แบรนด์เพชรอินเดียระดับโลก
จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่อยู่อินเดียมาเกือบ 3 ปี เคยเชื่อว่าผู้หญิงอินเดียส่วนใหญ่ชอบเครื่องประดับที่ดูอลังการและขนาดใหญ่เตะตาชาวบ้านแบบที่ไม่สามารถใส่ในชีวิตประจำวันได้ไปทำงานทุกวันได้ และไม่เคยคิดว่าเครื่องประดับเรียบ ๆ ที่ทำจากเพชรจะสามารถชนะใจสาวอินเดียได้ แต่ความคิดนั้นได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงหลังจากผู้เขียนได้มีโอกาสไปร่วมงานของร้านเพชรชื่อดัง Nirav Modi ย่าน Lower Parel ที่เมืองมุมไบ
แบรนด์ Nirav Modi เป็นแบรนด์ชั้นนำในอินเดีย แม้จะก่อตั้งขึ้นมาโดยคุณ Nirav Modi ได้ไม่ถึง 4 ปี เนื่องจากคุณ Modi เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในธุรกิจเพชรที่โชกโชนตั้งแต่วัยเยาว์ มีพื้นเพมาจากครอบครัวที่ทำธุรกิจค้าเพชรมาตั้งแต่สมัยปู่จนถึงสมัยคุณพ่อ มีคุณลุงอย่าง Mehul Choksi ซึ่งเป็นประธานของบริษัท Gitanjali Gems แบรนด์เครื่องประดับเพชรชั้นนำอีกแบรนด์ของอินเดีย จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาในแวดวงนี้เองทำให้คุณ Nirav Modi มีชื่อเสียงในระดับโลก กลายเป็นนักออกแบบเครื่องประดับเพชรสัญชาติอินเดียคนแรกที่มีผลงานติดระดับงานประมูลของ Christie’s ซึ่งปกติจะมีเพียงแบรนด์ดังระดับโลก เช่น Cartier, De Beers, Bvlgari เท่านั้น และปัจจุบัน คุณ Nirav Modi เป็นเศรษฐีอันดับ 63 ของอินเดีย และอันดับ 1,372 ของโลก มีทรัพย์สมบัติมูลค่ากว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ที่มา Forbes ฉบับกันยายน 2557) จุดเด่นของแบรนด์ Nirav Modi คือเน้นตลาด High End เป็นหลัก และเลือกใช้เพชรที่มีประกายเจิดจรัสที่สุด ใช้โลหะน้อยที่สุด เพื่อให้เครื่องประดับมีน้ำหนักเบาและสามารถสังเกตเห็นตัวเพชรได้จากทุกด้านเมื่อสวมใส่ โดยนำเข้าเพชรคุณภาพเยี่ยมจากทั่วโลก เช่น เพชรสีขาวจากรัสเซียและอาร์เมเนีย เพชรสีเหลืองจากเซียร์ราลีโอน และเพชรสีชมพูจากเหมือง Argyle ที่ออสเตรเลีย
ปัจจุบัน แบรนด์ Nirav Modi ถือว่าเป็นแบรนด์ที่มีความ exclusive มาก มีร้านขายเครื่องประดับที่อินเดียเพียงสองร้านคือที่เมืองมุมไบและที่กรุงนิวเดลี โดยทั้ง 2 ร้านไม่รับลูกค้า walk in ต้องโทร.นัดก่อนเท่านั้น และเร็วๆ นี้ Nirav Modi ก็มีแผนที่จะเปิดสาขาที่นิวยอร์กและฮ่องกงด้วย สาเหตุที่แบรนด์เพชรดังๆ อย่าง Nirav Modi เลือกที่จะปักหลักที่มุมไบเป็นเพราะเมืองมุมไบเป็นหนึ่งในหก Diamond Hubs หรือศูนย์กลางการค้าเพชรแห่งใหญ่ของโลก เทียบเคียงได้กับเมืองอานท์เวิร์ป เบลเยียม, นิวยอร์ก, เทลอาวีฟ อิสราเอล, ดูไบ, และฮ่องกง มีมูลค่าการค้าเพชรต่อปีระหว่าง 2.5 - 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นที่ตั้งของบริษัทค้าเพชรกว่า 2,500 บริษัท และเพชรกว่า 60% ที่อินเดียส่งออกก็ล้วนแต่มาจากเมืองมุมไบ
ข้อมูลข้างต้นนี้แสดงให้เห็นว่า คนรุ่นใหม่ที่อินเดียหันมานิยมเครื่องประดับเพชรมากยิ่งขึ้นเนื่องจากมักมีขนาดที่กะทัดรัดกว่าและสามารถใส่ได้ทุกวันทุกโอกาส การพัฒนาของธุรกิจทำให้ปัจจุบันร้านเพชรหลายแห่งมีการออกใบรับรองคุณภาพและที่มาของเพชรและยังมีประกันการรับซื้อคืนอีกด้วย การซื้อเพชรจึงกลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการออมทรัพย์ของชาวอินเดียแทนการซื้อทองคำหรือทองรูปพรรณ ปัจจุบัน อินเดียเป็นประเทศที่ซื้อเพชรมากที่สุดในโลกโดยปริมาณ ซื้อทองคำมากเป็นอันดับที่ 2 และแพลทินัมเป็นอันดับ 4 ของโลก ตลาดค้าปลีกเพชรในอินเดียจึงมีอนาคตที่สดใส บริษัทระดับโลกอย่าง De Beers ก็เห็นโอกาสและได้เปิดร้าน Forevermark ที่อินเดียตั้งแต่ปี 2554 จนขายดิบขายดีไล่ตามตลาดในสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่นและฮ่องกงมาติด ๆ
นอกจากร้าน Forevermark แล้ว แบรนด์อื่น ๆ ของอินเดียในระดับรองลงมา เช่น Tanishq, Gitanjali, D’damas, Nakshatra, Asmi, Nirvana, Gili, Kiah, Orra, Sangini และ Adora ก็ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน รวมถึงร้านเพชร์ออนไลน์อย่าง CaratLane.com ที่มียอดขายเฉลี่ยวันละ 35,000 รูปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชาวอินเดียกล้าซื้อเพชรออนไลน์ บางครั้งก็มีผู้ที่กล้าซื้อเพชรที่มีมูลค่าสูงมากถึง 1 ล้านรูปีทีเดียว โดยลูกค้าออนไลน์ส่วนใหญ่จะเป็นชาวอินเดียในเมืองขนาดกลางหรือขนาดเล็กที่ไม่มีร้านค้าเพชรตั้งอยู่ กลุ่มลูกค้าเพชรหลักในอินเดียคือกลุ่มผู้หญิงอายุ 25 - 50 ปี โดยชาวนิวเดลีครองแชมป์นักช็อปเพชรอันดับหนึ่งในอินเดีย ตามด้วยบังกะลอร์ มุมไบ ไฮเดอราบาด เจนไน และปูเน่ โดยชาวอินเดียภาคเหนือจะให้ความสำคัญกับขนาดและแบบแนวคลาสสิก ในขณะที่ชาวอินเดียทางตะวันตกจะให้ความสำคัญกับความใสไร้ตำหนิและแบบที่ทันสมัยไม่ซ้ำใคร ส่วนชาวอินเดียทางใต้จะนิยมเพชรใสๆ ในสไตล์อินเดีย
เมืองไทยเราถึงแม้จะไม่ใช่ศูนย์กลางการค้าเพชร แต่เรามีช่างฝีมือและนักออกแบบเครื่องประดับไฟแรงจำนวนไม่น้อย ซึ่งหากลองศึกษาตลาดและความนิยมของชาวอินเดียแล้ว อินเดียก็น่าจะเป็นตลาดที่มีศักยภาพของไทย ที่สำคัญชาวอินเดียชั้นกลางสมัยใหม่ที่มีกำลังซื้อมหาศาลเริ่มสนใจสินค้าจากต่างประเทศที่มีรูปแบบและดีไซน์ที่แปลกใหม่และเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นจุดเด่นจองอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทยอยู่แล้ว
โดย กนกภรณ์ คุณวัฒน์
สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 3,001 วันที่ 16 - 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557