แม้จะมีบริษัทจากสวีเดนมาลงทุนในอินเดียแล้วกว่าร้อยบริษัทในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่นาทีนี้ ไม่มีคำว่าถอย มีแต่รุกคืบ เพราะทางรอดคือเอเชีย หลังเศรษฐกิจยุโรปและอเมริการ่อแร่เต็มที
ล่าสุดหอการค้าสวีเดนในเมืองนิวเดลีจัดงาน Cleantech Project Financing in India เชิญนักธุรกิจสวีเดนมาพบปะกับนักธุรกิจอินเดีย นอกจากนี้ยังได้เชิญวิทยากร นาย Klas Eklund นักเศรษฐศาสตร์ นักเขียน และอาจารย์มหาวิทยาลัย ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจให้กับนายกรัฐมนตรี และเป็นผู้มีบทบาทในเรื่องการวิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจ โดยเขาได้เน้นย้ำในการบรรยายว่า จีน และอินเดียมาแน่
นาย Klas คาดว่าภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในยุโรปและอเมริกาจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของสวีเดนแน่นอน แต่ประเทศสวีเดนเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม ยังสามารถเติบโตต่อไปได้
จากรายงานการสำรวจความคิดเห็นของนักธุรกิจสวีเดน 124 บริษัทในอินเดีย ซึ่งจัดทำโดยหอการค้าสวีเดน แสดงให้เห็นว่าเมืองเดลี มุมไบ บังคาลอร์และปูเน่ เป็นเมืองที่บริษัทสวีเดนส่วนใหญ่เลือกเป็นทำเลตั้งสำนักงานใหญ่ โดยธุรกิจของสวีเดนกระจุกตัวในภาควิศวกรรม และ 30% ของบริษัทที่ตอบแบบสอบถามมีแผนจะเพิ่มการลงทุนในอินเดียเป็นสองเท่าหรือมากกว่านั้น
บทเรียนที่บริษัททั้งหลายให้คำแนะนำ
1. ทำการบ้าน
- วางแผนการทำตลาดการขายและการผลิตให้ดี
- ธุรกิจเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์
- อินเดียเป็นตลาดที่มีความอ่อนไหวเรื่องราคา ถ้าไม่ทำการบ้านมาให้ดี ก็จะเสียเวลาเปล่า
2. ทำอะไรให้เป็นแบบฉบับอินเดีย
- การตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในอินเดียเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อให้ได้สินค้าตามความต้องการ ตลาดนี้มีศักยภาพสูง ประชากรฐานล่างของปิรามิดมีความสำคัญต่อจำนวนยอดขาย
- มีความยืดหยุ่น และเข้าถึงแต่ละเมือง เพื่อไปให้ทั่วประเทศ
- ผู้บริหารควรคิดแบบทันสมัย แต่นำมาปรับใช้ให้เข้ากับท้องถิ่น
3. มองระยะยาว
- อย่าย่อท้อต่ออุปสรรคชั่วคราว อุปสรรคเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจกำลังพัฒนา
- การสร้างความไว้วางใจใช้เวลา
- คนอินเดียรอบคอบมากในการเจรจา นักธุรกิจควรทำความเข้าใจขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติตาม และมีความอดทน
ปัจจุบันบริษัทชั้นนำของสวีเดน ไม่ว่าจะเป็น ABB, Volvo Trucks, Astra Zeneca, Ericsson, Atlas Copco, Sandvik and SKF ต่างมาตั้งโรงงาน สำนักงานในอินเดีย ปัจจุบันมีการจ้างแรงงานท้องถิ่นเกือบสี่หมื่นราย และคาดจะขยายเป็น 6.6 หมื่นรายในปีหน้า
สวีเดนเป็นประเทศที่มีการลงทุนในอินเดียมากที่สุดเป็นลำดับที่ 14 ในช่วงเดือนเมษายน 2000 ถึง เมษายน 2011 เม็ดเงินลงทุนตรงคิดเป็นมูลค่ารวม 797.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ประเทศที่มีการลงทุนตรงในอินเดียมากที่สุดคือ ประเทศมอริเชียส (Mauritius) (5.52 หมื่นล้านเหรียญ) สิงคโปร์ (1.31 หมื่นล้านเหรียญ) สหรัฐอเมริกา (9.53 พันล้านเหรียญ) สหราชอาณาจักร (6.64 พันล้านเหรียญ) และเนเธอร์แลนด์ (5.74 พันล้านเหรียญ)
ประเทศไทยอยู่ที่ลำดับ 34 ด้วยเม็ดเงินลงทุน 85.9 ล้านเหรียญ
ปิยรัตน์ เศรษฐศิริไพบูลย์