บริษัทผลิตยานยนต์อินเดีย โกอินเตอร์อย่างสมศักดิ์ศรี
ช่วงที่ผ่านมา คงไม่มีอะไรที่ทำให้บริษัท Mahindra & Mahindra (M&M) บริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ของอินเดีย ดีใจได้เท่ากับการที่ Ssangyong แบรนด์รถยนต์อันดับ 4 ของเกาหลี ที่บริษัท M&M ได้เข้าเทคโอเวอร์ด้วยสนนราคา 2 หมื่นกว่าล้านรูปี (หนึ่งหมื่นล้านบาท) ตั้งแต่ปี 2011 มีผลกำไรสุทธิ 360 ล้านรูปี (180 ล้านบาท) ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่บริษัทมีกำไร
เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Bajaj Auto บริษัทจักรยานยนต์ของอินเดีย ก็ได้รับข่าวดีในลักษณะเดียวกัน เมื่อบริษัทได้รับส่วนแบ่งผลกำไร 270 ล้านรูปี (135 ล้านบาท) จาก KTM ผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์สัญชาติออสเตรีย ที่ Bajaj Auto ลงทุนซื้อหุ้น 1.2 หมื่นล้านรูปี (6 พันล้านบาท) ส่วนความสำเร็จของ Tata Motor กับกิจการ Jaguar-Land Rover ก็เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป
การอ้าแขนรับกำไรเหนาะๆ ของบริษัทยานยนต์ของอินเดียที่ไปลงทุนในต่างประเทศนี้ ถือเป็นผลของความพยายามในการโกอินเตอร์ในระยะที่สอง หลังจากบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งยานยนต์อินเดียได้ลงทุนคว้าหุ้นบริษัทต่างชาติรวมกันทั้งสิ้น 9 บริษัท ด้วยเงิน 1.4 แสนล้านรูปี (7 หมื่นล้านบาท) และใช้เวลาปรับกระบวนทัศน์การบริหารในระยะแรก จนขาดทุนอยู่หลายปี
แต่ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงของบริษัทที่บริษัทอินเดียเหล่านี้เข้าไปซื้อหุ้น บวกกับความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทำให้บริษัทต่างชาติของชาวอินเดียเหล่านี้ กลับมามีผลกำไรอยู่ในแดนบวกกันถ้วนหน้า
ถ้าดู M&M และ Ssangyong เป็นแบบอย่าง ก็จะเห็นว่า ทั้งคู่ร่วมกันผลิตรถยน์ SUV รุ่นใหม่ๆ ร่วมกัน โดยใช้ประโยชน์จากทักษะด้านวิศวกรรมและการออกแบบของทั้งสองบริษัท ทำให้สามารถได้ผลกำไรเร็วขึ้น เพราะสามารถขายได้ทั้งในอินเดียและเกาหลีพร้อมๆ กัน หรือแม้แต่รถ Land Rover Defender และ Tata Safari ในไม่ช้า จะมีเครื่องยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาร่วมกัน ขณะที่ Bajaj กำลังใช้เทคโนโลยีของ KTM มาปรับสูตรรถ Bajaj Pulsar และขณะนี้ 30% ของมอเตอร์ไซต์ที่ขายโดย KTM ทั่วโลก ผลิตในอินเดีย
จะเห็นได้ว่า หากความเป็นหุ้นส่วนของอินเดียกับอีกประเทศ สามารถนำไปสู่การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและรูปแบบที่เข้าได้กับทั้งสองตลาด ในไม่ช้า ก็จะมีการผลิตยานยนต์ที่มีทั้งคุณภาพและเทคโนโลยีที่เหมาะกับผู้บริโภคทั้งโลก ถือว่าคุ้มสุดคุ้มกับผู้ใช้ยานยนต์
Bajaj Auto-KTM คู่ตุนาหงัน
รถ Duke 390 และ Bajaj Pulsar ต้นแบบการร่วมพัฒนาเทคโนโลยีอินเดีย-ยุโรป
ความสัมพันธ์ที่มีมากว่า 6 ปี ของบริษัทต่างสัญชาติ ที่ Bajaj ถือหุ้น 48% ถูกพัฒนาขึ้นมาจากความคิดและความรู้สึกที่มีร่วมกันในการผลิตจักรยานยนต์คุณภาพ ทำให้การบริหารร่วมกัน เต็มไปด้วยความรู้สึกของความเป็นมิตร ไม่มีอะไรปิดบังกัน พร้อมสนับสนุนกันและกันเสมอ ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองบริษัทเจริญงอกงาม นาย Rajib Bajaj กรรมการผู้จัดการใหญ่ Bajaj Auto กล่าว
เมื่อสี่ปีก่อน ในช่วงวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ KTM ประสบภาวะขาดทุน ยอดขายลด 30% สเตฟาน เพียร์เร่อ ซีอีโอของ KTM บริษัทผลิตรถจักรยานยนต์อันดับสองของยุโรป ในขณะนั้น เชื่อว่า Bajaj Auto คือหุ้นส่วนที่ดีที่สุดที่จะพาผ่านพ้นวิกฤต และก็เป็นจริงตามนั้น เมื่อ Bajaj ซื้อหุ้นของ KTM เพิ่มจาก 14.5% เป็น 48% ในปัจจุบัน โดยไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องการต้องครองเสียงส่วนใหญ่ในบอร์ด
Bajaj กับ KTM ก็เหมือนชิ้นส่วน 2 ชิ้นในจิกซอว์ ที่เข้ากันได้อย่างลงตัว Bajaj เน้นทำการขายในอินเดียและประเทศกำลังพัฒนาไม่กี่ประเทศ ขณะที่ยอดขายของ KTM 3 ใน 4 มาจากยุโรป สหรัฐฯ และแคนาดา ด้วยเทคโนโลยีของ KTM ทักษะการผลิตที่มีประสิทธิภาพของ Bajaj ช่วยเติมช่องว่างกันและกัน ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาลงตัว ดังตัวอย่างของ KTM Duke 125, Duke 200, Duke 390 และ Bajaj Pulsar
ทั้งสองบริษัทออกแบบการทำงานร่วมกันอย่างลงตัว โดยเน้นความแตกต่างในหลักการขายปลีก แต่มีความสอดคล้องในด้านการผลิต KTM มีตัวแทนขายในอินเดีย 80 ราย ขณะที่ Bajaj มีถึง 600 ราย แต่จะไม่มีการขายแทนกันหรือแข่งกัน แต่จะทำงานด้วยกันเบื้องหลังอย่างใกล้ชิด
ขณะนี้ KTM เองก็กำลังค่อยๆ ย้ายฐานการผลิตไปยังอินเดีย โดยคาดว่าในปี 2014 50% ของรถที่ KTM ผลิต จะจำนวน 1.2 แสนคันจะมาจากอินเดีย KTM ยังสามารถขายรถจักรยานยนต์ในอินเดียได้ถึง 1.5 หมื่นคัน
KTM กำลังอยู่ในช่วงที่ทำผลกำไรได้ดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2013 มีรายได้แล้วถึง 2.8 หมื่นล้านรูปี (1.4 หมื่นล้านบาท) ซึ่งถือว่าดีที่สุดที่เคยทำมา โดยคาดว่า ต่อไปยอดขายจากยุโรป สหรัฐฯ และแคนาดาจะเริ่มลดลง แต่ยอดขายในประเทศเศรษฐกิจใหม่จะมาแรง Bajaj Auto ซึ่งน่าจะเป็นหุ้นส่วนที่สร้างมูลค่าให้ KTM ได้อีกมาก
เห็นแล้วใช่ไหมครับ การมีหุ้นส่วนที่ดีเป็นศรีแก่การทำธุรกิจในต่างประเทศ เรื่องนี้ เอกชนอินเดียเขาไปไกลกว่าบ้านเรามาก ถึงเวลาหรือยังที่บริษัทไทยจะศึกษาวิธีการ เลิกกล้าๆ กลัวๆ ออกไปโกอินเตอร์กันอย่างมั่นใจ ให้สมศักดิ์ศรีประเทศไทยของเรา
โดย ประพันธ์ สามพายวรกิจ
รายงานจากกรุงนิวเดลี
17 ตุลาคม 2556