สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์: 15 - 21 เมษายน 2560 (อินเดีย)
1. Chinese daily ระบุว่า ความร่วมมือในการค้าออนไลน์ระหว่างจีนและอินเดียมีศักยภาพสูง
China-India e-commerce collaborations show potential, says Chinese daily
ปักกิ่ง: สำนักข่าวจากจีนรายงานว่า ความร่วมมือทางอินเตอร์เนทระหว่างจีนและ อินเดียสามารถนำไปสู่การเกิดการใช้ตลาด ร่วมกันของทั้งสองประเทศ Flipkart ผู้ค้า ปลีกในระบบออนไลน์รายใหญ่ของอินเดีย กล่าวว่าได้รับเงินลงทุนกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากบริษัทมากมาย รวมถึง บริษัทผู้บริการอินเตอร์เนทรายใหญ่จากจีนอย่าง Tencent Holdings
บทความที่มีชื่อว่า “China-India e-commerce collaborations show promising potential for cooperation” จาก the Global Times ระบุว่า “การค้าของอินเดียใน ต่างประเทศ มีความเป็นไปได้ที่ความร่วมมือทางอินเตอร์เนทจะนำไปสู่การรวมตลาดของทั้งสอง ประเทศ เพราะตลาดออนไลน์จะช่วยให้ผู้ค้าสามารถเข้าถึงผู้บริโภคจากทั้งสองประทศได้โดยตรง”
ที่มาภาพ : economictimes.indiatimes.com
“เมื่อมีการรวมตลาดเข้าด้วยกัน 1+1 จะมีค่ามากกว่าสอง หากบริษัทจากทั้งประเทศ สามารถดึกเอาจุดแข็งทางเศรษฐกิจมากระตุ้นอุปสงค์ในประเทศให้มีขนาดใหญ่ได้”
กล่าวกันว่าประชากรโลกประมาณ 1 ใน 3 อยู่ที่ประเทศจีนและอินเดีย ซึ่งทั้งสองคือ ประเทศที่กำลังมีฐานเศรษฐกิจที่ดีจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของชนชั้นกลาง “การรวมตลาด เศรษฐกิจจะสามารถสร้างศักยภาพอันล้มหลามของตลาดและจะผลักดันเศรษฐกิจของทั้งสอง ประเทศให้ก้าวไปอีกระดับ”
“การรวมตลาดจะส่งผลดีต่อห่วงโซ่อุตสาหกรรมของเอเชีย จากการที่อินเดียได้กลายเป็น ประเทศที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ที่รวมถึงจากจีน ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจากจีน อาจจะส่งผ่านสายการผลิตมาสู่อินเดีย หากอุปสงค์ของสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นในประเทศจากภูมิภาค เอเชียใต้”
มีการยกตัวอย่างของ Flipkart ซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกในระบบออนไลน์ของอินเดียที่ มีการร่วมลงทุนมูลค่า 177 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กับบริษัทยักษ์ใหญ่จากจีนอย่าง Alibaba Group ทำให้ความร่วมมือขนาดใหญ่นี้แสดงให้เห็นว่าเงินทุนและประสบการณ์การตลาดของบริษัทจากจีน มีความจำเป็นต่ออินเดีย ขณะเดียวกันบริษัทจากจีนก็แสดงให้เห็นถึงความสนใจในตลาด ระดับกลางและความสามารถทาง IT ของอินเดียเช่นกัน
จากการที่การรณรงค์แคมเปญ “Make in India” ที่ริเริ่มในรัฐบาลโมดี ทำให้ “อินเดียมี ความต้องการในการสร้างตลาดร่วมกันทั้งประเทศอย่างที่จีนเคยทำมาก่อน การพัฒนาระบบ การค้าออนไลน์จะเป็นหนทางที่มีประสิทธิภาพในการจัดการการปกป้องตลาดในระดับภูมิภาค โดยการก่อตั้งระบบการค้าที่เอื้อต่อผู้ค้าและผู้ซื้อ”
บทวิเคราะห์: ระบบการค้าออนไลน์กำลังเติบโตด้วยดีทั้งในอินเดียและจีน ความร่วมมือ กันในตลาดออนไลน์ของทั้งสองประเทศจะเป็นนวัตกรรมทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่มองข้าม อุปสรรคของพรมแดน ซึ่งจะส่งผลดีกับทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ
Source: THE ECONOMIC TIMES. Apr 13, 2017
2. กำรจัดทำข้อตกลงกำรค้าเสรีอินเดีย – ออสเตรเลียมีความคืบหน้า
Having good look at proposed FTA with India: Australia
เมลเบิร์น: ภายหลังการเดินทางเยือนอินเดียของนายกรัฐมนตรี Malcolm Turnbull รัฐบาลออสเตรเลียกล่าวว่า รัฐบาลกำลังเพ่งเล็งไปที่การเริ่มเจรจาจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี ระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งถือเป็นตลาดธุรกิจและจำนวนผู้บริโภคจำนวนมาก โดยการเดินทางเยือน ของนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียในต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการหยิบยกประเด็นเรื่อง ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างทั้ง 2 ประเทศขึ้นมาพูดคุยกันอีกครั้ง
ที่มาภาพ : economictimes.indiatimes.com
ทั้งนี้ผู้นำทั้งสองประเทศ มองเห็นปัญหาเดียวกันเกี่ยวกับการ จัดทำและการเจรจาที่ล่าช้ามาโดย ตลอด และขอให้หัวหน้าเจรจาจาก ทั้งสองฝ่ายได้พบปะหารือและ พูดคุยกันให้ต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้กรอบข้อตกลงที่มี ประสิทธิภาพ เกิดผลประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย เมื่อปีที่แล้วรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า ออสเตรเลีย Steve Ciobo ประกาศว่าการจัดการปัญหาต่างๆในข้อตกลงนี้ โดยเขากล่าวว่าการ เจรจาข้อตกลงดังกล่าวเกินปัญหาเกี่ยวกับขอบเขตข้อตกลงที่แต่ละประเทศยืนกันคนละจุด โดยเฉพาะความต้องการของอินเดีย ที่ขยายขอบเขตเกินกว่าที่ออสเตรเลียจะสามารถกระทำได้ และอยู่นอกเหนือแผนการของรัฐบาล ส่งผลให้รัฐบาลออสเตรเลีย ไม่สามารถเจรจาไปได้ไกลเกิน กว่าขอบเขตที่ตนได้วางไว้ ซึ่งจะส่งให้ออสเตรเลียเสียผลประโยชน์แห่งชาติให้กับประเทศอินเดีย
ปัญหาเรื่องอัตราค่าบริการและการเคลื่อนย้ายแรงงานถือเป็นประเด็นที่น่าห่วงระหว่างทั้ง สองฝ่าย ในขณะเดียวกัน Ciobo ที่ได้มีการเดินทางไปเจรจาและสร้างข้อตกลงการค้าเสรีกับ ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียและส่งเสริมอาหาร เครื่องดื่ม บริการทางการเงิน และภาคสุขภาพของออสเตรเลียให้เป็นที่รู้จักของประเทศต่างๆ มากยิ่งขึ้น โดยกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ เศรษฐกิจกำลังเติบโต เป็นเป้าหมายหลักที่รัฐบาลออสเตรเลียไม่สามารถละเลยได้
การเจรจาข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจแบบครบวงจร (CECA) หรือเอฟทีเอระหว่าง สองประเทศเริ่มขึ้นในปี พ. ศ. 2554 เพื่อเป็นการเพิ่มการค้าและการลงทุนในระดับทวิภาคี ทั้ง สองฝ่ายคาดว่าจะสามารถเจรจาได้ภายในเดือนธันวาคม 2558 อย่างไรก็ตามด้วยความแตกต่างใน ข้อเสนอด้านต่างๆเช่น การลดภาษีผลิตภัณฑ์ นม และไวน์ ส่งผลให้เกิดการเจรจาที่ต่อเนื่อง ยาวนาน แต่ถือได้ว่าการเจรจาในหลายๆรอบที่ผ่านมามีการตกลงในการลดภาษีในหลายประเทศ สินค้ามากยิ่งขึ้น ถือเป็นแนวโน้มที่สดใสของทั่งสองประเทศ
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่าอินเดียและออสเตรเลียมีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสองประเทศสามารถออกมาเป็นรูปเป็นร่างโดยเร็ว เพื่อให้เกิด ประโยชน์ต่อระบบการค้าระหว่างประเทศของทั้งสองประเทศ ในขณะเดียวกันการพยายามเพิ่ม การเจรจาของออสเตรเลียกับประเทศเอเชีย
ข้อเสนอแนะ: ควรมีการติดตามรายละเอียดสินค้าที่ออสเตรเลียและอินเดียเจรจาร่วมกัน ในการลดกำแพงภาษีภายใต้กรอบข้อตกลงการค้าเสรี ว่ามีสินค้าใดบ้าง ที่จะส่งผลกระทบต่อ ประเทศไทย ในการส่งออกสินค้ามายังประเทศอินเดีย
Source: THE ECONOMIC TIMES. Apr 18, 2017
3. LG มีแผนที่จะให้อินเดียเป็นศูนย์กลางของการส่งออก
LG plans to make India export hub
ที่มาภาพ : economictimes.indiatimes.com
บริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลีอย่าง LG กำลังมองหาวิธีการในการทำให้อินเดียเป็น ศูนย์กลางของการส่งออก เนื่องจากปัจจุบัน ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีและจีนลดลง Ki Wan Kim กรรมการผู้จัดการใหญ่ LG Electronics อินเดีย กล่าวว่า หนึ่งในเหตุผลหลักที่บริษัทต้องการให้อินเดียเป็นศูนย์กลาง การส่งออก เนื่องจากเกิดความตึงเครียดระหว่างเกาหลีและจีน โดยในปัจจุบัน LG ซึ่งมีสองหน่วย การผลิตในอินเดีย ที่ส่งออกไปยังประเทศในโซนตะวันออกกลางและประเทศในฝั่งตะวันออกของ ทวีปแอฟริกา Wan กล่าวกับ PTI ว่า ในทางกลับกันความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้และอินเดียมี การปรับปรุงขึ้น บริษัทเกาหลีทั้งหมดได้เริ่มเห็นอินเดียเป็นฐานการผลิตเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ ไม่ เพียงแต่ผลิตสำหรับอินเดียเท่านั้น แต่สำหรับพื้นที่อื่นๆอีกด้วย นอกจากนี้เขายังยืนยันว่าเขากำลัง มองหาประเทศที่มีการผลิตน้อยหรือไม่มีเลย
โดยก่อนหน้านี้ LG เคยใช้บริการตลาดแบบดังกล่าว จากประเทศจีน แต่กำลังค่อยๆลดลง โดยในปัจจุบันเขาส่งออกสินค้าจาก Noida และ Pune ไป ยังประเทศตะวันออกกลางซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน และแอฟริกา (ชายฝั่งตะวันออกของทวีป) ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้อินเดียเป็นศูนย์กลางการ ส่งออก คือ อินเดียเป็นประเทศที่กำลังมีความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจมากขึ้น และมี ระบบการเก็บภาษีที่โปร่งใส มีหลักประกัน พร้อมกับระบบการเมืองที่มั่นคงจะช่วยในการเป็น ศูนย์กลางการผลิตที่ใหญ่ขึ้น โดย LG สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ทุกเมื่อ ซึ่งบริษัทเพิ่งฉลอง ครบรอบ 20 ปี ของการด าเนินงานในอินเดียในปีนี้ ส าหรับปีนี้ LG มีอัตราการเติบโตสูงมากเมื่อเทียบกับในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
อินเดียเป็นตลาดที่ใหญ่หนึ่งในห้าอันดับแรกของโลก สำหรับหมวดสินค้าคงทนสำหรับผู้บริโภคของ LG โดยมี 4 ประเทศที่เหลือ คือ สหรัฐอเมริกา เกาหลี บราซิล และรัสเซีย ในช่วงสองทศวรรษของ LG ที่เดินทางเข้ามาในอินเดีย ถือเป็น ความสำเร็จของ LG เนื่องจากอินเดียมีบริษัทจำนวนมากที่เข้ามาลงทุนที่นี่ แต่ LG ได้กลายเป็นที่ หนึ่งจากความสำเร็จดังกล่าวในอินเดีย เกิดจาก LG สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ที่แตกต่างกันได้ โดยความต้องการของผู้บริโภคในพื้นที่ต่างๆของอินเดียแตกต่างกันออกไป ความ ต้องการของผู้บริโภคในอินเดียใต้ต่างจากของภาคเหนือหรือภาคตะวันออก เพราะฉะนั้น LG จึงมี ทีมงานวิจัยและพัฒนาที่เข้มแข็ง ซึ่งช่วยในการระบุความต้องการเฉพาะของผู้บริโภค เพื่อให้ สามารถส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับพวกเขาได้
บทวิเคราะห์: การที่อินเดียที่ระบบภาษีที่โปร่งใส่ และระบบการเมืองที่นิ่ง ทำให้บริษัทจาก ต่างประเทศเกิดความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาลงทุนในอินเดียมากขึ้น ดังนั้นถือเป็นความสำเร็จอย่าง หนึ่งของรัฐบาลที่พยายามปฏิรูประบบฐานภาษีให้โปร่งใสมากยิ่งขึ้น
Source: THE ECONOMIC TIMES. Apr 18, 2017
4.เศรษฐกิจจะโตขึ้นเป็นร้อยละ 7.2 ในปีงบประมาณ 2018 เนื่องจากแรงบวกด้าน GST : ธนาคารโลก
Economy to grow 7.2% in FY18; GST to have positive impact: World Bank
ที่มาภาพ : economictimes.indiatimes.com
รายงานของธนาคารโลกระบุว่า ใน ปีงบประมาณนี้เศรษฐกิจของอินเดียมีอัตรา การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ร้อยละ 7.2 และพุ่ง ขึ้นสู่ร้อยละ 7.5 ในปี 2018-19 ในรายงาน เรื่องเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียใต้ ธนาคารโลกกล่าวว่า "ความเสี่ยงที่สำคัญ" ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอาจเกิดจากการใช้ นโยบายยกเลิกธนบัตร 500 และ 1,000 รูปี ที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจขนาดเล็ก และไม่เป็นทางการ ความตึงเครียดในภาคการเงิน และความไม่แน่นอนในสภาพแวดล้อมโลก นอกจากนี้การเพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็วของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ อาจส่งผลลบต่อเศรษฐกิจได้ โดยใน รายงานฉบับนี้กล่าวว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.2 ใน ปีงบประมาณนี้ เป็นร้อยละ 7.5 ในปี 2018-19
ธนาคารโลกกล่าวว่า การเติบโตของ เศรษฐกิจชะลอตัวลงสู่ร้อยละ 6.8 ในปี 2016-17 เนื่องจากการลงทุนที่อ่อนแอ และผลกระทบ จากการใช้นโยบายยกเลิกธนบัตร และนอกจากนี้การใช้ GST ในเวลาอันรวดเร็ว และราบรื่นถือ เป็นผลดีส าหรับเศรษฐกิจในปี 2017-18 ตามรายงานการเติบโตทางเศรษฐกิจคาดว่าจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 7.7 ภายในปี 2019-20 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการลงทุน ภาคเอกชน ในส่วนของภาครัฐเองคาดว่าจะมีการขยายตัวในการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
ธนาคารโลกรายงานว่า demonetisation ทำให้เกิดวิกฤติกระแสเงินสด และกิจกรรมใน ภาคที่พึ่งพาเงินสดได้รับผลกระทบ ส่งผลให้การเติบโตของ GDP เริ่มชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 7 ใน ไตรมาสที่สามของปี 2016-17 จากร้อยละ 7.3 ในช่วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ
ปัจจัยภายนอกที่มีอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังของ ช่องว่างระหว่างประเทศอินเดีย และสหรัฐที่ลดลง และมีช่องโหว่ด้านความเสี่ยงจากภายนอก เนื่องจากบัญชีเดินสะพัดขาดดุล โดยปัจจุบันอยู่ต่ำกว่าร้อยละ 2 ของ GDP
ความท้าทายต่อแนวโน้มการขยายตัวที่ดีของอินเดียอาจเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนที่ เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมทั่วโลก และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัว ซึ่งอาจส่งผลต่อ การฟื้นตัวของความต้องการภายนอกได้อย่างมีนัยสำคัญ และนอกจากนี้ความท้าทายสำคัญอีก ประการ คือ ความไม่แน่นอเกี่ยวกับขอบเขตที่นโยบายยกเลิกธนบัตร ก่อให้เกิดกับบริษัทที่มีขนาด เล็ก และที่ไม่เป็นทางการ และการลงทุนภาคเอกชนก็ยังคงเผชิญกับอุปสรรคหลายประการทั้ง ภาระหนี้สินของบริษัท ความตึงเครียดในภาคการเงิน และความท้าทายด้านกฎระเบียบและ นโยบาย
บทวิเคราะห์: จุดแข็งสำคัญของเศรษฐกิจอินเดียประกอบไปด้วย 2 ประการสำคัญ คือ ระบบภาษีที่โปร่งใส และระบบการเมืองที่มั่นคง ซึ่งส่งผลดีต่อการลงทุน และการเจริญโตของ เศรษฐกิจของอินเดียในระยะยาว
Source: THE ECONOMIC TIMES. Apr 18, 2017
5. สื่อจากปักกิ่งออกมาเผยว่า จีนจะไม่นิ่งเฉยหากอินเดียออกมาตรการปกป้องตลาด
China won’t sit idle if India takes protectionist measures: Beijing media
เจ้าหน้าที่สื่อของจีนกล่าวเตือนอินเดีย ว่า อินเดียควรต่อต้านความพยายามที่จะใช้ นโยบายปกป้องตลาดเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิต โทรศัพท์มือถือในอินเดียจากการบุกรุกตลาด โทรศัพท์มือถือจากจีน ไม่เช่นนั้นปักกิ่งจะ ออกมาตรการโต้ตอบ
ที่มาภาพ : economictimes.indiatimes.com
บทความจาก Global Times ระบุว่า บริษัทจากอินเดียกำลังขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลจากการที่พวกเขาต้องพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งจาก จีนในตลาดโทรศัพท์มือถือ และรัฐบาลควรมีมาตรการเก็บภาษีเพิ่มเติมกับโทรศัพท์มือถือที่มาจากจีน
บทความยังระบุอีกว่า “รัฐบาลจีนดูเหมือนว่าจะไม่นิ่งเฉยหากอินเดียมีมาตรการที่ส่งผล กระทบต่อผลประโยชน์ของบริษัทจากจีน เราไม่สามารถขัดขวางความเป็นไปได้ที่จีนจะมีมาตรการ ตอบโต้หากอินเดียใช้มาตรการที่ไม่เป็นธรรมในการปกป้องบริษัทในประเทศ”
“ปักกิ่งและนิวเดลีควรหลีกเลี่ยงสงครามการค้าและส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อ เพิ่มความแข็งแกร่งในความร่วมมือทวิภาคีของทั้งสองประเทศ”
จากคำขวัญรณรงค์ “Make in India” ได้ริเริ่มโดยรัฐบาลโมดี ทำให้อินเดียอยู่ในช่วงของ การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว และเกิดคำถามว่าจะทำอย่างไรในการปกป้องอุตสาหกรรม ภายในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพเป็นเรื่องที่ยากในการจัดการสำหรับรัฐบาล
แม้ว่าการปกป้องสินค้าท้องถิ่นจากการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดระหว่างประเทศสามารถ ซื้อเวลาให้กับการขยายอุตสาหกรรมของท้องถิ่น มาตรการดังกล่าวจะลดความสามารถในการ แข่งขันของบริษัทท้องถิ่นในระยะยาว และจะทำให้เกิดระบบอุตสาหกรรมที่ไม่มีประสิทธิภาพ
“รัฐบาลของนายโมดีได้ใช้ความพยายามอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพื่อทำให้อินเดีย เป็นเป้าหมายที่ดึงดูดการลงทุน ตัวอย่างเช่นการปฏิรูปโครงสร้างภาษี อย่างไรก็ตาม มาตรการการ ปกป้องตลาดจะส่งผลต่อแผนการของรัฐบาลมี่หวังจะยกระดับตัวเลขการลงทุน ซึ่งปัจจุบันจีนคือ หนึ่งในประเทศที่มีเงินลงทุนในอินเดียมาก และอินเดียเองอาจจะไม่สามารถพัฒนาอุตสาหกรรม และส่งเสริมความเป็นสมัยใหม่อย่างสมบูรณ์ หากขาดความช่วยเหลือจากการลงทุนใน ต่างประเทศ”
นอกจากนี้ บริษัทผลิตโทรศัพท์มือถืออย่าง Huawei Technologies Co และบริษัทอื่นๆ ที่เป็นผู้ค้าโทรศัพท์มือถือได้ประกาศว่าจะมีการลงทุนในโครงสร้างอุตสาหกรรมผลิตโทรศัพท์มือถือ ในอินเดีย นั่นหมายความว่ามาตรการการเก็บภาษีเพิ่มต่อบริษัทจากจีนจะส่งผลเสียกับแรงงาน ของอินเดียที่อยู่ภายใต้บริษัทจากจีน
บทวิเคราะห์์: ทั้งจีนและอินเดียต่างมีความจำเป็นทางเศรษฐกิจต่อกันและกัน เนื่องจาก อินเดียต้องการเงินลงทุนและสินค้าจากจีน ในขณะที่จีนเองก็ต้องการตลาดของอินเดีย มาตรการ ต่างๆ ของทั้งสองประเทศที่จะส่งผลให้เกิดสงครามการค้าจะไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองประเทศ ดังนั้น จึงเป็นไปได้ยากที่สงครามการค้าของทั้งสองประเทศจะเกิดขึ้น
Source: THE ECONOMIC TIMES. Apr 18, 2017