สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์: 22 - 27 กรกฎาคม 2560 (อินเดีย)
1. อินเดียและจีนประสานความร่วมมือกันในการผลักดันให้ประเทศฝั่งตะวันตกลดการสนับสนุนและช่วยเหลือเกษตรกร
India, China seek reduction in farm subsidies by West
Source: The Economic Times
นิวเดลี: แม้ว่าในตอนนี้สื่อของรัฐบาลจีนจะกำลังหันมาให้ข่าวเกี่ยวประเทศอินเดียอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพยายามโจมตีรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของอินเดีย นาง Sushma Swaraj ในประเด็นเกี่ยวกับการปิดถนนในเขตพื้นที่ Doklam ซึ่งเป็นประเด็นที่เกิดการถกเถียงขึ้นในรัฐสภาของประเทศอินเดีย อย่างไรก็ตามในอีกทางหนึ่ง จีนและอินเดียกลับกำลังประสานความร่วมมือกันในองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อให้กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐอเมริกาและประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป ตัดลดการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือสินค้าทางการเกษตร ซึ่งถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่งต่อการส่งออกสินค้าทางการเกษตรของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและประเทศยากจนทั่วโลก
โดยเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ทั้งจีนและอินเดียต่างมีความพยายามอย่างมากในการผลักดันข้อเสนอร่วมกันในการฟื้นฟูโต๊ะเจรจาที่มีความเกี่ยวข้องกับกฎระเบียบด้านการค้าสินค้าทางการเกษตรให้มีความสมดุลเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในการประชุมระดับรัฐมนตรี ในช่วงเดือนธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา โดยในช่วงวันพฤหัสที่ 20 กรกฎาคม 2560 ในการจัดประชุม ณ เมืองเจนีวาที่ผ่านมาอินเดียได้มีการเสนอข้อเสนอแนะและกล่าวอ้างว่าข้อตกลงของ WTO ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรในฉบับปัจจุบัน สร้างความไม่เท่าเทียมทางการค้าที่สำคัญ เนื่องมาจากการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่ม ประเทศพัฒนาแล้วในการเข้าไปสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือเกษตรกรภายในประเทศ ฉะนั้น ข้อเสนอของอินเดียคือการปรับปรุงการให้ความช่วยเหลือดังกล่าว เพื่อให้เกิดการเปิดตลาดระดับภายในประเทศมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ อินโดนีเซีย โบลิเวีย ฟิลิปปินส์ ตุรกี และ ยูกันดาได้ให้การสนับสนุนข้อเสนอแนะในการปฏิรูปดังกล่าวของจีนและอินเดีย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความไม่เท่าเทียม ที่ให้สิทธิประโยชน์แก่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้มากจนเกินไป ในขณะที่จีนเองปัจจุบันได้มีส่วนร่วมอย่างมากกับกลุ่มประเทศ G-33 ซึ่งประกอบไปด้วยอินเดีย และมีประเทศอินโดนีเซียเป็นผู้นำอยู่ในปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายสำคัญที่ต้องการบรรลุคือการหาทางแก้ไขปัญหาการใช้จ่ายเงินของภาครัฐในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในการจัดหาและดำรงรักษาการถือครองหุ้นส่วนในบริษัทสินค้าทางการเกษตร ตัวอย่างเช่นกรณี ของ Food Corporation ของประเทศอินเดีย
ความน่าสนใจก็คือดูเหมือนว่าประเด็นทางการค้าจะมีความแตกต่างอย่างชัดเจนกับประเด็นปัญหาทางด้านพรมแดน เพราะดูเหมือนว่าประเทศจีนและอินเดียดูจะทำงานร่วมกันไปได้อย่างราบรื่นในกรณีของ WTO ความน่าสนใจกลับมาอยู่ที่การตัดสินใจของปากีสถาน ที่ดูจะเป็นพันธมิตรที่ดีของประเทศจีน แต่ในเวทีการค้าระหว่างประเทศเช่นนี้ ปากีสถานกับเลือกตัดสินใจที่อยู่ข้างกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป
บทวิเคราะห์: ดูเหมือนว่าสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอินเดียและจีนจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด โดยเฉพาะในการเจรจาทางด้านเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่าผลประโยชน์ร่วมกันทางการค้าส่งเสริมให้ทั้งสองประเทศทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Source: THE ECONOMIC TIMES. July 22, 2017
2. Arvind Panagariya กล่าวว่า เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตร้อยละ 7.5 ในปีงบประมาณนี้
India likely to clock 7.5% growth this fiscal: Arvind Panagariya
นิวยอร์ก: Arvind Panagariya รองประธานของ NITI Aayog กล่าวว่า มีแนวโน้มที่การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียในปีงบประมาณประมาณปัจจุบันจะอยู่ที่ร้อยละ 7.5 แม้ว่าเขาจะยอมรับว่าการสร้าง “งานที่ดี” ของอินเดียยังคงเป็นความท้าทายที่ใหญ่หลวง Panagariya กล่าวว่า “ผมคาดหวังว่าปีงบประมาณปัจจุบันซึ่งก็คือปี 2017-2018 เราจะกลับมามีการเติบโตอย่างน้อยร้อยละ 7.5 และ ในปลายไตรมาสของปี เราจะเริ่มมีการเติบโตที่แตะร้อยละ 8 แต่ค่าเฉลี่ยของการเติบโตสำหรับปีนี้จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 7.5”
Source: The Economic Times
Panagariya ได้น าเสนอเกี่ย วกับ India’s Voluntary National Review Report on Implementation of Sustainable Development Goals ที่ the UN High Level Political Forum on Sustainable Development 2017 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าการสร้างในอินเดีย โดยเฉพาะในทักษะระดับล่างและระดับกลางยังคงเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่และอาจจะใหญ่กว่าการทำให้เศรษฐกิจเติบโตให้ถึงร้อยละ 8
เขายังกล่าวว่า เป็นเรื่องโชคร้ายที่ภาคส่วนที่กำลังดำเนินไปด้วยดีอย่าง ภาคยานยนต์ ภาคชิ้นส่วนยานยนต์ สินค้าทางวิศวกรรม โรงกลั่นปิโตรเลียม ภาคเภสัชกรรม และการบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ ภาคส่วนเหล่านี้ยังไม่มีแรงงานหรือการจ้างงานในจำนวนที่มากพอ Panagariya ยังกล่าวอีกว่า เขาไม่เห็นด้วยกับการจัดแบ่งในบางภาคส่วนของสื่อต่างๆ ที่ระบุว่าการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียคือการเติบโตที่ไร้งาน “โดยส่วนตัวผมไม่เชื่อว่านั่นเป็นความจริง เราไม่สามารถเติบโตถึงร้อยละ 7.5 โดยไม่มีการเติบโตของงานหรือการลงทุน การเติบโตทั้งหลายไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากประสิทธิภาพการผลิตเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้น”
อย่างไรก็ตาม Panagariya ยอมรับว่า การสร้างงานที่ดีที่เหมาะสมการค้าแรงนั้นยังมีไม่เพียงพอ “งานกำลังถูกสร้างอยู่เรื่อยๆ แต่เป็นที่แน่นอนว่าการสร้างงานที่ดีที่เหมาะสมกับค่าแรงยังไม่ประสบความสำเร็จ และนั่นคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ความท้าทายดังกล่าวจะถูกตอบรับก็ด้วยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของอุตสาหกรรมที่มุ่งไปสู่ภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานจำนวนมากอย่างเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า และอาหารแปรรูป”
เขายังชี้ให้เห็นว่าจีนซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของสินค้าประเภทดังกล่าว กำลังสร้างงานที่มีค่าแรงในระดับสูง และในขณะเดียวกันก็กำลังออกจากภาคส่วนที่ใช้แรงงานจำนวนมากเช่นกัน “ดังนั้นจึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับอินเดียในการขยับเข้าสู่ภาคส่วนเหล่านี้แทน”
จากการที่รัฐบาลอินเดียได้มีการปฏิรูปครั้งใหญ่จากการบังคับใช้ภาษีสินค้าและบริการ (GST) Panagariya กล่าวว่า หลายฝ่ายอาจเห็นว่าอินเดียอาจจะประสบปัญหาในระยะแรกหลังจากที่มีการปฏิรูปทางการคลังดังกล่าว แต่เขากลับเห็นว่าการปฏิรูปดังกล่าวจะไม่ส่งผลเสียต่อการเดินหน้าทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม เขาเสริมว่า ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าอาจจะมีปัญหาในระยะแรกของการบังคับใช้กฎหมายภาษีสินค้าและบริการ เพราะหากมีการประกาศใช้ระบบใหม่ในประเทศขนาดเล็กประชาชนในประเทศนั้นก็ยังต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ระบบใหม่ “ความใหญ่ของประเทศส่งผลให้มีความซับซ้อนมีมากขึ้น และการที่ต้องจัดการกับรัฐ ท้องถิ่นที่แตกต่างกันถึง 29 รัฐ ที่มีความแตกต่างของรายได้และศักยภาพในการบังคับใช้ในแต่ละรัฐก็ยิ่งทำให้มีความซับซ้อนมากขึ้นไปอีก ผมคิดว่าความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวควรจะใช้เวลาในระยะสั้นที่สุด เราควรจะได้เห็นผลลัพธ์ที่ดีภายในหนึ่งปีและในระยะยาวด้วยเช่นกัน ระบบภาษีดังกล่าวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจมากขึ้น”
ในเวทีนำเสนอที่ UN เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Panagariya ได้กล่าวว่า GDP ของอินเดียสามารถเพิ่มสูงขึ้นถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอีก 15 ปีข้างหน้า หากมีการรักษาสมมติฐานดังกล่าว เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตร้อยละ 8 ต่อปี
บทวิเคราะห์: รายงานข่าวดังกล่าวตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของอินเดียที่มีการคาดหมายว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีงบประมาณนี้จะอยู่ที่ร้อยละ 7.5 ตลอดจนมีการวางเป้าหมายให้อินเดียเติบโตร้อยละ 8 ต่อปี การมุ่งหวังให้อินเดียมีการเติบโตร้อยละ 8 หมายถึงการสนับสนุนให้มีการลงทุน การสร้างงาน และการเคลื่อนย้ายเศรษฐกิจเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น กระบวนการเหล่านี้จึงเป็นที่น่าจับตามองสำหรับนักธุรกิจที่มองหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะในอินเดียที่มีการเดินหน้าทางเศรษฐกิจอยู่เสมอ
Source: THE ECONOMIC TIMES. Jul 23, 2017
3. นายกรัฐมนตรี Modi และ Abe เริ่มต้นโครงการรถไฟหัวกระสุนในเดือนกันยายน 2560 นี้
Modi, Abe to kick off bullet train project in Sept
Souce: The Hindu: Business Line
โครงการรถไฟความเร็วสูงมุมไบ – อาเมดาบัด (The foundations for the much-touted Mumbai-Ahmedabad High Speed Rail : MAHSR) หรือ Bullet-train project ได้มีการใช้เทคโนโลยี ' Shinkansen ' ของญี่ปุ่นซึ่งจะมีการวางแผนดำเนินการในระหว่างการเยือนของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น Shinzo Abe ในระหว่างวันที่ 12-14 กันยายน 2560 นี้ Abe และ นายกรัฐมนตรี Narendra Modi จะร่วมกันเปิดโครงการด้วยการวางศิลาฤกษ์ และพิธีลงดินคาดว่าจะมีขึ้นใน Ahmedabad หรือ Gandhinagar (Gujarat), แหล่งที่มา BusinessLine
ทั้งนี้อาจมีการลงนามสัญญาเงินกู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายในระหว่างการเยือน ซึ่งเป็นเงินกู้ยืมทางการค้ามูลค่า 12 พันล้านเหรียญสหรัฐโดยมีค่าผ่อนจ่ายร้อยละ 0.1 เป็นระยะเวลา 50 ปี รวมถึงการเลื่อนการชำระหนี้ระยะเวลา 15 ปี ตามแหล่งที่มาทางการทูต (Diplomatic source) สำหรับการออกแบบรายละเอียดของโครงการ ญี่ปุ่นได้แต่งตั้งกลุ่มที่ปรึกษา นำโดยที่ปรึกษาด้านการขนส่งแห่งประเทศญี่ปุ่น บริษัท Nippon Koie Group และ Oriental Structures
ในส่วนของการศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกันนั้น ได้เริ่มดำเนินการในปีพ. ศ. 2558 และ หลังจากนั้นได้มีการศึกษาเพื่อติดตามมาตรฐานและข้อกำหนดสำหรับโครงการ ปัจจุบันมีโครงการรถไฟความเร็วสูงมุมไบ – อาเมดาบัด (MAHSR) เพียงแห่งเดียวที่ได้มีการวางแผนไว้ การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นโดย Modi และ Abe ในเดือนธันวาคมปี 2558 ระหว่างการเยือนครั้งล่าสุดของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นที่อินเดีย
มีการตัดสินใจแล้วว่าการก่อสร้างสะพานรถไฟความเร็ว 500 กม. ระหว่างมุมไบและอาเมดาบัดจะเริ่มในปีพ. ศ. 2561 และมีการดำเนินการภายในปี พ.ศ. 2566 แม้ว่าการดำเนินการของ HSR คาดว่าจะเริ่มในปีหน้า แต่ก็จะมีการเปิดตัวในปีนี้ในระหว่างการเยือน Abe เพื่อการประชุมสุดยอดประจำปีของอินเดีย - ญี่ปุ่นที่ถูกจัดขึ้นสลับกัน แหล่งข่าวกล่าวว่าอินเดียมีความกระตือรือร้นที่จะร่วมลงทุนกับบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งจะนำไปสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีและผลิตชิ้นส่วนบางอย่างในอินเดียให้สอดคล้องกับรูปแบบการผลิตของอินเดีย
อินเดียได้จัดตั้ง National High Speed Rail Corporation Ltd ซึ่งมีกรรมการผู้จัดการและเจ้าหน้าที่อื่น ๆ อาจได้รับการแต่งตั้งในเร็ว ๆ นี้ รัฐบาลมีแผนที่จะสร้าง HSR ในนิวเดลี โกลกาตา และเจนไนอีกด้วย โดยการใช้เทคโนโลยี 'Shinkansen' ซึ่งแม้ว่าจะมีราคาสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีของจีน ในระหว่างการเยือนประเทศญี่ปุ่นของนายกรัฐมนตรี Modi ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วยิ่งไปกว่านั้น Modi ได้มีโอกาสเดินทางกับ Abe โดยรถไฟหัวกระสุนของญี่ปุ่น จากโตเกียวไปยังโกเบ อีกทั้งยังได้ไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตรถไฟหัวกระสุน ซึ่งมีการผลิตหัวรถจักร Shinkansen ด้วย
Source: THE HINDU: BUSINESS LINE. JULY 25, 2017