อุตสาหกรรมท่องเที่ยวอินเดียบูมต่อเนื่อง เอกชนเทเงินลงทุนขยายโครงสร้างพื้นฐาน
“ไปเที่ยวอินเดียกันไหม?” คำถามชวนเที่ยวนี้ บ้างก็ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สำหรับบางคนก็รีบพยักหน้าตกลงทันที ด้วยมนต์เสน่ห์เฉพาะตัวแบบไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนของอินเดีย สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาที่อินเดียได้จำนวนมากขึ้นทุกปี
เมื่อปี 2011 พบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมายังอินเดีย 6.29 ล้านคน เพิ่มจากปี 2010 ร้อยละ 8.9 โดย Travel & Tourism Competitive Report ปี 2013 ถึงกับจัดให้อินเดียอยู่ในลำดับที่ 65 จาก 144 ประเทศที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมา และเป็นอันดับที่ 20 จาก 144 ประเทศเรื่องความคุ้มค่าด้านค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว (Price Competitiveness)
สัดส่วนของการท่องเที่ยวสันทนาการมีส่วนสำคัญ ช่วยเพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของอินเดีย ซึ่งคาดว่าในช่วงปี ค.ศ. 2013-2023 จะอัตราการเติบโตของการลงทุนในสาขานี้ร้อยละ 6.5 ต่อปี โดยรัฐบาลอินเดียได้มีนโยบายที่จะเร่งรัดในการพัฒนาเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศอย่างครบวงจร
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการของอินเดียเติบโตอย่างสดใส ปัจจุบันมีมูลค่า 111.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 418.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2022 โดยในช่วงระหว่างเดือนเมษายน ค.ศ. 2000 – กันยายน ค.ศ. 2013 มีการลงทุนโดยตรงในด้านโรงแรมและเกี่ยวกับการท่องเที่ยวมูลค่าถึง 6,754 พันล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
นับได้ว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวสูง เป็นประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวสวยงามทั้งทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ มีมรดกโลกจำนวนมากถึง 29 แห่ง แบ่งเป็นทางวัฒนธรรม 25 แห่งและทางธรรมชาติ 3 แห่ง ซึ่งถือเป็นจุดขายที่สำคัญและเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
รัฐที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปมากเป็นอันดับแรกคือรัฐมหาราษฏระ รองมาคือรัฐทมิฬนาฑู และที่ขาดไม่ได้คือกรุงนิวเดลี โดยนักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถไปชมทัชมาฮาลจากกรุงนิวเดลีได้ภายในเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยนั้น นิยมเดินทางไปยังสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง ทัชมาฮาล และแคชเมียร์ สำหรับนักท่องเที่ยวชาวอินเดียฐานะปานกลางที่มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น และมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบสมัยใหม่ ก็นิยมเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ของอินเดียด้วย
สาขาการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพของอินเดีย ได้แก่
1) การท่องเที่ยวชนบท (Rural Tourism) กระทรวงการท่องเที่ยวอินเดียส่งเสริมการท่องเที่ยวในชนบท เพื่อส่งเสริมศิลปะ วัฒนธรรม วิถีชีวิตชนบท และมรดกล้ำค่าทางวัฒนธรรมในเขตชนบททั่วประเทศ
2) การท่องเที่ยวทางเรือสำราญ (Cruise Tourism) มีอัตราการเติบโตอย่างสูง เนื่องจากอินเดียมีชายฝั่งทะเลเหยียดยาวมาก และมีทัศนียภาพทางธรรมชาติทางทะเล และหมู่เกาะต่างๆ ที่สวยงาม
3) การท่องเที่ยวเชิงผจญภัย (Adventure Tourism) ตามแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์ได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นลำดับ
4) การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Eco Tourism/Sustainable Tourism)
5) การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความงาม (Wellness Tourism) ได้รับความนิยมมากขึ้น และมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก โดยอินเดียมีชื่อเสียงด้านเวชภัณฑ์สมุนไพรที่หลากหลาย และการนวดแผนพื้นเมืองที่มีชื่อเสียง อาทิ Ayurveda และการรักษาสุขภาพด้วยโยคะ
6) การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) โดยอินเดียจัดว่าเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ที่อยู่ระดับแนวหน้าของโลก นักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะจากเอเชียใต้และประเทศในตะวันออกกลางต่างบินมาใช้บริการทางการแพทย์ในอินเดียเป็นจำนวนมาก และเป็นสาขาที่ทางการอินเดียเร่งส่งเสริมเป็นอย่างมาก
7) การท่องเที่ยวเชิงศาสนา (Religious Tourism) โดยเฉพาะที่รัฐพิหาร เนื่องจากเป็นแหล่งกำเนิดศาสนาพุทธ ในแต่ละปีมีพุทธศาสนิกชนต่างชาติ และนักท่องเที่ยวต่างศาสนามาเยือนสังเวชนียสถาน 4 แห่งกว่า 500 ล้านคน
ถึงแม้ว่าการท่องเที่ยวในประเทศอินเดียจะยังมีปัญหาต่างๆ อาทิ การเดินทางมีความลำบาก ที่พักและสุขอนามัยไม่ได้มาตรฐาน แต่ก็ยังมีนักเดินทางหลายๆ กลุ่มที่นิยมความท้าทายและพร้อมที่จะเดินทางเพื่อมาสัมผัสสักครั้งหนึ่งในชีวิตกับ “Incredible India” การท่องเที่ยวอินเดียจึงยังมีมนต์ขลังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้เสมอ
ที่ผ่านมา ธุรกิจโรงแรมและบริการสปาไทยก็ได้เล็งเห็นโอกาสนี้บ้างแล้ว อย่างเครือดุสิต เซ็นทารา และเลอบัวก็ต่างเข้ามาลุยเปิดตลาดที่อินเดียกันแล้ว แต่ยังมีอีกหลายแหล่งที่ยังมีโอกาสไม่ว่าจะเป็นรัฐเกรละทางใต้ของอินเดียที่ประชาชนกระเป๋าหนาพอควร รวมถึงรัฐตามเชิงเขาหิมาลัยที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดทั้งปี เห็นอย่างนี้แล้ว เอกชนไทยที่กำลังมองหาตลาดใหม่ๆ น่าจะลองมาสอดส่องดู เผื่อจะมีเจอโอกาสทองให้ได้ไขว่คว้ากันอีก
กมลชนก แซ่เล้า
21 มีนาคม 2557