อินเดียกับทรัพย์สินทางปัญญา
ปัจจัยการผลิตที่นอกเหนือจากที่ดิน แรงงาน ทุน และผู้ประกอบการแล้ว ทรัพย์สินทางปัญญาถือว่าเป็นปัจจัยการผลิตที่ 5 ของโลกในยุคปัจจุบัน และเข้ามามีบทบาทอย่างมากสำหรับการค้า ไม่ว่าจะเป็นการค้าภายในประเทศหรือการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากทรัพย์สินทางปัญญามีหลักการ (Principle) อย่างเดียวกันในทุกประเทศทั่วโลก หากจะแตกต่างก็คงเป็นเพียงรายละเอียดของการได้มาซึ่งสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือระยะเวลาการคุ้มครองเท่านั้น
ทั้งนี้ บริษัทชั้นนำในประเทศที่พัฒนาแล้วต่างให้ความสำคัญกับทรัพย์สินทางปัญญาอย่างมาก เนื่องจากการเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาหมายถึงการเป็นผู้ผูกขาด (Monopoly) และเป็นผู้ที่มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียว (Exclusive right holder) ที่จะแสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจ (Economics rights) ภายในช่วงระยะเวลาหนึ่งสำหรับสินค้าหรือบริการของตน ตัวอย่างที่สำคัญของการแสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เกิดจากทรัพย์สินทางปัญญา เช่น บริษัท Pfizer เป็นเจ้าของสิทธิบัตรยาลดไขมันในเส้นเลือดที่มีชื่อทางการค้าว่า Lipitor ซึ่งมีสิทธิบัตรคุ้มครอง จึงทำให้บริษัท Pfizer เป็นผู้ครองตลาดในยากลุ่มลดไขมัน ซึ่งสามารถทำกำไรให้บริษัท Pfizer มากกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลาของอายุสิทธิบัตรที่เพิ่งจะหมดอายุไปเมื่อปี 2011 หรืออย่างเครื่องหมายการค้าของโคคา-โคลา ซึ่งสร้างความยอมรับในกลุ่มผู้บริโภคน้ำอัดลมสีดำมาเป็นเวลานานจนยากที่จะทำให้บริษัทคู่แข่งอื่นๆ สามารถเบียดเข้ามามีส่วนแบ่งทางการตลาดได้
หลังจากที่ได้มาประจำการที่มุมไบ ผมได้ทำการศึกษาเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาในอินเดียแล้วพบว่าการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในอินเดียมีรูปแบบของปัญหาที่คล้ายคลึงกับของไทยมาก เนื่องจากความมีจิตสำนึก (Conscience) ในการไม่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของคนอินเดียยังมีน้อย โดยเท่าที่สำรวจดูตามสถานีรถไฟใหญ่ๆ ในเมืองมุมไบ อย่างเช่นสถานี Victoria Terminus หรือที่คนอินเดียจะเรียกว่า VT หรือสถานี Church Gate จะมีแผงวางขายแผ่น DVD ปลอมของภาพยนตร์ทั้งของอินเดียเองและของต่างประเทศรวมทั้งซอฟต์แวร์ต่างๆ กันอย่างคึกคัก ซึ่งเป็นภาพที่ชินตาคล้ายกับที่บ้านเรา ทั้งนี้ ยังไม่รวมปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนอินเตอร์เน็ต หรือ Internet Piracy ซึ่งเท่าที่ตรวจสอบดูแล้วก็พบว่ามีเว็บไซต์ให้ดาวน์โหลดภาพยนตร์และเพลงอีกมากมาย
ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า อินเดียเป็นผู้ผลิตอุตสาหกรรมภาพยนตร์และอุตสาหกรรมเพลงที่มีชื่อเสียงมากที่ทุกท่านคงทราบดีในชื่อ Bollywood ซึ่งผลิตภาพยนตร์ปีละมากกว่า 150 เรื่อง และมีรายได้มากกว่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่อุตสาหกรรมงานสร้างสรรค์ดังกล่าวก็ไม่อาจผลักดันให้รัฐบาลปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเป็นรูปธรรมได้
หน่วยงานราชการที่ดูแลด้านทรัพย์สินทางปัญญาของอินเดียคือ CGPDTM หรือชื่อเต็มว่า Controller General of Patents Designs and Trademark ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองมุมไบ แต่ก็มีสำนักงานสาขาอยู่ที่เมืองใหญ่ๆ ทั่วอินเดีย เช่น นิวเดลี เจนไน และ โกลกาตา เป็นต้น ทั้งนี้ CGPDTM ก็อยู่ภายใต้กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดีย คล้ายกับบ้านเราเช่นกัน โดยทรัพย์สินทางปัญญาที่ดูแลก็มีทุกด้าน เช่น สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า ออกแบบผลิตภัณฑ์ และสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ส่วนการคุ้มครองด้านลิขสิทธิ์ไม่ได้อยู่ภายใต้หน่วยงานนี้ คล้ายๆ กับบ้านเราสมัยก่อนที่การคุ้มครองลิขสิทธิ์ไปอยู่ที่กรมศิลปากร ก่อนที่จะย้ายไปให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาดูแลในปัจจุบัน
จุดที่โดดเด่นที่สุดในประเทศอินเดียที่ผมมองไม่ใช่เรื่องการเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา แต่เป็นเรื่อง ความสามารถในด้านการผลิต (Competent facility) ทั้งนี้ อินเดียมีอุตสาหกรรมยาที่เข้มแข็ง และสามารถผลิตยาสามัญ (Generic Drug) ซึ่งหมดอายุการคุ้มครองของสิทธิบัตรไปแล้วให้ประชาชนทั่วไปกว่า 1.2 พันล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนยากจนได้เข้าถึงในราคาที่ต่ำ นอกจากนี้ ยังมีความสามารถในการผลิตใช้เพื่อการบริโภคในประเทศและยังสามารถส่งออกไปขายต่างประเทศได้อีก ซึ่งสัดส่วนการบริโภคในประเทศต่อการส่งออกอยู่ที่ 42:58% โดยมียอดการส่งออกมากกว่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีงบประมาณปี 2013-2014 โดยอินเดียหวังว่าจะมียอดการส่งออกเพิ่มขึ้นกว่า 12% ในปีงบประมาณปี 2014-2015 นี้
อย่างไรก็ดี สหรัฐอเมริกามองทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศอินเดียไม่สู้ดีนัก เมื่อหน่วยงานผู้แทนการค้าของสหรัฐอเมริกาหรือ USTR ได้ออกรายงานที่มีชื่อว่า Special 301 ประจำปี 2014 ซึ่งรายงานดังกล่าวถูกตั้งชื่อตามสาระสำคัญของพระราชบัญญัติ Trade Act ปี 1974 มาตรา 301 ซึ่งได้ประเมินอินเดียให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List) หรือ PWL เช่นเดียวกับไทย โดยประเด็นหลักๆ ในรายงานก็ได้กล่าวถึงระบบทรัพย์สินทางปัญญาของอินเดียที่ยังไม่ทันสมัย ใช้ระบบการจดทะเบียนแบบดั้งเดิมคือ กระดาษ (Paper-base) ยังไม่เปลี่ยนเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic-base) และกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่ยังไม่ทันสมัย +
ทั้งนี้ ผลการถูกจัดให้อยู่ใน PWL ย่อมส่งผลกระทบถึงสิทธิประโยชน์ในด้านการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐอเมริกาอย่างแน่นอน ก็ต้องคอยติดตามกันต่อไปว่าอินเดียจะจัดการเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไร...น่าสนใจมากครับ
โดย ณพเกษม โชติดิลก
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,995 วันที่ 26 - 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557