สัมมนาทางธุรกิจและกิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจ “Make in India” Roadshow and Business Opportunity in Thailand
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี ได้ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย จัดสัมมนาทางธุรกิจ
และกิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจ “Make in India” Roadshow and Business Opportunity in Thailand ที่โรงแรมดุสิตธานี โดยได้เชิญนาย Amitabh Kant ปลัดฝ่ายนโยบายและการส่งเสริมอุตสาหกรรม (Department of Industrial Policy and Promotion – DIPP) กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมอินเดีย ซึ่งเป็นคนสนิทของนายกรัฐมนตรีโมดีของอินเดีย และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายการลงทุนของอินเดีย นำคณะนักธุรกิจจากอินเดียเข้าร่วมสัมมนากว่า 30 ราย
นายนภดล เทพพิทักษ์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานกล่าวเปิดการสัมมนา
“Make in India” Roadshow and Business Opportunity in Thailand
ผู้แทนระดับสูงของไทยและอินเดียที่เข้าร่วมกล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา ได้แก่ ดร. อรรชกา ศรีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์ นายนภดล เทพพิทักษ์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นาย Amitabh Kant ปลัด DIPP นาย Harsh Vardhan Shringla เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย นาย Shailendra Singh รองปลัด DIPP และผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
(จากซ้ายไปขวา) นาย Shailendra Singh รองปลัด DIPP / นาย Harsh Vardhan Shringla เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย / นายนภดล เทพพิทักษ์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ / ดร. อรรชกา ศรีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม / นาย Amitabh Kant ปลัด DIPP อินเดีย / ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์ / นายชลิต
มานิตยกุล เอกอัครราชทูตไทยประจำอินเดีย / นายมานพชัย วงศ์ภักดี อธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกากระทรวงการต่างประเทศ
สัมมนาทางธุรกิจในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ให้ฝ่ายอินเดียมาบรรยายให้เอกชนไทยทราบถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของอินเดียในปัจจุบัน ที่ได้กลายเป็นเศรษฐกิจที่โตเร็วที่สุดในโลก นาย Amitabh Kant ได้เน้นว่า “There's never been a better time to make in India" รัฐบาลอินเดียได้เปิดประเทศรับการลงทุนจากต่างชาติ และอยู่ระหว่างการปฏิรูปประเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนต่างชาติ เช่น แนวคิดเปลี่ยน red tape ให้เป็น red carpet เป็นต้น
ผู้เข้าร่วมงานจากภาคเอกชนไทย-อินเดีย ข้าราชการจากกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ภาควิชาการ และสื่อมวลชนกว่า 210 คน
ภายใต้โครงการ “Make in India” รัฐบาลอินเดียส่งเสริม 25 กลุ่มอุตสาหกรรมที่อินเดียมีศักยภาพจะเป็น Global Champion ได้แก่ 1) ยานยนต์ 2) ชิ้นส่วนยานยนต์ 3) อากาศยาน
4) ไบโอเทค 5) เคมีภัณฑ์ 6) ก่อสร้าง 7) ยุทโธปกรณ์ 8) เครื่องใช้ไฟฟ้า 9) ระบบอิเล็กทรอนิกส์ 10) แปรรูปอาหาร 11) IT และการจัดกระบวนการทางธุรกิจ 12) เครื่องหนัง 13) สื่อและ
เอนเตอร์เทนเมนท์ 14) เหมืองแร่ 15) น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ 16) ยา 17) ท่าเรือและการขนส่ง 18) การขนส่งทางรถไฟ 19) พลังงานทดแทน 20) ถนนและทางด่วน 21) อุตสาหกรรมอวกาศ 22) สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 23) อุตสาหกรรมพลังความร้อน 24) การท่องเที่ยวและโรงแรม และ 25) อุตสาหกรรมด้านสุขภาพ ซึ่งมีหลายสาขาที่เอกชนไทยมีศักยภาพที่จะร่วมทำธุรกิจกับอินเดียได้ (ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.makeinindia.com/sectors)
ดร. อรรชกา ศรีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ถ่ายภาพร่วมกับคณะผู้แทนจากอินเดีย
ในขณะเดียวกัน เวทีสัมมนานี้ก็เป็นโอกาสให้ไทยได้แสดงให้ผู้กำหนดนโยบายของอินเดียเห็นถึงศักยภาพเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ไทยเป็น gateway เข้าสู่อาเซียนให้แก่อินเดีย นโยบาย Act East และนโยบายพัฒนาประเทศของรัฐบาลอินเดียในปัจจุบัน อาทิ Make in India, Digital India และ Smart Cities ก็สอดรับกับนโยบายพัฒนาประเทศของไทย ซึ่งทั้งไทยและอินเดียสามารถเสริมกันและกันได้เป็นอย่างดี
ดร. อรรชกา ศรีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไทย
ความร่วมมือด้านความเชื่อมโยง หรือ connectivity เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ไทยและอินเดียจำต้องพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ทั้งทางบก (เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก และโครงการถนนสามฝ่าย ไทย-เมียนมาร์-อินเดีย) ทางอากาศ (air link) และทางน้ำ (การมีส่วนร่วมของอินเดียในโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงถึงทิศทางของเศรษฐกิจโลกที่กำลังย้ายมาสู่เอเชีย และที่มุ่งสู่การสร้างพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership - RCEP) ไทยและอินเดียยิ่งต้องร่วมกันผลักดันการเชื่อมระหว่างภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับเอเชียใต้ เพื่อให้เกิดเป็นการรวมตัวเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โดยมีไทยและอินเดียเป็นศูนย์กลางของทั้งสองภูมิภาค
อินเดียในปัจจุบันกำลังพัฒนาและมีศักยภาพทางเศรษฐกิจอย่างมาก ถึงเวลาแล้วที่ภาคเอกชนไทยต้องหันมาให้ความสำคัญกับตลาดอินเดียทั้งในด้านการค้าและการลงทุน
โดยใช้ประโยชน์จากกลไกความร่วมมือที่มีอยู่อย่างเต็มที่ อาทิ FTA ทั้งในกรอบไทย-อินเดีย และอาเซียน-อินเดีย โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี เเละสถานกงสุลใหญ่ ณ
เมืองกัลกัตตา เมืองเจนไน เเละมุมไบ พร้อมที่จะให้การสนับสนุนเอกชนไทยในการดำเนินธุรกิจกับฝ่ายอินเดียอย่างเต็มที่
จิตราภรณ์ เลิศทวีวิทย์
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี