สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์: 19-25 สิงหาคม 2560 (อินเดีย)
1. บริษัทฮอนด้าเตรียมลงทุนในโครงการผลิตรถยนต์กว่า 1.577 หมื่นล้านรูปี
Honda Cars gets green nod for Rs 1,577-cr expansion project
นิวเดลี: บริษัท ฮอนด้าออโตเมชั่นส์ (Honda Cars) ได้รับการอนุมัติการตรวจคุณภาพ ทางด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการขยายโรงงานขนาด 1.577 หมื่นล้านรูปในพื้นที่ Tapukara รัฐ Rajasthan ทั้งนี้ Honda Cars India Ltd (HCIL) ต้องการขยายกำลังการผลิตที่โรงงาน Tapukara ในเขต Alwar พร้อมกับการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์หลายแบบเพื่อลดต้นทุนทางการผลิตภายในประเทศอินเดีย
Source: First Post
ในการนี้ บริษัทได้จัดทำข้อเสนอ อนุมัติเพื่อขยายขนาดของโรงงานไปยังรัฐบาลอินเดีย และได้รับการตรวจสอบโดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญเมื่อเดือนก่อน ทั้งนี้ ตามข้อเสนอแนะของกระทรวงสิ่งแวดล้อมได้ อนุมัติให้บริษัท ฮอนด้า สามารถดำเนิน โครงการดังกล่าวได้ ทั้งนี้เนื่องจากบริษัทได้มี การวางแผนมาตรการทางด้านสิ่งแวดล้อมที่มี ความปลอดภัย และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลอินเดีย
สำหรับในส่วนของแผนการขยายฐานการผลิตนั้น ข้อเสนอดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่ม การหลอมอลูมิเนียมจาก 20,000 ตันต่อปี (TPA) เป็น 30,000 ตันต่อปีการจัดเก็บโพรเพนจาก 50 ตันเป็น 100 ตันและการสำรองไฟจาก 4.9 เมกะวัตต์เป็น 37.3 เมกะวัตต์ที่โรงงาน Tapukara เดิม ทั้งนี้ทางบริษัท ฮอนด้าได้มีการระบุถึงพื้นที่ที่บริษัทมีกว่า 17.68 แสนตารางเมตร ซึ่งเพียงพอ ต่อการรองรับการขยายตัวของโรงงานดังกล่าว ทั้งนี้ยังมีการเพิ่มเงินลงทุนไปถึง1.577หมื่นล้านรูปี ด้วย
ทั้งนี้การอนุมัติดังกล่าวอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ บริษัท ต้องพัฒนาระบบป้องกันผลประทบต่อ สิ่งแวดล้อมซึ่งกินพื้นที่ร้อยละ 33 ของพื้นที่ทั้งหมด เพื่อลดผลกระทบจากการปล่อยมลพิษและให้ แน่ใจว่าโรงงานจะดำเนินการตามแนวคิดการลดปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วจะนำมารีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ได้
นอกจาก Tapukara แล้ว ฮอนด้ายังมีโรงงานผลิตอยู่ใน Greater Noida ในรัฐ Uttar Pradesh ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกันอยู่ที่เกือบ 2.4 แสนหน่วยต่อปีโดยในปีนี้ยอดขายของฮอนด้า เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้เฉพาะเพียงยอดขายในประเทศเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 21 แตะที่ระดับ 55,647 หน่วยในช่วงเดือนเมษายน - กรกฎาคมของยอดเดิมที่ 45,880 หน่วยในช่วงเดียวกันของปีก่อน
บทวิเคราะห์: จากข้อมูลข่าวจะเห็นได้ว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ในอินเดียมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทรถยนต์อย่าง ฮอนด้า ต้องขยายฐานการผลิตเพื่อรองรับการ เติบโตดังกล่าว ทั้งนี้การดำเนินการนี้จะส่งผลต่อภาคการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยใน อนาคตหากอินเดียผันมาจับอุตสาหกรรมดังกล่าวแข่งขันกับไทย
ข้อเสนอแนะ: ควรศึกษาถึงแนวโน้มดังกล่าว เพื่อวางแผนในการปรับปรุงระบบอุตสาหกรรมภายในประเทศ เช่นการผันตัวเองไปสู่ระบบการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีการใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น เป็นต้น อย่างไรก็ตามการเติบโตของการค้ารถยนต์ในอินเดีย ยังถือเป็นโอกาสใหม่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยด้วย โดยเฉพาะช่วงที่ชิ้นส่วนยานยนต์ ขาดแคลนในอินเดีย
Source: THE ECONOMIC TIMES. Aug 20, 2017
2. อุตสาหกรรมส่งออกเหล็กกล้าเพิ่มขึ้น 64% ในเดือนกรกฎาคม 2560 โดยนำเข้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน
Finished steel export surges 64 pc in Jul, import too picks up
นิวเดลี: การส่งออกเหล็กกล้าเพิ่มขึ้น 64.2% ไปถึง 0.770 ล้านตัน (mt) ในเดือนกรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา เทียบกับ 0.469 mt เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว เช่นเดียวกับการนำเข้าที่สูงขึ้นเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้น 42.2% ที่ 0.798 mt เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะที่เดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 0.561 mt
Source: The Economic Times
รายงานจาก Joint Plant Committee (JPC) กล่าวว่า ระหว่างเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม ปี2560 การส่งออกเหล็กกล้าโดยรวมของอินเดียสูงขึ้น 65.5% ที่ 2.807 mt เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อยู่ ที่ 1.696 mt ในขณะที่การนำเข้าเหล็กกล้าในช่วงเดียวกันอยู่ที่ 2.505 mt ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 2.393 mt หรือ 4.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
การอุปโภคเหล็กกล้าในเดือนกรกฎาคม 2560 ยังเพิ่มขึ้น 3.7% เป็น 6.905 mt จาก 6.660 mt เมื่อ เทียบกับเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามการอุปโภคโดยรวมลดลง 4.2% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา
ระหว่างเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม 2560 การอุปโภคเหล็กกล้าในอินเดียเพิ่มขึ้น 4.4% จาก 26.736 mt เป็น 27.911 mt เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งมีผลกระทบมาจากการผลิตและการนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้น
ขณะนี้อินเดียเป็นผู้ผลิตเหล็กดิบใหญ่เป็นอันดับสามรองจากจีนและญี่ปุ่น และกำลังเร่งแซงหน้าญี่ปุ่น อยู่ ส่วน JPC เป็นหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงเหล็กอินเดีย จึงเป็นสถาบันเดียวที่เก็บข้อมูล เกี่ยวกับอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าในประเทศ
ข้อเสนอแนะ: เนื่องมาจากปริมาณการนำเข้า ส่งออก และอุปโภคเหล็กกล้าที่เพิ่มขึ้นของ อินเดีย จึงน่าจะเป็นโอกาสดีที่อุตสาหกรรมเหล็กกล้าของไทยจะติดต่อส่งออกเหล็กมาที่อินเดีย ในช่วงนี้
Source: THE ECONOMIC TIMES. Aug 20, 2017
3. ทางหลวงแห่งชาติในพื้นที่รัฐ Mizoram ระยะทางกว่า 352 กิโลเมตรสู่ประเทศเมียนมาร์ กำลังจะเป็นเส้นทางการค้าใหม่ของอินเดีย
'352 km Mizoram NH to boost ties with Myanmar; provide new trade route'
นิวเดลี: อินเดียมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางภูมิศาสตร์เชิงกลยุทธ์ของอินเดีย และเปลี่ยนภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ผ่านการลงทุนในการ ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในรัฐ Mizoram ขนาดการลงทุนกว่า 6.167 หมื่นล้านรูปีซึ่งจะช่วยเพิ่ม ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับประเทศเมียนมาร์และยังสร้างเส้นทางการค้าสำรองสำหรับผู้ค้า แผ่นดินใหญ่ของอินเดียที่ทำธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
Source: The Northeast Today
โครงการทางหลวง Aizawl Tuipang เป็นโครงการพัฒนาถนนราย ใหญ่ที่ช่วยปรับปรุงการเชื่อมต่อทาง เศรษฐกิจระหว่างเมียนมาร์และอินเดียซึ่ง จะช่วยปรับปรุงการเข้าถึงตลาดอาเซียน เพื่อการแปรรูปสินค้าการเกษตร พืชสวน นมและการประมง นอกเหนือจาก อุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่อิงกับตลาด วัตถุดิบ และข้อได้เปรียบด้านการแข่งขัน โดยโครงการนี้จะได้รับทุนสนับสนุน 4.487 หมื่นล้านรูปี จากสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) โดยข้อตกลงชุดแรกจำนวนเงินกว่า 3.690 หมื่นล้านรูปีนั้นถูกลงนามในเดือนมีนาคม 2017
ในการนี้บริษัท พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางหลวงแห่งชาติ(National Highway Infrastructure Development Corporation) กำลังอยู่ในการดำเนินการเพื่อเวนคืนที่ดินเพื่อใช้ พัฒนาเส้นทางหลวงดังกล่าวในอนาคต เนื่องจากเอกสารการประกวดราคาสำหรับการอัพเกรด ถนนดังกล่าวนั้นได้รับการเตรียมพร้อมและส่งให้ JICA เพื่อขออนุมัติแล้ว วึ่งคาดว่าจะผ่านการ อนุมัติในเร็ววันนี้ โดยการประมูลจะมีขึ้นในเดือนกันยายนและสัญญาที่ได้รับในเดือนธันวาคม ทั้งนี้้ ทุนของงานโยธาถูกตั้งไว้ที่ 4.164 หมื่นล้านรูปีโดยจำนวนนี้ 5.2045 พันล้านรูปีถูกจัดสรรเพื่อซื้อที่ดิน คาดการณ์ว่าหากโครงการนี้เป็นจริงจะช่วยส่งเสริมให้อินเดียสามารถเข้าถึงตลาดของ อาเซียนได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมไม้และไม้ไผ่ เป็นต้น
เมียนมาร์ถือเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่มีพรมแดนติดต่อกับอินเดียเป็นระยะทางยาว กว่า 1.643 กิโลเมตรถูกคาดหมายให้ทำหน้าที่มีทางเชื่อมโยงไปยังประเทศสมาชิกอื่นๆในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยรัฐที่มีพรมแดนติดกับเมียนมาร์นั้นประกอบด้วย Arunachal Pradesh (520 กิโลเมตร) Manipur (398 กิโลเมตร) Nagaland (215 กิโลเมตร) และ Mizoram (510 กิโลเมตร)
ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจของกระทรวงคมนาคมและทางหลวงกล่าวว่าโครงการนี้มี ความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการเชื่อมต่ออินเดีย และเมียนมาร์ ทั้งนี้คาดกว่าการประเมินผลกระทบ ทางด้านสิ่งแวดล้อมจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ก่อนที่จะมีการเสนอราคาประมูล หนึ่งใน ประเด็นสำคัญคือความยากลำบากในการก่อสร้างเนื่องจากระยะทางจำนวนมากอยู่ในพื้นที่หุบเขา สูงทำให้การก่อสร้างในบริเวณดังกล่าวมีมูลค่าสูงถึง100-130 ล้านรูปีต่อกิโลเมตร ในขณะที่ใน บริเวณพื้นที่ราบมีราคาเพียง 39.5 ล้านรูปีต่อกิโลเมตรเท่านั้น
ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญมองว่าโครงการนี้เป็นความมุ่งมั่นใหม่ที่สำคัญของอินเดีย ในการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเชื่อมโยงกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่ง ถนนหลายแห่งมีสภาพทรุดโทรมเป็นเวลาหลายทศวรรษ ฉะนั้นแล้ว ทางหลวง Aizwal-Tuipang จะเป็นความสำเร็จสำคัญ หากสามารถดำเนินการภายในกรอบเวลาที่กำหนดได้ สิ่งสำคัญคือถนน สายนี้จะเป็นถนนที่มีทุกสภาพอากาศ ปัจจุบันอินเดียมีถนนมิตรภาพที่เชื่อมโยงเข้ากับประเทศ เมียนมาร์ในพื้นที่รัฐ Manipur แต่หลายส่วนของถนนดังกล่าวยังคงไม่สามารถใช้การได้ดีเท่าที่ควร
โครงการนี้จะมุ่งสู่การสร้างความแข็งแกร่งทางด้านความร่วมมือในประเด็นทางด้าน เศรษฐกิจ ภายใต้กรอบ BIMSTEC อันจะช่วยเสริมสร้างความชุมชนและความแข็งแกร่งทาง ยุทธศาสตร์ของอินเดียที่มีต่อเพื่อนบ้าน ที่ส าคัญโครงการนี้จะช่วยในการติดต่อธุรกิจไปยังพื้นที่หลัก ๆ ของ Mizoram และรัฐอื่น ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการพัฒนา ทางเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาค
บทวิเคราะห์: จากข้อมูลข่าวจะเห็นได้ว่าแนวโน้มการเชื่อมโยงทางด้านเศรษฐกิจและการ คมนาคมระหว่างอินเดียกับเมียนมาร์จะมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลในด้านพวกต่อการ พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งไทยเองสามารถใช้ช่องทางดังกล่าวในการส่งออกและนำเข้า สินค้าไปยังอินเดียได้เช่นเดียวกัน เส้นทางเชื่อมโยงดังกล่าวนอกจากจะเชื่อมอินเดียกับเมียนมาร์ แล้ว ยังเชื่อมต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ากับเอเชียใต้ทางบกด้วย
ข้อเสนอแนะ: หากโครงการนี้ประสบความสำเร็จในการดำเนินการ จนสามารถเชื่อมโยง สองภูมิภาคเข้าด้วยกันได้แล้ว แน่นอนว่าจะถือเป็นโอกาสทองสำคัญของทั้งนักลงทุนชาวไทยที่ สนใจไปวางฐานการผลิตในอินเดีย รวมถึงกลุ่มผู้ส่งออกที่กำลังมองหาตลาดใหม่ ซึ่งอินเดียถือเป็น หนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพสูงและมีกำลังซื้อมาก
Source: THE ECONOMIC TIMES. Aug 21, 2017
4. ธนาคารพาณิชย์จะต้องจ่าย IGST 3% สำหรับการนำเข้าทองคำ
Banks to pay 3% IGST on gold imports
ธนาคารพาณิชย์ที่นำเข้าทองคำและโลหะมีค่าจะต้องเสียภาษีร้อยละ 3 ตามเงื่อนไขระบบ GST ใหม่ สำหรับที่ผ่านมานั้นอัญมณีและเครื่องประดับไม่ได้จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มใดๆนอกตากภาษีศุลกากร โดยธนาคารซึ่ง เป็นผู้นำเข้าจะต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบในการจ่ายภาษี IGST สำหรับการนำเข้าดังกล่าว ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับผู้จัดจำหน่ายในต่างประเทศที่ถือกรรมสิทธิ์ในระหว่างการเคลื่อนย้ายทองคำหรือเงิน
Source: The Economic Times
การนำเข้าทองคำมีอัตราภาษีอากรพื้นฐานร้อยละ 10 ส่วนที่เหลือเป็นภาษีสรรพสามิตร้อยละ 12.5 (CVD) โดยถูกเรียกเก็บก่อน GST เนื่องจากกฎหมาย GST ได้ผ่านการอนุมัติของคณะกรรมการแล้ว ดังนั้นการ เก็บภาษี GST ในทองคำร้อยละ 3 จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป โดยภาษี GST จะต้องชำระใน อัตราร้อยละ 3 ของมูลค่าการทำธุรกรรมทั้งหมดของอัญมณี
วิเคราะห์: การเรียกเก็บภาษี GST ในทองคำจะทำให้ราคาทองคำเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะมีปัญหาต่อภาพรวมของ อุตสาหกรรมของคำ และอาจจะทำให้มีการลักลอกการนำเข้าทองคำมากขึ้น
Source: THE ECONOMIC TIMES. Aug 21, 2017
5. นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีของอินเดียเปิดตัวโครงการใหม่ของรัฐบาลกว่า 9,500 โครงการ ภายในหนึ่งวัน โดยมีมูลค่าสูงถึง 2.7 แสนล้านรูปี
PM Narendra Modi to roll out 9,500 projects worth Rs 27,000 crore in a day
นิวเดลี: รัฐบาลรัฐ Rajasthan กำลังจะสร้างสถิติใหม่ใน วันที่ 29 สิงหาคม ที่จะถึงนี้เมื่อ นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ได้มีการนำเสนอ โครงการของรัฐบาลในการสร้างถนนจำนวนกว่า 9500 โครงการ ซึ่งรวมตั้งแต่ทางหลวง ถนนระดับ รัฐ และถนนในพื้นที่ชนบท ภายใต้ชื่อ PMGSY และ โครงการเรือธงของรัฐต่างๆ ซึ่งกินสัดส่วนเงิน งบประมาณกว่า 2.7 แสนล้านรูปี
Source: The Economic Times
นายกรัฐมนตรีมีกำหนดจะไปเยือน Udaipur สัปดาห์หน้าเพื่อวางศิลาฤกษ์สำหรับโครงการนี้นอกจากนี้นาย Nitin Gadkari รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงทางหลวง และ นาย Vasundhara Raje มุขมนตรีรัฐราชาสถานจะเข้าร่วมงานดังกล่าวด้วย แหล่งข่าว ระบุว่ากว่า 109 โครงการระยะทางกว่า 3,000 กิโลเมตรได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงคมนาคมทางบกและ ทางหลวงแห่งชาติของอินเดียซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการขยายทางหลวง การปรับปรุงและก่อสร้างถนนของ รัฐ ทั้งนี้คาดว่าจะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 1.5 แสนล้านรูปี
นายกรัฐมนตรีจะเปิดโครงการถนนหลวงที่ดำเนินงานจนแล้วเสร็จเรียบร้อยแล้ว จำนวนกว่า 11 โครงการกินระยะทางกว่า 873 กิโลเมตร ซึ่งรวมถึงสะพานแขวนขนาด 6 ช่องทางจราจรที่ข้ามแม่น้ำ Chambal ในเมือง Kota ทั้งนี้การดำเนินงานดังกล่าวส่วนใหญ่อยู่ภายใต้โครงการการเชื่อมต่อชนบทเข้ากับ เมือง ซึ่งสอดคล้องกันของทั้งรัฐบาลระดับมลรัฐและระดับประเทศ
Source: The Economic Times
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีของอินเดียยังจะปราศรัยซึ่งคาดว่าจะมีคนเข้าร่วมจำนวนมหาศาลในเมือง Udaipur ด้วย การปราศรัยนี้จะมีการถ่ายทอดสดสัญญาณซึ่งคาดว่าจะกินพื้นที่จำนวนมาก มีการคาดหมาย กันว่ามีแนวโน้มที่นายกรัฐมนตรีโมดี จะประกาศนโยบายบ้านเอื้ออาทร และการพัฒนาการจ้างงานในพื้นที่ ชนบทจากการชุมนุมในครั้งนี้
มีการวิเคราะห์กันว่าเหตุผลที่นายกรัฐมนตรีโมดีเดินทางเยือนรัฐ Rajasthan และเปิดตัวโครงการ ต่างๆ จำนวนมากนั้น เป็นผลสำคัญมาจากประเด็นทางด้านการเมือง เนื่องจาก อีหนึ่งปีข้างหน้านี้ รัฐ Rajasthan จะมีการจัดการเลือกตั้งใหญ่ครั้งใหม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีโมดี มีความคาดหวังว่าพรรคตนจะได้รับชัย ชนะในครั้งนี้
บทวิเคราะห์: จะเห็นได้ว่าอินเดียกำลังมีการพัฒนาระบบการขนส่งทางถนนเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการ เติบโตของการผลิตสินค้าภายในประเทศที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การพัฒนาระบบขนส่ง ดังกล่าวจะส่งเสริมให้อินเดียมีโอกาสมากยิ่งขึ้น ในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ ในฐานะฐานการผลิต ใหม่ สิ่งเหล่านี้แน่นอนย่อมส่งผลต่อประเทศไทย ที่มุ่งเน้นการลงทุนจากต่างประเทศ ในอีกทางหนึ่ง การดำเนินการดังกล่าวถือเป็นผลดีต่อนักลงทุนชาวไทยที่ วางฐานการผลิตในอินเดีย
ข้้อเสนอแนะ: นักลงทุนที่มีความสนใจเข้ามาลงทุนในอินเดีย ควรศึกษาข้อมูลรายละเอียดของพื้นที่ที่ ตนสนใจว่ามีการวางระบบโครงข่ายการขนส่งที่มีประสิทธิภาพดีหรือไม่ อย่างในกรณีนี้คาดว่าในอนาคต Rajasthan จะเป็นแหล่งการผลิตสำคัญของอินเดีย และเป็นพื้นที่เชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมของประเทศ
Source: THE ECONOMIC TIMES. Aug 22, 2017
6. ร้านอาหารของ McDonald’s ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกกว่า 169 สาขาจะถูก ปิด แรงงานหลายพันคนอยู่ในความเสี่ยงว่าจะถูกปลด
All 169 McDonald’s stores face closure in North & East, thousands of jobs at risk
นิวเดลี: เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา McDonald’s ได้ยกเลิกการทำข้อตกลงใบอนุญาตการขายสินค้ากับบริษัท Connaught Plaza Restaurants Ltd (CPRL) ซึ่งควบคุมสายการผลิตร้านอาหารจาก สหรัฐอเมริกาที่มีอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือและภาค ตะวันออกของอินเดีย และบริหารงานโดย Vikram Bakshi
Source: The Open Magazine
McDonald’s ได้ระงับการให้ใช้เครื่องหมายการค้า การดีไซน์และลิขสิทธิ์ด้านนโยบาย การค้าจาก CPRL หลังจากที่ทำธุรกิจร่วมกันกับ Bakshi มามากกว่า 22 ปี การตัดสินใจดังกล่าวจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการจ้างงานในอินเดียกว่า 6,500 อัตรา และจะนำไปสู่การปิดร้านอาหารของ McDonald’s ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกของ อินเดียอีกด้วย ทั้งนี้ CPRL เป็นเจ้าของร้านอาหารกว่า 169 สาขา ซึ่งรวมถึงร้านอาหารกว่า 43 สาขาที่ถูกปิดไปแล้วในพื้นที่บริเวณภายในและรอบเมืองเดลี
อย่างไรก็ตาม Amit Jatia รองประธานของบริษัท Hardcastle Restaurants Pvt Ltd (HPRL) ซึ่งดูแลร้านอาหารของ McDonald’s ในพื้นที่ภาคตะวันตกและภาคใต้ของอินเดียกว่าสอง ทศวรรษ จะเป็นบริษัทต้นๆ ที่จะได้รับสิทธิในการบริหารร้านอาหารของ McDonald’s ในพื้นที่ ภาคเหนือและภาคตะวันออกแทน โดย McDonald’s ได้ประกาศว่า “กำลังมองหาผู้รับใบอนุญาตและคู่ค้าในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกของอินเดีย”
อย่างไรก็ตามโฆษกของ McDonald’s ได้ออกมากล่าวว่า ยังไม่มีการ ปฏิเสธหรือยอมรับการทำธุรกิจกับบริษัท ของ Jatia โดย Ron Christianson ตำแหน่ง Global head of corperate relations and foundational markets ของ McDonald’s กล่าวเพียงว่า กระบวนการสรรหาคู่ค้ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น
Source: The Economic Times
การประกาศการยกเลิกสัญญาเมื่อ วันจันทร์ที่ผ่านมา ถือเป็นความเคลื่อนไหว ล่าสุดของความขัดแย้งระหว่าง Bakshi และ McDonald’s จากที่ก่อนหน้านี้ McDonald’s ได้กล่าวหาว่า Bakshi ไ ด้ละเมิดกฎการค้าในหลายประเด็น และได้ถอดถอน Bakshi ออกจากตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการของ CPRL เมื่อปี 2013 แต่ the National Company Law Tribunal ตัดสินให้ Bakshi กลับมารับตำแหน่งเดิมเมื่อเดือนที่ผ่านมา และตอบโต้ การกระทำของ McDonald’s ว่า “ผิดกฎหมาย ไม่ยุติธรรม และประสงค์ร้าย”
ความขัดแย้งดังกล่าวไม่เพียงส่งผลต่อกำไรของ CPRL เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเติบโตของ รายได้ที่ลดลงกว่าร้อยละ 6 ในปี 2014-2015 จากที่สี่ปีก่อนหน้านี้มีอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 29
McDonald’s ออกมากล่าวว่า บริษัทจำเป็นต้องยุติสัญญากับ CPRL เนื่องจาก “CPRL ได้ ฝ่าฝืนข้อกำหนดและสัญญาการค้าที่ส่งผลกระทบต่อร้านอาหารของ McDonald’s และยังล้มเหลวที่จะแก้ไขการฝ่าฝืนดังกล่าว ทั้งๆ ที่บริษัทได้ให้โอกาสในการปรับปรุงแล้ว” Bakshi เรียกการกระทำดังกล่าวว่า “McDonald’s ได้ดูถูกระบบกฎหมายของอินเดียและ ท้าทายคำตัดสินของ the National Company Law Tribunal อย่างเปิดเผย”
Christianson ได้กล่าวกับ The Economic Times ผ่านทางโทรศัพท์จากสำนักงานใหญ่ ของภูมิภาคเอเชียที่ฮ่องกงว่า McDonald’s กำลังมองหาคู่ค้าที่เหมาะสมกับบริษัท “เรากำลังมองหาคู่ค้าใหม่ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยอย่าง เป็นทางการ และจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 เดือนในการสร้างความคืบหน้า”
McDonald’s จะต้องรีแบรนด์
Source: Noida Diary
McDonald’s ได้ออกมาประกาศว่า “CPRL จะต้องยุติการใช้ the McDonald’s System และสิทธิบัตรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ McDonald’s ภายใน 15 วัน” และยังมีการระบุเพิ่มเติมว่า “ทั้งนี้ ยังต้องใช้เวลาอย่างมากในการแก้ไขสถานการณ์ที่ เป็นอยู่ อย่างไรก็ตาม เรายังคงให้ความสำคัญกับโอกาสการค้าในพื้นที่ภาคเหนือและภาค ตะวันออกของอินเดีย และเรากำลังมองหาแนวทางในการรีแบรนด์” ความขัดแย้งดังกล่าวส่งผลให้ลูกจ้างกว่า 6,500 คน ที่กำลังทำงานอยู่ในร้านอาหารกว่า 169 สาขา อยู่ในสถานะที่ไม่มั่นคง ผู้บริหารของ McDonald’s กล่าวว่า “ในขณะที่เราเข้าใจว่า การกระทำของเราจะทำให้เกิดความไม่มั่นคงขึ้น แต่นี่เป็นสถานการณ์ที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง การประกาศยุติสัญญาการค้าถือเป็นเพียงก้าวแรก”
ยังมีการกล่าวอีกว่า ขณะนี้ บริษัทกำลังให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบจากการยกเลิก สัญญาการค้ากับ CPRL โดยเฉพาะในส่วนของลูกจ้าง ผู้ผลิต และเจ้าของที่ดิน “เรากำลังทำงาน ร่วมกับ CPRL ในการบรรเทาผลกระทบดังกล่าว”
Source: THE ECONOMIC TIMES. Aug 22, 2017
7. GDP ไตรมาสสามของอินเดียน่าจะฟื้นตัวเล็กน้อยที่ 6.6%: Nomura
India's June quarter GDP to see modest recovery at 6.6%: Nomura
Source: The Economic Times
อินเดียมีการคาดการณ์ว่า GDP ในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน 2560 น่าจะมีการฟื้นตัวที่ร้อยละ 6.6 ในขณะที่ในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคมที่ผ่านมานั้น GDP เติบโตเพียงร้อยละ 6.1
สำหรับเศรษฐกิจของอินเดียมีเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในช่วงระหว่างการประกาศใช้ระบบภาษี สินค้าและบริการตัวใหม่ โดยรายงานระบุว่าตัวเลขการบริโภคและบริการ (โดยเฉพาะการขนส่ง) จะฟื้นตัวในเดือนกรกฎาคมอุตสาหกรรมการลงทุนและข้อมูลภาคต่างประเทศยังคงอ่อนแอหรือชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวคาดว่าจะอยู่ในช่วงสิ้นปี โดยได้รับความช่วยเหลือจากการปรับเปลี่ยนและเงื่อนไขทางการเงินที่ดีขึ้น
โดยคาดว่าการเติบโตของ GDP ในช่วงไตรมาสที่ 2 (เดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2560) จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 6.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่อยู่ร้อยละ 6.1 ในช่วงของเดือนมกราคมถึงมีนาคม ซึ่งได้รับผลกระทบจากการยกเลิกพันธบัตรในช่วงปลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งหลังของปีมีคาดว่าการเติบโตจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอยู่ที่ระดับร้อยละ 7.4 โดยดัชนีการบริโภคทั้งในเขตเมืองและชนบทเริ่มฟื้นตัวในเดือนกรกฎาคม 2560 ขณะที่การบริโภคน้ำมันดีเซลและสินเชื่อผู้บริโภคก็ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตามความต้องการลงทุนในอุตสาหกรรมการลงทุนและอุปสงค์จากต่างประเทศลดลง และธนาคารกลางได้มีการทบทวนนโยบายการเงิน ในเดือนนี้โดยได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงร้อย 0.25 ซึ่งเป็นไปได้ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้บ้าน สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่ออื่นๆ อีกด้วย
วิเคราะห์ การที่อินเดียมีเสถียรด้านภาษีทำให้เกิดความเชื่อมั่นของนักลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของอินเดียในระยะยาว
Source: THE ECONOMIC TIMES. Aug 22, 2017
8. ภาษีGST จะส่งผลดีแก่ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำและค่อนข้างต่ำ
GST to benefit lower, lower-middle income class: Asian Development Bank
นิวเดลี: ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) กล่าวว่าการเก็บภาษีสินค้าและบริการ (GST) ในอินเดีย จะส่งผลดีต่อครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ และปานกลางค่อนข้างต่ำเนื่องจากมีแนวโน้มว่าภาษีสินค้าจะลดลง แต่ภาษีบริการกลับมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้น อย่างไรก็ดี GST ก็จะยังคงช่วยบรรเทาภาระด้านภาษีให้แก่ประชากร “ครึ่งล่าง”
Source: Indian Express
นาย Mukul Asher จากธนาคาร ADB ยังกล่าวอีกด้วยว่า สำหรับครัวเรือนที่มีรายได้สูงขึ้น การเก็บภาษีสำหรับบริการก็จะสูงขึ้น และลดลงสำหรับสินค้า แนวโน้มแบบนี้มีผลให้ภาระภาษีสำหรับครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำและค่อนข้างต่ำลดลด แต่ตรงกันข้ามสำหรับครัวเรือนที่มีรายได้สูงและค่อนข้างสูง จึงช่วยบรรเทาผลกระทบด้านลบของ GST ต่อประชากรครึ่งล่างของประเทศได้
การจัดเก็บภาษีGST เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 ขณะนี้ผ่านมาประมาณ 6 สัปดาห์แล้ว มีการคาดการณ์ว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม องค์กรของรัฐ และแต่ละครัวเรือน จะแตกต่างกันไป สำหรับด้านครัวเรือน นาย Asher กล่าวว่าผลกระทบย่อมมีความหลากหลาย เพราะพฤติกรรมในการซื้อสินค้าและบริการแตกต่างกันไปตามระดับรายได้ความชอบ อายุและอื่นๆ
เขายังกล่าวอีกว่า การออกแบบและเวลาในการเริ่มใช้การเก็บภาษีGST มีผลดีต่อทิศทางเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและระดับสากล สื่อและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งประชากรทุกครัวเรือนควรมีส่วนร่วมในการปรับตัวสำหรับการเก็บภาษี GST ด้วย
ข้อเสนอแนะ: การเก็บภาษีGST เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน และทุกฝ่ายก็กำลังปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะต้องรออีกสักพักถึงจะเห็นแนวโน้มที่กระทบกับการตลาดและการลงทุน
Source: THE ECONOMIC TIMES. Aug 22, 2017