16
ผลผลิตโลหะของอินเดียจะเพิ่มขึ้นเป็น 128.6 ล้านตัน ภายในปีพ.ศ. 2564 จาก 88.4 ล้านตัน ในปี 2560 และ ส่วนผลการผลิตเหล็กทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.7% ในปี 2564 จากร้อยละ 5.4 ในปี 2560
Source: Business Standard. 11 June, 2017
3. คลังยาอินเดียมีไม่เพียงพอต่อความต้องการอันเนื่องมาจากนโยบายภาษีGST ใหม่
Drug inventory with stockists falls ahead of new tax regime
Source: Business Standard
ในสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน 2560 พบว่าในระยะเวลาปริมาณยาในคลังได้ลดลงติดต่อกัน 13 วันทำให้ หลายๆ ฝ่ายเกิดความกังวล เนื่องจากเกรงยาจะไม่เพียงพอ ภายหลังการปรับอัตราภาษี GSTใหม่ ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 นี้ ซึ่งโดยปกติคลังยาในอินเดียจะสามารถกักเก็บยาไว้ใช้ได้อย่างพอเพียงจนถึง 27 วัน และในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2560 ปริมาณยาก็มีปริมาณสูงถึงการใช้ในช่วง 40 วัน
"เมื่อเทียบกับวันที่ 31 พฤษภาคม ระยะเวลาในการกักเก็บคลังยานั้นลด น้อยลงไปเกือบ 13 วัน เฉลี่ยต่อ 27 วัน ซึ่งมีเพียงพอที่จะให้บริการแก่ตลาด และไม่มีทางที่จะขาดแคลนยาในระดับร้านค้าปลีกแน่นอน" กล่าวโดย Ameesh Masurekar ผู้อำนวยการ AIOCD-AWACS ฝ่ายวิจัยตลาดของ All India Organisation of Chemists and Druggists.
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดให้วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 เป็นวันเริ่มบังคับใช้ภาษีสินค้าและบริการ (GST) ยกเว้นยารักษาโรคผลิตภัณฑ์อื่น ๆ และตัวยาต่างๆได้ถูกรวมอยู่ในอัตราภาษีร้อยละ 12 ซึ่งสูงกว่าระดับภาษี ปัจจุบัน ทำให้มีความน่าเป็นห่วงในเรื่องอัตรากำไรของผู้ประกอบการ
แม้ว่า ที่ผ่านมาการกักเก็บยาและเวชภัณฑ์ของอินเดียโดยเฉลี่ยโดยรวมจะเท่ากับ 27 วัน แต่ในบางกรณีมีบริษัทบางแห่งที่มีเวลากักเก็บต่ำกว่า 20 วัน อาทิเช่น บริษัทข้ามชาติอย่าง Boehringer Ingelheim, MSD, Roche และ Sanofi ผู้ประกอบการจะสามารถกักเก็บคลังยาได้ภายใน 15-18 วัน และในกรณีของ Glaxo และ Sun Pharma ผู้ประกอบการจะสามารถกักเก็บคลังยาได้ 20 - 21 วัน
Deeepnath Roy Chowdhury ประธานสมาคมผู้ผลิตยาแห่งอินเดียกล่าว “ช่องทางการจำหน่ายยาได้ลดลง เป็นจำนวนมากและจะเข้าถึงสภาวะตกต่ำในเดือนมิถุนายน 2560 ทางเราได้ขอให้คณะกรรมการ National Pharmaceuticals Pricing Authority และ คณะกรรมการภาษีสินค้าและบริการ (GST Council) แก้ไขปัญหาดังกล่าว “รัฐบาลได้ตกลงที่ให้สินเชื่อ (input credit) สินค้ายาที่กักเก็บไว้คิดเป็นร้อยล 40 ของภาษีสรรพสามิต สำหรับคลังยาที่อยู่ในช่วงระยะเวลาการเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ผู้ประกอบการต้องการสินเชื่อใน ระดับร้อยละ 100 ซึ่งหากไม่ได้อย่างที่ต้องการ ผู้ประกอบการจะคงระดับคลังยาไว้อยู่ในระดับต่ำต่อไป
Source: Business Standard. 13 June, 2017
4. รัฐบาลอินเดียมีการเพิ่มภาษีการขายสินค้าออนไลน์กว่าร้อยละ 80 จาก Flipkartและ Amazon
GST triggers another '80%' online sale for Flipkart, Amazon
เครื่องนุ่งห่มและเฟอร์นิเจอร์ ที่มีการเสนอขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Flipkart และ Amazon ในประเทศอินเดียได้ให้ส่วนลดสูงสุดถึง 80% ในขณะที่เสื้อผ้าผู้ชายในหลาย แบรนด์อย่าง Tommy Hilfiger, Lee และ Arrow ต่างคว้าโอกาสนี้โดยลดราคาสูงถึง 70% สำหรับลูกค้า Prime members ของ Amazon ได้รับส่วนลดอย่างต่ำถึง 50% ของเสื้อผ้าและ เครื่องประดับจาก UCB และ Indigo Nation
สำหรับชุดกีฬาอย่าง Puma และ Reebok ก็ได้เข้าร่วมรายการกับ Amazon โดยลดราคา สูงถึง 70% ในขณะที่ชุดพื้นเมืองอย่าง sarees และ kurtas ก็ร่วมรายการกับ Flipkart โดยลดราคา ถึง 80% ในหลากหลายแบรนด์อย่าง Global Desi, Aurelia และ W.
ตามประกาศของสภา GST สำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่มีราคาต่ำกว่า 1,000 รูปี จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 5% และเสื้อผ้าสำเร็จที่ราคาสูงกว่า 1,000 รูปีจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายอยู่ที่ 12% ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวลดราคาลงในช่วงนี้ โดยข้อตกลงออนไลน์ดังกล่าวไม่ได้จำกัดเพียงแค่เสื้อผ้าแฟชั่นเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น อุปกรณ์ตกแต่งภายในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ และชั้นวางต่างๆอีกด้วย
โดยที่ผู้ซื้อสามารถรับส่วนลดขั้นต่ าถึงร้อยละ 60 ใน Amazon สำหรับอุปกรณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ผู้ขายยังลดราคาในผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมี่ยม เช่น โซฟาเบดถึงร้อยละ 30 และโซฟาถึงร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับราคาขายปลีกขั้นต่ำ หรือ MRPs สำหรับ Flipkart ก็ยังให้ส่วนลดพิเศษ เพิ่มอีกร้อยละ 20 สำหรับเฟอร์นิเจอร์จาก HomeTown ที่รวมไปถึงตู้เสื้อผ้าแบบแยกส่วน และตู้ รองเท้า
โดยเรื่องดังกล่าวนี้เป็นไปตามประกาศของสภา GST เนื่องจากเฟอร์นิเจอร์ไม้จะมีการปรับ ราคาภายใต้โครงสร้างที่นำเสนอ อัตราการใช้ไม้อัดซึ่งใช้เป็นหลักในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ส่วน ใหญ่จะเพิ่มขึ้นจากอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเฉลี่ยในปัจจุบันที่ร้อยละ 5-6 เป็นร้อยละ 28 ภายใต้ GST นี้จะนำมาขึ้นค่าใช้จ่ายของเฟอร์นิเจอร์ไม้หลังจากเดือนกรกฎาคม 2560
วิเคราะห์ การลดราคาครั้งใหญ่ถือเป็นความต้องการเทียมที่เกิดขึ้นของผู้บริโภคของอินเดียที่จะจับจ่ายใช้ส่อยในช่วงนี้ และอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจในอนาคตของอินเดียจะซบเซาลงในช่วงสั้นๆ เนื่องจากผู้บริโภคได้ซื้อสินค้าเหล่านี้ไปแล้วในปัจจุบัน
Source: THE ECONOMIC TIMES. 09 June, 2017
5. ปริมาณฝนที่มากกว่าปกติในช่วงฤดูมรสุมในปีนี้ไม่ได้เป็นผลสำคัญจากปรากฏการณ์ El Nino
Above normal monsoon brings cheer as El Nino threat fades
Source: The Economic Times
นิวเดลี: ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่กำลังเริ่มขึ้นและพัดเข้าสู่อินเดียอย่างรุนแรงในช่วงที่ ผ่านมาส่งผลให้ทั้งประเทศมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นคิดเป็นถึงร้อยละ 16 จากปริมาณปกติที่มีฝนตก ภายในประเทศ โดยคิดนับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2560 เป็นต้นมา ทั้งนี้คาดการณ์ว่าแนวโน้ม ดังกล่าวจะพัฒนาดีขึ้น สอดคล้องกับนักพยากรณ์อากาศนานาชาติที่มองว่าผลกระทบของ ปรากฏการณ์ EL Nino จะยังไม่ส่งผลกระทบกับประเทศอินเดียในปีนี้
อย่างไรก็ตามปริมาณน้ำฝนที่กำลังตกอยู่ในปัจจุบันถือว่ามีปริมาณ สูงกว่าปกติในหลายรัฐใหญ่ของประเทศโดยเฉพาะรัฐทางตอนเหนือ อาทิ รัฐ Punjab Haryana และ Uttar Pradesh ซึ่งช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ให้กับหน้าดินของรัฐนั้นๆ สำหรับการเพาะปลูกได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้สำหรับรายงานฤดูเพาะปลูกที่จะมาถึงนี้พบว่า ชาวนามีแนวโน้มที่จะเพาะปลูกพืชเป็นปริมาณถึง 81.33 แสนเฮกตาร์ ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 12.5 ทั้งนี้พืช หลักที่จะมีการเพาะปลูกคือ ข้าว ฝ้าย เมล็ดพืชน้ำมัน และธัญพืชต่างๆ ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นดังกล่าว เป็นผลมาจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น
สำนักงานพยากรณ์อากาศของอินเดีย มีการคำนวณว่าในเดือนมิถุนายน 2560 นี้ ปริมาณน้ำฝนของประเทศจะกลับมาอยู่ในปริมาณปกติทั้งนี้ปริมาณน้ำฝนทั้งหมดของประเทศนับตั้งแต่ วันที่ 1 มิถุนายน 2560 ซึ่งถือเป็นต้นฤดูกาล จนถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2560 พบว่าอยู่ที่ 37มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวกว่าร้อยละ 16 ปริมาณน้ำฝนดังกล่าวช่วยเพิ่มปริมาณ น้ำในอ่างเก็บน้ำต่างๆ ให้มีปริมาณสูงขึ้น มากสุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ช่วยให้ประเทศสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น มีน้ำสำหรับการบริโภคและอุปโภค และสำหรับใช้ในการชลประทาน
อินเดียตอนเหนือและรัฐราชสถานได้รับปริมาณน้ำฝนเกือบเท่าตัว ในขณะที่ภาค ตะวันออกภาคกลางตะวันตกและภาคใต้ของอินเดียมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นเริ่มตั้งแต่ร้อยละ 6 ถึง 12 ทั้งนี้สภาพอากาศภายในประเทศอินเดียมีการเปลี่ยนแปลงทุกๆ สัปดาห์ส่งผลให้กรม อุตุนิยมวิทยาของอินเดียเกรงว่าอินเดียกำลังเผชิญกับสภาวะ EL Nino ถึงแม้ว่ากรมอุตุนิยมวิทยาของออสเตรเลียจะมองว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ลดอิทธิพลลงแล้วในประเทศอินเดียก็ตาม ทั้งนี้ การพยากรณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับกรมอุตุนิยมวิทยานานาชาติที่มองว่าสภาวะ EL Nino จะยังไม่ส่งผลต่อประเทศอินเดีย
โดยจากการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาของประเทศอินเดียมองว่าปริมาณฝน จะครอบคลุมร้อยละ 96 ของพื้นที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ร้อยละ 100 ในบริเวณ พื้นที่ภาคกลาง และร้อยละ 99 ในบริเวณพื้นที่ภาคใต้ และในส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะ มีความแตกต่างเพียงร้อยละ 4 ทั้งนี้ตัวแบบการค านวณคาดว่าจะมีความคาดเคลื่อนเพียงร้อยละ 8
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่าปริมาณน้ำฝนของประเทศอินเดียมีแนวโน้มเพิ่ม สูงขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นผลดีต่อภาคการเกษตรของประเทศอินเดีย ทั้งนี้แนวโน้มดังกล่าวส่งผลโดยตรง ต่อภาคการเกษตรของไทย เนื่องจากหากการเกษตรของอินเดียผลิตสินค้าได้จำนวนมากจะส่งผล ให้สินค้าการเกษตรออกสู่ตลาดโลกมากขึ้น และจะเป็นคู่แข่งสำคัญของประเทศไทยในตลาดโลก
Source: THE ECONOMIC TIMES. 10 June, 2017
6. สินค้านำเข้าอาจมีต้นทุนที่สูงขึ้นจากการใช้ภาษีสินค้าและบริการ
GST: Imported goods may turn costlier
Source: Economic Times
นิวเดลี: กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ประเภทคงทนถาวร (consumer durables) อย่าง สมาร์ทโฟนที่มาจากการนำเข้าอาจมี ราคาพุ่งสูงขึ้นชั่วคราวจากการเปลี่ยนแปลง ครั้งใหญ่ของอินเดียในการปรับใช้ภาษีสินค้า และบริการในวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 นี้ เนื่องจาก special credit transfer scheme ได้ถูกจำกัดอย่างเข้มงวดในภาคอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงกฎหมายครั้งล่าสุดนี้ได้ถูกอนุมัติโดยคณะกรรมการ GST ที่ให้อำนาจส่วนกลางในการจัดเก็บภาษีในสินค้าที่มีราคามากกว่า 25,000 รูปีที่มีเลขกำกับสินค้าหรืออัตลักษณ์อื่นๆ ที่สามารถใช้อ้างอิงได้ แต่กระบวนการดังกล่าวจะมีขึ้นเฉพาะในสินค้าที่ผลิตผ่านโรงงานเท่านั้น
ดังนั้นผู้ที่ขายสินค้าที่นำเข้าต้องอ้างเครดิตร้อยละ 60 หรือร้อยละ 40 ของภาษีสินค้าและ บริการที่ส่วนกลาง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอัตราภาษีที่เรียกเก็บของแต่ละสินค้า พวกเขาจะไม่สามารถอ้างเครดิตของจำนวนเงินทั้งหมดของภาษีตอบโต้การอุดหนุนและ ภาษีศุลกากรเพิ่มเติมที่จ่ายให้กับสินค้านำเข้าดังกล่าวซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาหุ้นทุนเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และ สินค้าผู้บริโภค โดยเฉพาะสินค้านำเข้าที่มาประกอบและขายในอินเดีย
ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีกล่าวว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
Pratik Jain หัวน้า PwC กล่าวว่า “หากความตั้งใจคือการบรรเทาผลกระทบของภาษี ส่วนกลางที่มีอยู่ใน transition stock ในสินค้าที่มีมูลค่าสูง ดังนั้น โดยตรรกะแล้วก็จะรวมสินค้านำเข้าด้วย ความไม่สอดคล้องกันจะหมายถึงผู้บริโภคสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าคงทน และ โทรศัพท์มือถือที่มาจากการนำเข้าจะได้รับผลกระทบมากกว่าสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ ดังนั้น รัฐบาลควรจะทบทวนประเด็นเหล่านี้”
ผู้เชี่ยวชาญยังต้องการความชัดเจนเกี่ยวกับการกำหนดมูลค่าสินค้าที่ราคา 25,000 รูปีต่อ ชิ้นว่าควรจะเป็นราคาสูงสุดของการขายปลีก ราคาขายสินค้า (purchase price) หรือมูลค่าอื่นๆ
Source: economictimes.indiatimes.com
ทั้งนี้ คณะกรรมการ GST ได้กำหนดกลุ่ม 18 กลุ่มเพื่อสื่อสารกับภาคส่วนต่างๆ เช่น โทรคมนาคม การธนาคาร และการส่งออก และเพื่อแก้ไขประเด็นต่างๆ เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงนี้ เป็นไปอย่างราบรื่น กลุ่มภาคส่วนการทำงานต่างๆ เหล่านี้ประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่อาวุโสจากส่วนกลางและ รัฐท้องถิ่นที่ประเมินตัวแทนจากภาคการค้าและการผลิต กลุ่มเหล่านี้จะช่วยให้การปฏิรูประบบ ภาษีเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่น
บทวิเคราะห์: ภาษีสินค้าและบริการเป็นระบบภาษีรูปแบบใหม่ที่อินเดียจะบังคับใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 นี้ แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้ายถึงอัตราภาษีที่แน่นอนของ สินค้าในทุกชนิด ทำให้มีความกังวลถึงผลกระทบที่จะตามมาโดยเฉพาะต้นทุนสินค้านำเข้าที่อาจสูงขึ้นจนทำให้ราคาขายของสินค้าอาจพุ่งสูงตามไปด้วย
Source: THR ECONOMIC TIMES. Jun 10, 2017
7. การติดตั้งสินค้าที่รวดเร็ว รวมถึงส่วนลดเยอะส่งผลให้ยอดขายสินค้าออนไลน์เพิ่ม
Quick installation, discounts boost large appliances' online sales
นิวเดลี/บังกาลอร์: ปัจจุบันสังคมอินเดียกำลังมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เนื่องจากการใช้ สมาร์ทโฟน จากที่เป็นสังคมที่ปฏิเสธสินค้าดังกล่าว แต่ปัจจุบันกลับพบว่าชาวอินเดียจำนวนมาก กำลังนั่งใช้สมาร์ทโฟนในการสั่งซื้อสินค้า โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ปัจจุบันสามารถจัดส่ง ได้ในหนึ่งวันและติดตั้งสำเร็จเรียบร้อยด้วย ที่สำคัญคือช่วยประหยัดเวลาและงบประมาณของผู้ซื้อ ได้อย่างมากจากโปรโมชั่นมากมาย การขายเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบออนไลน์ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในช่วงสองปีที่ผ่านมา
Source: The Economic Times
Amazon ผู้ค้าสินค้าออนไลน์ รายใหญ่ของประเทศอินเดีย ได้มีการออกรายงานระบุว่าในช่วงที่มีการเปิด ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าออนไลน์ในวันแรก เว็ปไซด์นี้สามารถขายไปได้มากกว่า ครึ่ง (20,000 ยูนิต) ของปริมาณ TV ที่มีการค้าขายในประเทศอินเดียส่งผลให้มีแบรนด์สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าจำนวนมากติดต่อมายังบริษัทนี้เพื่อวางขายสินค้าของตนเอง
ผู้ผลิตสินค้าจำนวนมากจึงเริ่มที่จะหันมาให้ความสนใจกับร้านค้าปลีกออนไลน์เหล่านี้ผ่าน การเสนอสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ อาทิ ตู้เย็น โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า ซึ่งมีส่วนทำให้ราคาสินค้า เหล่านี้มีราคาที่ถูกลงโดยเปรียบเทียบกับการวางขายหน้าร้าน สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้ากลายเป็น รายได้สำคัญของบริษัทขายสินค้าออนไลน์จำนวนมากทั้งนี้ Flipkart มีการจัดส่งสินค้าคิดเป็นถึง ร้อยละ 72 ต่อวันของปริมาณเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดที่มีการสั่งซื้อผ่านโกดังเก็บสินค้ากว่า 10 แห่ง ทั่วประเทศ
อีกหนึ่งความสะดวกสำคัญของการซื้อสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าออนไลน์คือการ ติดตั้งที่รวดเร็ว ตัวอย่างเช่น Amazon อินเดียได้มีการจัดตั้ง ทีมช่างเทคนิคที่ทำหน้าที่ใน การติดตั้งสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นของตนเองเพื่ออำน วยความสะดวกสูงสุดให้กับลูกค้า โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าตาม เมืองเล็กที่ยากจะหาช่างเทคนิคในการประกอบหรือ ติดตั้งสินค้ารวมถึงมีความจำกัดในการเลือกซื้อแบรนด์สินค้า ทั้งนี้ปัจจุบัน Amazon มีคลังสินค้า 9 แห่งที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้กว่าร้อยละ 80 ของทั้งประเทศ
Source: The Economic Times
ทั้งนี้ผู้ผลิตจำนวนมากยังคงต้องเพิ่มการแข็งขันมากมายในตลาดสินค้าออนไลน์ดังกล่าว เนื่องจากมีผู้ค้าจำนวนมาก ส่งผลให้ต้องมีการลดราคาเพื่อจูงใจให้ผู้ซื้อสินค้าสนใจสินค้าของตนให้ มากยิ่งขึ้น เพื่อดึงส่วนแบ่งทางการตลาดมาเป็นของตนเอง ทั้งนี้จากตัวอย่างของการค้าสินค้า เครื่องใช้ไฟฟ้าออนไลน์ของผู้ผลิตโทรทัศน์รุ่น Vu พบว่าในช่วงที่บริษัทยังไม่ได้นำเอาโทรทัศน์เข้าสู่ ระบบซื้อขายออนไลน์ยอดขายอยู่ที่ราว 350 ล้านรูปีแต่ภายหลังจากที่นำเข้าสู่ระบบสินค้าออนไลน์ยอดขายพุ่งสูงถึง 5 พันล้านรูปี
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่าตลาดสินค้าออนไลน์ โดยเฉพาะอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าของอินเดียมีความเติบโตอย่างมาก ซึ่งประเทศไทยถือได้ว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพสูงในกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ หากสามารถเข้าถึงตลาดสินค้าออนไลน์ดังกล่าวได้จะนำมาซึ่ง ยอดขายปริมาณมาก และในขนาดเดียวกันยังเข้าถึงผู้บริโภคจำนวนมหาศาลได้อีกด้วย
ข้อเสนอแนะ: รัฐบาลไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการส่งเสริมให้กลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีความเกี่ยวข้องกับเครื่องใช้ไฟฟ้าของประเทศไทย เข้าไปลงทุนในประเทศอินเดียให้เพิ่มมาก ยิ่งขึ้น เนื่องจากปัจจุบันอินเดียมีสิทธิพิเศษจำนวนมากสำคัญการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ รวมถึงการเติบโตของตลาดสินค้าออนไลน์ดังกล่าวส่งผลให้ผู้ขาย กับผู้ซื้อสามารถเข้าถึงกันและกันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
Source: THE ECONOMIC TIMES. 12 June, 2017
8. บริษัทเอกชนของสหรัฐหลายแห่งมีแผนที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มในอินเดีย และ จีน
Many US firms plan to incrementally invest in India, China: UBS
Source: m.economictime.com
สำนักข่าว UBS กล่าวว่า มีสัญญาณในการลงทุนข้ามพรมแดนจากบริษัทเอกชนของ สหรัฐอเมริกาที่จะไปลงทุนในประเทศอินเดียและประเทศจีน เนื่องจากบริษัทขนาดกลาง และ ขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ มีแผนที่จะลงทุนในภูมิภาคเอเชียมากกว่าในยุโรปตะวันตก
ตามรายงานการสำรวจ UBS Evidence Lab USA C-Suite กล่าวว่าประเทศจีนเป็น ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียซึ่งมีบริษัทเอกชนของสหรัฐแสดงเจตจำนงที่ต้องการเข้ามาลงในประเทศจีนมากกว่า 40% ของบริษัทขนาดใหญ่ที่ทำการสำรวจ โดยบริษัทเหล่านั้นมีแผนจะเข้าไปลงทุนในประเทศนี้เพิ่มขึ้นในปีหน้า นอกจากนี้ยังมีบริษัทเอกชนของสหรัฐ มากกว่าหนึ่งในสี่ที่แสดงเจตจำนงที่จะมาลงทุนในประเทศอินเดีย
จากการสำรวจของผู้บริหารองค์กรกว่า 500 แห่ง ในช่วงเดือนมีนาคม ถึง เมษายน 2560 ที่ผ่านมา พบว่าโดยเฉลี่ยแล้วบริษัทมีความต้องการการลงทุนที่เพิ่มขึ้น โดยที่บริษัทขนาดกลาง และขนาดใหญ่มีแผนที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศจีนและอินเดียมากกว่าในยุโรปตะวันตก โดยรายงานยังกล่าวต่ออีกว่าโดยปกติแล้วการลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่เข้าไป ลงทุนในประเทศยุโรปตะวันตกอย่างมาก โดยที่จีนและอินเดียมีส่วนแบ่งเพียงร้อยละ 2 ของ ทั้งหมดเท่านั้น
วิเคราะห์: การเข้ามาลงทุนที่เพิ่มขึ้นของบริษัทเอกชนสหรัฐอเมริกา ถือเป็นการเข้ามาเพิ่มบทบาทใน มิติเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ ซึ่งโดยปกติแล้วในอินเดียมีความขัดแย้งประเด็นจีน และอินเดียเป็น ทุนเดิมอยู่แล้ว การที่สหรัฐเข้ามาถือเป็นการคานอำนาจในภาคเศรษฐกิจของอินเดียมากขึ้น
Source: THE ECONOMIC TIMES. Jun 12, 2017
9. คณะกรรมการ GST แก้ไขอัตราภาษีในสินค้า 66 ประเภท
GST Council revises rates for 66 items
การปฏิรูปภาษีทางอ้อมของอินเดียโดยการปรับใช้ภาษีสินค้าและบริการ (GST) ซึ่งจะเริ่มใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 นี้ โดยคณะกรรมการ GST จะตัดอัตราภาษีสินค้าในครัวเรือนและสินค้าสำคัญอื่นๆ อีกทั้งมีการเพิ่มกฎเกณฑ์ข้อกำหนดต่างๆ ที่มีความเข้มงวดน้อยลง และอนุมัติกฎเกณฑ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบและทำบัญชี
การประชุมของคณะกรรมการ GSTเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คณะกรรมการได้แก้ไขอัตราภาษีของสินค้า 66 ประเภท จากการพบปะกับตัวแทนของสินค้าประเภทต่างๆ เช่น ของดอง ซอส ผลไม้แปรรูป อินซูลิน เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ กระเป๋านักเรียน สมุดภาพสี สมุดบันทึก เครื่องปริ้นต์ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ธูป และตั๋วภาพยนตร์
ร้านอาหาร โรงงาน และผู้ค้าที่มีผลประกอบการไม่เกิน 750,000 รูปี จะได้ประโยชน์จากการจัดอยู่ในส่วนที่มีอัตราภาษีลดลงร้อยละ 5, 2 และ 1 ตามลำดับจากเดิมที่กำหนดผลประกอบไว้ที่ 500,000 รูปี อัตราภาษีสินค้าและบริการที่ร้อยละ 5 จะมีผลบังคับใช้กับการจ้างงานภายนอกสำหรับการผลิตหรือใช้แรงงานในภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอและเพชรพลอย การย้อมหรือทำความสะอาดเส้นผม ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่เมือง Midnapore จะไม่ถูกเก็บภาษีใดๆ
Source: The Economic Times
Arun Jaitley รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการ GST กล่าวว่า “หลังจากพิจารณาข้อเสนอจากภาคส่วนต่างๆ สินค้า 66 ประเภทจะถูกอัตราภาษีลง มีการประชุมร่วมกับตัวแทนกว่า 133 คน ซึ่งถือเป็นการพิจารณาที่ยาวนาน” มีความหวังว่าจะมีการพยุงภาษีและราคาสินค้าซึ่งยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาอันจะเป็น การช่วยสร้างสมดุลจากผลของการเปลี่ยนแปลงนี้
Arun Jaitley ยังกล่าวอีกว่า “ค่าเฉลี่ยของอัตราภาษีทุกอัตราที่เราได้ตัดสินใจออกมานั้นมีอัตราที่ต่ำกว่าที่เราจ่ายทุกวันนี้เป็นอย่างมาก” ดังนั้น ผลกระทบจากการจัดเก็บภาษียังอยู่ในระดับที่สมดุล “แต่เราก็หวังว่าการพยุงภาษีและการตรวจสอบภาวะเงินเฟ้อจากผลของภาษีสินค้า และบริการจะช่วยรับประกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น”
สินค้าภายในครัวเรือนมากมายที่จัดอยู่ในสินค้า ประเภทอาหารและมีอัตราภาษีที่ร้อยละ 18 เช่น ของดอง ซอสมัสตาร์ด ซอสมะเขือเทศ ผลไม้แปรรูป และส่วนผสมของ แซนด์วิชจะถูกจัดอยู่ในอัตราภาษีที่ร้อยละ 12 ในภาษีสินค้า และบริการ
Source: The Economic Times
อัตราภาษีของสินค้าประเภทธูปได้ถูกลดลงที่ร้อยละ 5 จากเดิมที่ร้อยละ 12 กระเป๋านักเรียนจะมีอัตราภาษีที่ร้อยละ 18 แทนที่ร้อยละ 28 สมุดจดจะมีอัตราภาษีร้อยละ 12 จาก ร้อยละ 18 และสมุดภาพสีจะถูกยกเว้นจากที่เสนอไว้ที่ร้อยละ 12 เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ทำจากเหล็กจะมีอัตราภาษีที่ร้อยละ 12 แทนที่ร้อยละ 18 และเครื่องปรินเตอร์จะมีอัตราภาษีที่ร้อยละ 18 แทนที่ร้อยละ 28 อิฐเถ้าลอยและอิฐบล็อกจะมีอัตราภาษีที่ร้อยละ 12
ตั๋วภาพยนตร์ที่มีราคาต่ำกว่า 100 รูปีจะมีอัตราภาษีที่ร้อยละ 18 ในขณะที่ตั๋วภาพยนตร์ราคา 100 รูปีขึ้นไปจะมีอัตราภาษีที่ร้อยละ 28 Jaitley กล่าวว่า “ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากอัตราภาษีที่ลดลงนี้” Pratik Jain หัวหน้า PwC กล่าวว่า “ถือเป็นมาตรการที่ดีที่รัฐบาลจัดการโดยพิจารณาจากตัวแทนของภาคส่วนต่างๆ ในการกำหนดอัตราภาษีและมีการลดอัตราภาษีสินค้าเกือบร้อยละ 50 ของสินค้า”
สำหรับรถยนต์ไฮบริด Jaitley กล่าวว่า มีการตัดสินใจว่าคณะกรรมการจะพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวหลังจากที่รัฐท้องถิ่นได้มีการพิจารณารายงานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าวแล้ว
การสนับสนุน SMES และผู้ผลิตต่างๆ
หน่วยธุรกิจมากมายจะสามารถใช้ประโยชน์จากการจัดกลุ่มองค์ประกอบและการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ในครั้งนี้ Jaitley กล่าวว่า คณะกรรมการได้พยายามรักษาอัตราภาษีให้อยู่ในระดับสมดุล เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดเล็ก
Manesh Jaising จาก BMR & Associates LLP กล่าวว่า “ผู้ประกอบการรายย่อยมากมายควรได้รับประโยชน์จากภาษีสินค้าและบริการ จากการที่ไม่ต้องทำตามรายละเอียดปลีกย่อยของ GST ตลอดจนภาระทางการเงินอันเป็นผลจาก GST”
สำหรับแรงงานในภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอและเพชรพลอย ภาษีสินค้าและบริการจะมีอัตราที่ร้อยละ 5 จากเดิมที่ร้อยละ 18 ซึ่งเป็นอัตรามาตรฐานสำหรับการจัดจ้างงานภายนอก
การประชุมคณะกรรมกําร GST ครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในวันที่ 18 มิถุนํายน 2560 นี้
Jaitley กล่าวว่า คณะกรรมการ GST จะประชุมกันอีกครั้งในวันอาทิตย์หน้าเพื่อตัดสินใจขั้นสุดท้ายในประเด็นที่ตกค้าง อันประกอบด้วยการเก็บภาษีสลากกินแบ่งและระบบใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าระหว่างรัฐท้องถิ่น ตลอดจนจะมีการตัดสินใจในประเด็นที่เกี่ยวกับกลไกกฎหมายการค้ากำไรเกินควร (antiprofiteering law)
Hasmukh Adhia เลขานุการด้านภาษี กล่าวว่า ความพยายามดังกล่าวจะทำให้ร่างกฎหมายมีความสมบูรณ์มากขึ้นและจะมีการทำรายงานไปยังคณะกรรมการ GST ภาษีสินค้าและบริการซึ่งพยายามแทนที่ระบบภาษีหลายระดับทั้งในระดับรัฐท้องถิ่นและ รัฐส่วนกลางให้เป็นระบบภาษีระดับเดียวจะมีการบังคับใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ บางภาคส่วนยังต้องการให้มีการยืดเวลาออกไปก่อน แต่รัฐบาลไม่ต้องการยืดเวลาออกไปมากกว่านี้แล้ว
Jaitley กล่าวว่า “การไม่ทำตามกำหนดเวลาที่วางไว้หมายถึงความไม่พร้อม ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามกำหนดเวลาที่วางไว้” Adhia กล่าวว่า บางส่วนได้มีการวางแผนเพื่อกักตุนสินค้าดังนั้นจึงต้องมีการบังคับใช้ภาษีดังกล่าวตามเวลาที่กำหนดไว้
คณะกรรมการ GST ได้เห็นด้วยในการอนุญาติให้มีการเพิ่มระบบตรวจสอบในการลงทะเบียนผู้จ่ายภาษีในเครือข่ายภาษีสินค้าและบริการ เช่น การใช้ตั้งค่ารหัสเพียงครั้งเดียวและระบบตรวจสอบโดยธนาคาร เป็นต้น รัฐมนตรีพาณิชย์ของรัฐบาลท้องถิ่นบางรัฐยังต้องการให้มีการยืดเวลาในการบังคับใช้ภาษีดังกล่าว
Amit Mitra รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของรัฐ West Bengal กล่าวว่า “ผมได้เตือนว่าการบังคับใช้ภาษีดังกล่าวในวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 นี้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก ธุรกิจขนาดเล็กจะต้องกรอกข้อมูลซึ่งต้องใช้กระบวนการจากระบบคอมพิวเตอร์ในการเชื่อมต่อ มีการรายงานเอกสารที่ใช้ในการกรอกจะเผยแพร่ในสิ้นเดือนนี้ แต่ภาษีจะถูกใช้ในวันที่ 1 ของเดือนถัดไป”
ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเห็นถึงความยากลำบากในการบังคับใช้ภาษีดังกล่าวในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้
Harishanker Subramaniam จาก EY India กล่าวว่า “ยังมีการประชุมของคณะกรรมการ GST อีกสองครั้ง จึงเป็นเรื่องยากที่ภาษีดังกล่าวจะถูกใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 นี้” Jaising กล่าวว่า “การเลื่อนการประชุมในวันอาทิตย์หน้าเกี่ยวกับประเด็นใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ถือเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงสำหรับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับภาคอุตสาหกรรมในการเตรียมความพร้อมในวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 นี้”
บทวิเคราะห์: การตัดสินใจขั้นสุดท้ายของอัตราภาษีในแต่ละสินค้ายังไม่มีที่สิ้นสุดเนื่องจากคณะกรรมการ GST ยังต้องประชุมภาคส่วนอุตสาหกรรมต่างๆ ถึงอัตราภาษีที่ควรจะเป็น ดังนั้นนักธุรกิจยังคงต้องมีการติดตามถึงอัตราภาษีที่แน่นอนต่อไป ตลอดจนยังมีความกังวลถึงความพร้อมของอินเดียในการบังคับใช้ภาษีสินค้าและบริการในวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 นี้ แต่คณะกรรมการยังต้องมีการประชุมกับภาคส่วนอุตสาหกรรมอีกอย่างน้อยสองครั้ง เพื่อสรุปอัตราภาษีที่แน่นอนในสินค้าแต่ละชนิด
Source: THE ECONOMIC TIMES. Jun 12, 2017
10. รัฐบาลอินเดียเผยจะมีการลงทุน FDI ของ Amazon ในธุรกิจค้าปลีกอาหารในเร็ว ๆ นี้
Government to soon clear Amazon’s FDI in food retail, says Badal
รัฐบาลอินเดียเตรียมที่จะดำเนินงานอย่างเร่งด่วนในการผ่านการลงทุนของบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกาออย่าง Amazon ที่จะเข้ามาลงทุนในกลุ่มธุรกิจอาหารที่มีมูลค่าสูงถึง 500 ล้านเหรียญ ซึ่งข่าวดังกล่าวให้การสัมภาษณ์โดยรัฐมนตรีว่าการการแปรรูปอาหาร นาง Harsimrat Kaur Badal
Source: Indiaretailing
ทั้งนี้การลงทุนดังกล่าวมีความล่าช้าบางประการอันเป็นผลมาจากการยกเลิกนโยบาย และยกเลิก FIPB ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่ทำหน้าที่ในการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ส่งผลให้การพิจารณาการลงทุนของ Amazon มีปัญหา ทั้งนี้จากรายงานพบว่าเมื่อมีการยกเลิกคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Investment Promotion Board: FIPB) ข้อเสนอของ Amazon จะถูกตรวจสอบโดยกรมนโยบายและส่งเสริมอุตสาหกรรม (Department of Industrial Policy and Promotion :DIPP) ภายใต้กระทรวงพาณิชย์
ทั้งนี้ นาย Badal กล่าวถึงเหตุผลที่มีการส่งเสริมเกี่ยวกับการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหารที่เพิ่มขึ้นคือ ความต้องการในการลดชั่วโมงในการผลิต เพื่อลดความเสียหายขอผลิตภัณฑ์ที่มีอายุไม่ยาวนานนัก รวมถึงการขนส่งด้วย แม้ว่าอินเดียจะเป็นประเทศผู้ผลิตผักและ ผลไม้รายใหญ่ที่สุดของโลก แต่ระดับการแปรรูปก็ต่ำมากคิดเป็นเพียงร้อยละ 10 ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ซึ่งการชักจูงการลงทุนจากต่างประเทศในส่วนของอุตสาหกรรมการแปรรูปจะช่วยให้อินเดียมีเทคโนโลยีที่ดีมากยิ่งขึ้นในการแปรรูปสินค้าอาหารและสินค้าเกษตร ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า มีตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้น รวมถึงตัวสินค้าด้วย
รัฐบาลได้รับข้อเสนอด้านการลงทุนจาก บริษัท สามแห่ง ได้แก่ Amazon Grofers และ Big Basket คิดเป็นมูลค่ารวมกันกว่า 695 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับการขายปลีกผลิตภัณฑ์อาหารในขณะที่บริษัทด้านการค้าปลีกที่มีฐานอยู่ที่สหรัฐอเมริกาอย่าง Amazon ซึ่งถือเป็นบริษัทที่ทำการค้าออนไลน์ติดอันดับหนึ่งของประเทศอินเดีย Grofers และBig Basket ก็ถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่ค้าขายของชำออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพสูง ทั้งนี้ Amazon ได้เสนอเงินลงทุนเพื่อการค้าสินค้าอาหารคิดเป็นมูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ทั้งนี้รัฐบาลเมื่อปีที่ผ่านมาอนุญาตให้มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ร้อยละ 100 ผ่านเส้นทางการอนุมัติเพื่อการค้าซึ่งรวมถึงผ่านอีคอมเมิร์ซสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารที่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรมและผลิตในอินเดีย โดยในช่วงปี 2016-17 (เมษายน - ธันวาคม 2559) ภาคการแปรรูปอาหารในประเทศได้รับเงินลงทุนโดยตรงจำนวน 663.23 ล้านเหรียญสหรัฐ
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่าอินเดียกำลังจะมีการยกเครื่องระบบการแปรรูป สินค้าอาหารและสินค้าเกษตรขนาดใหญ่ ผ่านการลงทุนของต่างประเทศ โดยนโยบายนี้สร้างผลกระทบโดยตรงต่อประเทศด้านเกษตรกรรม รวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งถือเป็นคู่แข่งสำคัญของอินเดียในการค้าสินค้าเกษตร ในขณะเดียวกันนโยบายดังกล่าวยังถือเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนชาวไทยที่มีเทคโนโลยีในการแปรรูปอาหารที่ดีอีกด้วย
ข้อเสนอแนะ: ควรมีการจัดทำและแสดงให้เห็นถึงสิทธิประโยชน์ที่ผู้ลงทุนจะได้รับจากนโยบายที่รัฐบาลอินเดียส่งเสริมอยู่ อาทิการให้ FDI ร้อยละ 100 ต่อการลงทุนในหมวดดังกล่าว ขนาดของสินค้าเกษตรที่มีขนาดใหญ่มากในประเทศอินเดีย ซึ่งสามารป้อนเข้าสู่โรงงานได้อย่างต่อเนื่อง เป็นต้น
Source: Indiaretailing. 13 June, 2017
11. ธนาคารกลางแห่งอินเดียจัดทำธนบัตรมูลค่า 500 รูปี รูปแบบใหม่
RBI introduces new Rs 500 currency. Here’s what is different in new notes
ธนาคารกลางแห่งอินเดีย (RBI) ได้ประกาศเปิดตัวธนบัตรมูลค่า 500 รูปีรูปแบบใหม่ โดยธนบัตรรูปแบบใหม่นี้จะมีความแตกต่างจากเดิมคือมีการใส่พยัญชนะ “A” ไว้บนธนบัตร และลายเซ็นของผู้ว่าการธนาคารกลางจะอยู่ที่ด้านตรงข้าม
Source: The Economic Times
RBI แถลงว่า “จากการผลิตธนบัตรมูลค่า 500 รูปีใน รูปมหาตมะ คานธี อย่างต่อเนื่องธนบัตรรูปแบบใหม่นี้จะมีการใส่พยัญชนะ “A” ในส่วนของแผงตัวเลขพร้อมลายเซ็นของ Dr. Urjit R. Patel ผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งอินเดีย ประกอบกับเลขปีที่พิมพ์ในปี “2017” จะอยู่ในด้านตรงข้าม” โดยรูปแบบของธนบัตรใหม่นี้มีความคล้ายคลึงกับธนบัตรมูลค่า 500 รูปีที่มีรูปมหาตมะ คานธี รูปแบบเดิม แต่ธนบัตรมูลค่า 500 รูปีรูปแบบเดิมที่ใช้ในปัจจุบันมีการใส่พยัญชนะ “E”
ธนาคารกลางได้ใช้นโยบายยกเลิกธนบัตรมูลค่า 500 และ 1,000 รูปี เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนปีที่ผ่านมา หลังจากนั้นธนาคารกลางฯ ได้จัดทำธนบัตรมูลค่า 500 และ 2,000 รูปีรูปแบบใหม่
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางฯ ได้ระบุว่า กว่าร้อยละ 83 ของเงินสดได้ถูกแจกจ่ายเข้าสู่ระบบการเงินแล้ว และปฏิเสธถึงปัญหาการขาดแคลนเงินสดในระบบเศรษฐกิจ
บทวิเคราะห์: ขณะนี้สภาพคล่องทางการเงินในระบบเศรษฐกิจถือได้ว่าเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว หลังจากที่ประสบกับปัญหาการขาดแคลนเงินสดจากนโยบายยกเลิกธนบัตรเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ทำให้ทางธนาคารกลางสามารถนำเสนอรูปแบบธนบัตรใหม่ออกมาได้โดยไม่มีปัญหา
Source: THE ECONOMIC TIMES. Jun 13, 2017