สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์: 22 - 28 เมษายน 2560 (อินเดีย)
1. มาตรการตอบโต้ภาษีการทุ่มตลาดที่อาจมีการนำเข้าจาก 6 ประเทศ
นิวเดลี: อินเดียอาจกำหนดภาษีมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดที่ 118 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน การนำเข้าสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่นการกัดกร่อนและการฟอกสีจาก 6 ประเทศ อาทิ เกาหลี อินโดนีเซียและปากีสถาน การเคลื่อนไหวดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องผู้ค้าในประเทศ จากการนำเข้าไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์จากประเทศบังคลาเทศ ไต้หวัน เกาหลี ปากีสถาน และ ไทย
จากการตรวจสอบของกระทรวงพาณิชย์อินเดีย – อธิบดีของ DGAD – ได้ข้อสรุปสุดท้าย ว่าสารเคมีถูกกองอยู่ในอินเดียซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ บริษัท เพอร์เปอร์ออไซดแ์ห่งชาติ และ บริษัท ฮิวสตันอินทรีย์เคมีภัณฑ์ จำกัด ได้ยื่นคำร้องต่อการสอบสวนการทุ่มตลาด
DGAD ได้มีการแจ้งเตือน "แนะนำให้มีการจัดเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด" เพื่อขจัดความ เสียหายให้กับอุตสาหกรรมภายในประเทศโดยแนะนำให้เก็บในช่วง 16.91 เหรียญสหรัฐฯต่อตันถึง 117.9 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่ DGAD แนะนำหน้าที่กระทรวงการคลังเรียกเก็บเงินเหมือนกัน
การนำเข้าไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เพิ่มขึ้นเป็น 67,300 ตันในช่วงเดือนเมษายน 2014 ถึง เดือนมิถุนายน 2015 จาก 17,464 ตันในปี 2011-12 สารเคมีนั้นถูกใช้โดยอุตสาหกรรมต่างๆเพื่อ ควบคุมการกัดกร่อนการฟอกสีกระดาษและเยื่อกระดาษ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการบำบัด น้ำยาฆ่าเชื้อและแบคทีเรีย
อินเดียเริ่มต้นการตรวจสอบการทุ่มตลาดเพื่อตรวจสอบว่าอุตสาหกรรมภายในประเทศ ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าที่ต่ำกว่าต้นทุน เป็นมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด โดยมาตรการเหล่านี้เป็นไปตามกฎขององค์กรการค้าโลกขององค์การการค้าโลก
มาตรการนี้ยังช่วยให้เกิดการค้าที่เป็นธรรมโดยการให้เป็นธรรมในการแข่งขันกับ อุตสาหกรรมภายในประเทศ มาตรการเหล่านี้ไม่ใช่มาตรการเพื่อจำกัดการนำเข้าหรือก่อให้เกิด ต้นทุนสินค้าที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งมาตรการภาษีป้องกันการทุ่มตลาดแตกต่างกันไปในแต่ละบริษัทต่อ บริษัท และแต่ละประเทศต่อประเทศ
Source: THE ECONOMIC TIMES. Apr 18, 2017
2. ประเทศศรีลังกามีความพยายามอย่างมากในการเพิ่มความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับ ประเทศอินเดีย
Sri Lanka keen to boost economic ties with India: Ranil Wickremesinghe
โคลัมโบ: นายกรัฐมนตรีศรีลังกา นาย Ranil Wickremesinghe ได้กล่าวว่าประเทศศรีลังกามีความพยายามอย่างมากในการเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศอินเดีย ผ่านการพัฒนาเมืองท่ายุทธศาสตร์ชายฝั่งตะวันออกของเมือง Trincomalee ซึ่งคาดว่าจะมีการเจรจากัน เพิ่มมากยิ่งขึ้น ในการเยือนอินเดียของ นายกรัฐมนตรี
โดยการเจรจาระหว่างอินเดียและศรีลังกาในครั้งนี้ มุ่งเน้นที่การขยาย ความสัมพันธ์ทางด้านการค้าและ ความสัมพันธ์ในอีกหลากหลายด้าน โดนหนึ่ง ในโครงการสeคัญที่ศรีลังกาพยายามผลักดัน และขยายความร่วมมือคือการพัฒนาเมืองท่า ชายฝั่งตะวันออกของเมือง Trincomalee โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการพัฒนาระบบขนส่งก๊าซ LPG มายังเมืองดังกล่าวโดยอาศัยความ ร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่น
Source: THE ECONOMIC TIMES
อินเดียและศรีลังกาจะร่วมกันดำเนินการจัดตั้งคลังเก็บน้ำมันที่เมืองท่าทางยุทธศาสตร์ ตะวันออกของเมือง Trincomalee โดยจำนวนการจัดเก็บน้ำมันอย่างน้อย 73 จาก 99 คลังเก็บ น้ำมันในเมืองดังกล่าว จะต้องได้รับการจัดการภายใต้ข้อตกลงระหว่างสองประเทศ โดยการเยือน ครั้งนี้ของนายกรัฐมนตรีศรีลังกาเป็นผลสำคัญจากหมายกำหนดการเยือนประเทศศรีลังกาของนาย รัฐมนตรี Narendra Modi ในช่วงกลายเดือนพฤษภาคม เพื่อร่วมฉลองงานวิสาขบูชา อันถือเป็น เทศกาลสำคัญทางพุทธศาสนา โดยเฉพาะในศรีลังกา
ทั้งนี้การเดินทางเยือนครั้งนี้ของนายกรัฐมนตรีศรีลังกายังเป็นการติดตามความร่วมมือที่ สำคัญเกี่ยวกับการเจรจาข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเทคนิค (ETCA) กับอินเดีย ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวถูกต่อต้านอย่างหนักจากกลุ่มสหภาพแรงงานและสมาคมหอการค้า ภายในประเทศศรีลังกา โดยนายกรัฐมนตรีศรีลังกามีความพยายามอย่างหนักที่จะแก้ไขข้อตกลง ดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2017
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่าประเทศเพื่อนบ้านของอินเดียอย่างศรีลังกา มีความพยายามในการขยายความร่วมมือที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นกับประเทศอินเดีย ซึ่งส่งผลดีต่อภาคการลงทุน โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ทางใต้ของประเทศอินเดียที่มีพรมแดนติดกับประเทศศรีลังกา จึงถือเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับนักลงทุนไทยที่มีความคาดหวังเข้ามาเปิดตลาดการค้าภายในประเทศอินเดีย
ข้อเสนอแนะ: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่าการเดินทางเยือนครั้งนี้มีการผลักดันให้เกิด ข้อตกลงจำนวนหลายฉบับ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจและนำเสนอ รายละเอียดของข้อตกลงดังกล่าว เพื่อเป็นประโยชน์แก่นักลงทุนชาวไทย ในการแสวงหา ผลประโยชน์ที่เพิ่มมากขึ้นจากความร่วมมือทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ
Source: THE ECONOMIC TIMES. Apr 22, 2017
3. อินเดียมีการส่งออกมะม่วงไปยังประเทศออสเตรเลียเป็นครั้งแรก
India to export mangoes to Australia for the first time
เมลเบิร์น: อินเดียอาจส่งออกมะม่วงที่ผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัยทางชีวภาพไปยัง ออสเตรเลียเป็นครั้งแรกหลังจากมีการปรับปรุงแนวทางการนำเข้าสินค้า เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อ เศรษฐกิจของออสเตรเลีย โดยการนำเข้ามะม่วงดังกล่าวเพื่อทดแทนช่วงขาดมะม่วงในบางช่วง ฤดูกาลของออสเตรเลีย อย่างไรก็ตามการนำเข้ามะม่วงจากอินเดียต้องวางอยู่พื้นฐานความ ปลอดภัยทางด้านชีววิทยา อันเป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานของประเทศออสเตรเลีย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศ ออสเตรเลียมีการนำเข้ามะม่วงจากหลาย ประเทศ อาทิ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และ เม็กซิโก โดยออสเตรเลียกำลังเริ่มจะมีการ นำเข้ามะม่วงจากอินเดียมากขึ้น ภายหลัง จากที่อินเดียเริ่มส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา
Source: THE ECONOMIC TIMES
ทั้งนี้ยังคงมีปัญหาในเรื่องความไม่แน่นอน ของขนาดและคุณภาพของมะม่วงที่จะถูก ส่งออกมายังออสเตรเลีย ทั้งนี้การส่งออกสินค้ามะม่วงจากอินเดียมายังออสเตรเลียจะมุ่งเน้นการ ส่งสินค้าทางอากาศเป็นหลัก โดยสายพันธ์มะม่วงที่จะมีการนำเข้าจะประกอบไปด้วยสองสายพันธุ์ หลักคือ Alphonso และ Kesar
โดยความแตกต่างของทั้งสองสายพันธ์มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป โดย Alphonso อาจเป็นสายพันธ์มะม่วงที่ต้องมีการตรวจรับรองมาตรฐานที่มีความเข้มงวด แต่ถือเป็นหนึ่งในสายพันธ์มะม่วงที่ดีเป็นอันดับต้นๆของประเทศอินเดีย ในขณะที่สายพันธ์ Kesar มีจุดเด่นที่เหมาะการ การค้าเชิงพาณิชย์ มีราคาที่เหมาะสม มีรสชาติที่ดี และมีขนาดที่พอเหมาะสมอันถือเป็นจุดเด่น สำคัญของมะม่วงสายพันธุ์นี้
การแก้ไขข้อตกลงหลายประการระหว่างประเทศอินเดียกับออสเตรเลียเป็นผลสำคัญให้ การส่งออกมะม่วงของอินเดียไปยังประเทศออสเตรเลียสะดวกมากยิ่งขึ้น รวมถึงการส่งออกมะม่วง ไปยังประเทศอื่นๆด้วย โดยจากข้อมูลของ หน่วยงานพัฒนาการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร แปรรูปของอินเดีย (APEDA) ระบุว่าปัจจุบันการส่งออกมะม่วงของอินเดียมีแนวโน้มที่จะเกินระดับ การค้าในปีที่แล้ว และแตะที่ระดับ 50,000 ตันในปีงบประมาณนี้ เนื่องจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งและ อุปทานของผลไม้ที่มีการส่งออกที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่าแนวโน้มการส่งออกผลไม้ของประเทศอินเดีย โดยเฉพาะมะม่วงมีความสดใสเพิ่มมากยิ่งขึ้น จากความพยายามในการแก้ไขปัญหาข้อตกลงทาง การค้าระหว่างกัน การเพิ่มปริมาณการส่งออกสินค้าดังกล่าว ถือว่าส่งผลกระทบโดยตรงต่อ เศรษฐกิจการส่งออกผลไม้ของไทย ที่ถือได้ว่าเป็นตลาดขนาดใหญ่
ข้อเสนอแนะ: ควรศึกษาผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ รวมถึงส่วนแบ่งทางการตลาดของ สินค้าผลไม้ของประเทศอินเดียในประเทศอื่นๆ เพิ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อปรับปรุงและพัฒนานโยบาย การส่งเสริมการส่งออกผลไม้ของประเทศไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดการค้าโลก
Source: THE ECONOMIC TIMES. Apr 24, 2017
4. การปฏิรูประบบภาษีของอินเดียจะช่วยให้ความต้องการยกเครื่องระบบภาษีของ Donald Trump ดูง่ายขึ้น
India’s GST challenge makes Donald Trump’s tax overhaul look easy
การเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจที่มี ผู้บริโภคกว่า 1 พันล้านคน ใน 29 รัฐท้องถิ่น 22 ภาษาทางการ และผู้ประกอบการธุรกิจ กว่า 9 ล้านบริษัท จากโครงข่ายภาษีและ กฎเกณฑ์ที่ซับซ้อน และความคิดทางการ เมืองที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ให้เข้ามาสู่ระบบตลาดร่วมที่เป็นหนึ่งเดียว คือความท้าทายที่น่ากังวล
แต่นั่นคือเป้าหมายที่อินเดียพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงระบบภาษีสินค้าและบริการ หลังจากที่ มีการต่อสู้ถกเถียงในประเด็นดังกล่าวทั้งในระดับรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นกว่า 10 ปี การ วางรูปแบบโครงสร้างการค้าเสรี การสนับสนุนให้ผู้คนจ่ายภาษี และการดำเนินความสะดวกให้กับ การทำธุรกิจของประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผ่านการจัดวางระบบภาษี สินค้าและบริการซึ่งจะถูกบังคับใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้
Source: economictimes.indiatimes.com
ปัจจุบันนี้ สินค้าและบริการในอินเดียจะถูกจัดเก็บภาษีที่หลากหลายรูปแบบและอัตรา ตั้งแต่ระดับการผลิตและการเคลื่อนย้ายสินค้าไปยังรัฐต่างๆ ในแต่ละวัน ผู้ขับรถขนส่งสินค้ากว่า 20,000 คน จะต้องรอเข้าคิวที่ยาวกว่า 3 กิโลเมตร เพื่อจ่ายค่าเข้าเมืองเดลีตามจุดตรวจที่มากกว่า 122 จุด ซึ่งการต้องรอจ่ายเงินเพื่อเข้าเมืองดังกล่าวทำให้ความสดของสินค้าลดลง หรือเน่าเสีย ทั้ง ยังเป็นการทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นอีกด้วย
นักเศรษฐศาสตร์จาก Nomura Holdings Inc. กล่าวว่า ภาษีรูปแบบใหม่นี้จะถูกเก็บใน จุดสุดท้ายของการบริโภคเท่านั้น ทำให้อัตราภาษีที่เคยจ่ายจากหลายๆ จุดลดลงอย่างมากมาย ยัง ช่วยให้ผู้ผลิตได้รับความน่าเชื่อถือจากการลดการคอร์รัปชันจากการต้องจ่ายภาษีจากหลายจุด ส่วนรถขนส่งสินค้าจากที่ต้องรอเข้าคิวตามจุดตรวจก็สามารถร่นเวลาการขนส่งได้กว่าครึ่งจากเดิม รัฐบาลของนายโมดีกล่าวว่า การใช้ระบบภาษีใหม่นี้จะช่วยให้การเติบโตมากกว่าร้อยละ 2
ต่อไปนี้บทความจะนำเสนอความท้าทายและผลตอบแทนจากการปฏิรูประบบภาษีขนานใหญ่ของ อินเดีย
ขอบเขต
ผลที่ตามมาจากการที่อินเดียปฏิรูประบบภาษีสินค้าและบริการคือการสร้างพื้นที่เสรีทาง การค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง จากการที่อินเดียมีประชากรกว่า 1.3 พันล้านคน ซึ่งมากกว่า สหรัฐฯ ยุโรป แคนาดา และออสเตรเลียรวมกัน และมีรัฐมากกว่าในสหภาพยุโรปที่มี 28 รัฐ
ระบบภาษีใหม่นี้จะแทนที่โครงสร้างภาษีเดิมที่มีใน 17 รัฐ ในภาษีทุกอย่างตั้งแต่ไฟฟ้า จนถึงกระเป๋า Gucci ไปจนถึงการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนแต่ละรัฐ รัฐต่างๆ ในอินเดียปัจจุบันมี การตั้งระบบภาษีของตัวเอง ไม่ว่ารัฐที่มีประชากรมากที่สุดอย่างรัฐ Uttar Pradesh ซึ่งมี ประชากรเท่ากับประเทศบราซิล หรือรัฐที่มีขนาดเล็กทางชายฝั่งอย่าง Goa แต่ระบบภาษีสินค้า และบริการรูปแบบใหม่นี้จะได้ล้มเลิกระบบภาษีของแต่ละรัฐและสร้างระบบภาษีทางอ้อมที่ ประสานเป็นระบบเดียวกันทั่วทั้งประเทศ
ความพยายาม
ประธานาธิบดี Donald Trump กำลังทำสร้างข้อถกเถียงทางการเมืองในการยกเครื่อง ระบบภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งอินเดียต้องใช้เวลากว่า 10 ปีในการปฏิรูประบบภาษีดังกล่าว นายโมดี เองก็เคยต่อต้านระบบภาษีระบบเดียวเมื่อครั้งที่เขาเป็นผู้ว่าการรัฐ Gujarat แต่สุดท้ายเขาก็ เปลี่ยนใจหลังจากขึ้นเป็นผู้นำของอินเดียในปี 2014 หลังจากที่พรรค BJP ของเขาสามารถมีชัยชนะเหนือพรรคตรงข้ามทุกพรรค ซึ่งรวมถึงพรรค the Indian National Congress ซึ่งก็เคย ต่อต้านระบบภาษีนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายเกี่ยวกับ logistics ที่ต้องก้าวผ่านให้ได้ รัฐบาลต้องกัน งบประมาณกว่า 2.8 หมื่นล้านรูปี (435 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในระยะเวลา 5 ปีเพื่อสร้างระบบ โครงข่ายที่สามารถจัดการกับใบกำกับสินค้าต่างๆ ที่มีมูลค่ารวมกว่า 3.6 หมื่นล้านรูปีต่อปี และ จะต้องฝึกอบรมเจ้าหน้าที่กว่า 61,000 คนในการกำกับดูแลงานดังกล่าว บริษัทซอฟต์แวร์ขนาด ใหญ่ของอินเดีย Infosys Ltd. จะเข้ามาช่วยสร้างระบบแกนที่จะสามารถจัดการกับผู้ใช้งาน 55,000 คนในเวลาเดียวกัน ซึ่งโครงสร้างเหล่านี้จะช่วยให้เกิดการบังคับใช้ภาษีอย่างจริงจัง และ ลดการหลีกเลี่ยงภาษี และการกักตุนเงินสด
อัตราภาษี
โครงสร้างภาษีของอินเดียจะประกอบไปด้วย 4 อัตรา ได้แก่ ร้อยละ 5 ร้อยละ 12 ร้อยละ 18 และร้อยละ 28 ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ของรัฐยังไม่มีการประกาศออกมาถึงรายละเอียดสุดท้ายว่า ในแต่ประเภทสินค้าและบริการจะถูกเก็บภาษีในอัตราไหน นาย Arun Jaitley รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง ได้กล่าวว่า สินค้าร้อยละ 50 ที่มีอยู่ในร้านค้าปลีกจะไม่ถูกเก็บภาษีเพื่อปกป้อง ผู้บริโภค
สินค้าที่ผู้คนบริโภคส่วนใหญ่อย่างเครื่องเทศอาจจะถูกเก็บภาษีที่อัตราร้อยละ 5 ในขณะที่ อาหารแปรรูปจะถูกเก็บในอัตราร้อยละ 12 สินค้าของใช้ภายในบ้านอย่างสบู่ ยาสีฟัน และ โทรศัพท์มือถือ อาจจะถูกเก็บในอัตราร้อยละ 18 สำหรับสินค้าคงทนอย่างเครื่องปรับอากาศจะถูก เก็บในอัตราร้อยละ 28 สินค้าฟุ่มเฟือยอย่างยาสูบจะถูกเก็บในอัตราที่สูงกว่าเดิม
การเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นจะเข้าสู่ระบบกองทุนซึ่งจะถูกนำไปใช้รัฐบาลท้องถิ่นเพื่อ ชดเชยในภาษีที่รัฐบาลท้องถิ่นเคยเก็บได้ มีการวิจารณ์ว่าระบบภาษีที่มีหลายระดับทำให้เกิดความสลับซับซ้อนก็จริง เนื่องจากอินเดียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายสูงมาก ดังนั้นจะต้องมีการ ประนีประนอมเพื่อให้ระบบภาษีใหม่นี้ได้รับการยอมรับ
อินเดียจะเข้าร่วมในกว่า 160 ประเทศที่มีการใช้ภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งมีประเทศอย่างโปแลนด์ แคนาดา และญี่ปุ่น ซึ่งภาษีสินค้าและบริการของอินเดียถือว่าอยู่ในกลุ่มที่มีอัตราสูง
เงินเฟ้อ
มีความกังวลกันว่าภาษีสินค้าและบริการอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ จากการที่สินค้าบางชนิด ถูกเก็บภาษีในอัตราสูง และจะเป็นการเพิ่มต้นทุนของผู้ผลิต นักเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า ประเทศ อย่างออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เคยมีประสบการณ์การเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้ออย่างรวดเร็วหลังจาก บังคับใช้ภาษีสินค้าและบริการ และได้กลับมาเป็นปกติในไม่นานฃ
Sonal Varma นักเศรษฐศาสตร์จาก Nomura Holding Inc. มีการคาดการณ์ว่าภาวะเงิน เฟ้อของอินเดียจะเพิ่มขึ้นน้อยกว่าระดับพื้นฐานของประเทศสิงคโปร์อยู่ 20 จุด ธนาคารกลางของ อินเดียอาจจะไม่มีปฏิกิริยาต่อการเพิ่มขึ้นของภาวะเงินเฟ้อ เช่นเดียวกับเมื่อตอนที่มีผลกระทบจาก การยกเลิกธนบัตรในเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ซึ่งภาวะเงินเฟ้อเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
ผลกระทบ
บริษัทต่างๆ จะต้องประสบกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าจากการเปลี่ยนไปสู่ระบบภาษีใหม่ และอาจจะมีการหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางอย่างเมื่อระบบภาษีใหม่นี้ถูกบังคับใช้ แต่นักวิเคราะห์หลายคนคาดว่าระบบเศรษฐกิจเดี่ยวจากระบบเดียวจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจใน ระยะยาวมากกว่า ระบบตลาดเดี่ยวขนาดใหญ่ที่มาพร้อมกับระบบภาษีที่ไม่ซับซ้อนจะช่วยดึงดูด การลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ปัจจุบันอินเดียอยู่ในลำดับ 130 จาก 190 ประเทศที่ World Bank จัดอันดับเกี่ยวกับความสะดวกในการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) และนายโมดี ต้องการผลักดันให้ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามของเอเชียมีลำดับที่สูงขึ้น
ในขณะที่บริษัทต่างๆ ต่างแข่งขันกันรวบรวมทุนเพื่อรับมือกับระบบใหม่นี้ บริษัทโลจิสติกส์ จะเป็นบริษัทที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากความสะดวกสบายในการขนส่งสินค้าทั่วทั้งอินเดีย เพราะไม่มีการเก็บภาษีระหว่างรัฐอีกต่อไป ทำให้ลดต้นทุนในการขนส่งระหว่างรัฐ ทั้งนี้ การ แข่งขันในการดึงดูดการทำธุรกิจก็เป็นไปอย่างเข้มข้นมากขึ้น
บทวิเคราะห์: การปฏิรูประบบภาษีสินค้าและบริการให้เป็นรูปแบบเดียวทั่วทั้งประเทศ ส่งผลข้อดีมากมาย โดยเฉพาะการลดความสลับซับซ้อนและเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ประกอบ ธุรกิจในการเข้ามาทำธุรกิจในอินเดีย ดังนั้น นักลงทุนไทยที่สนใจลงทุนในอินเดียแต่ยังลังเลและไม่ มั่นใจถึงระบบภาษีที่ซับซ้อนของอินเดียจึงต้องทบทวนใหม่เมื่ออินเดียประกาศใช้กฎหมายภาษี ฉบับใหม่นี้
Source: THE ECONOMIC TIMES. Apr 24, 2017
5. เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตขึ้น 3 เท่า มีมูลค่า 7.25 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2030
Economy to grow over 3-fold to $7.25 trillion by 2030: Arvind Panagariya
นิวเดลี: Niti Aayog หัวหน้าคลังปัญญาของรัฐบาล กล่าวว่า อินเดียจะมีขนาดเศรษฐกิจ มูลค่า 46.9 ล้านล้านรูปี หรือ 7.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2030 โดยจะมีการเติบโต เฉลี่ยร้อยละ 8 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของรายงานวิสัยทัศน์ 15 ปีข้างหน้า
โดยตัวเลขดังกล่าวนั้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่า จาก 13.7 ล้านล้านรูปี หรือ 2.1 หมื่นล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2015-2016 การเพิ่มขึ้น 33.2 ล้านล้านรูปี (5.1 หมื่นล้านสหรัฐฯ) ในอีก 15 ปี
Source: economictimes.indiatimes.com
Arvind Panagariya ซึ่งเป็น vice chairman ของ Niti Aayog กล่าวกับสำนักข่าวว่า “อนาคตการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียเป็นไปอย่างสดใส สาเหตุสำคัญมาจาก GDP ที่มีขนาด ใหญ่และการเติบโตที่มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 8 ในอีก 15 ปีข้างหน้า”
เศรษฐกิจของอินเดียเติบโตร้อยละ 7 ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2016-2017 โดยในไตรมาสที่ สองอยู่ที่ร้อยละ 7.4 The Central Statistics ได้วางแผนที่จะรักษาการเติบโตร้อยละ 7.1 ในปี 2016-2017 ซึ่งช้าลงจากร้อยละ 7.6 ในปีงบประมาณที่ผ่านมา ทั้งนี้ IMF คาดการณ์ว่า GDP ของ อินเดียจะเติบโตร้อยละ 7.2 ในปี 2017-2018
The Aayog ได้แจกจ่ายแผนปฏิบัติงานให้กับทุกรัฐเพื่อเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่จะช่วยให้ อินเดียทำตามวิสัยทัศน์ 15 ปีข้างหน้าที่รัฐบาลวางไว้ ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงเตรียมการ โดยที่ แผนปฏิบัติการ 3 ปี จะมาแทนที่แผนปฏิบัติการ 5 ปี แผนเดิม และมีวัตถุประสงค์ในการ เปลี่ยนแปลงกระบวนการวางแผนของประเทศ
Panagariya กล่าวว่า แผนปฏิบัติการประกอบด้วย 7 ส่วน ซึ่งส่วนแรกจะพูดถึง รายละเอียดเกี่ยวกับรายได้และงบประมาณของรัฐ โดยในอีก 6 ส่วนที่เหลือพูดถึงภาคส่วนต่างๆ เช่น การเติบโตของอินเดีย การเชื่อมต่อ การบริหารจัดการ ภาคสังคม และความยั่งยืน โดย Panagariya ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดของแผน
Panagariya ยังกล่าวอีกว่า จากแรงบันดาลใจของนายกรัฐมนตรีอินเดีย แนวคิดในการ เปลี่ยนแปลงอินเดียไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ประชาชนมีการศึกษาดีขึ้น สุขภาพดี ความมั่นคง ปราศจากคอร์รัปชัน มีพลังงานที่เพียงพอ สิ่งแวดล้อมที่สะอาด และเป็นชาติที่มีอิทธิพล ภายในปี 2031-2032
ตั้งแต่ครบกำหนดของแผนปฏิบัติงาน 5 ปี เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้แผนปฏิบัติ งานแผนใหม่มาแทนที่ โดยเบื้อต้นเป็นการแนะแนวทางให้กับกระทรวงต่างๆ ในรัฐบาลกลาง เพื่อให้เดิมตามแผน “Vision 2030”
บทวิเคราะห์: แผนงานระยะยาวดังกล่าวมีการวางเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นความท้าทาย รัฐบาลอินเดียเช่นกันในการไปให้ถึงเป้าหมายดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากแผนงาน ดังกล่าวคร่าวๆ จะพบความน่าดึงดูดของเศรษฐกิจต่อการลงทุนนั้นมีอยู่มาก จากการมีหลักประกันของขนาดตลาดที่กว้างขวางและยิ่งใหญ่ และหากรัฐบาลทำได้ตามแผนที่วางไว้ก็จะ พลิกโฉมอินเดียไปอีกโฉมหน้าหนึ่งทันที
Source: THE ECONOMIC TIMES. Apr 24, 2017