สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์: 20 - 26 พฤษภาคม 2560 (อินเดีย)
1. กลุ่มอุตสาหกรรมยางพาราของอินเดียไม่พอใจอัตราภาษีสินค้าและบริการใหม่
Rubber industry peeved at GST rates
โคชี: กลุ่มอุตสาหกรรมที่ผลิตผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยางพาราได้แสดงความไม่พอใจถึงการเลือกปฏิบัติในการเก็บภาษีต่อวัตถุดิบและส่วนประกอบที่มาจากยางพารา Kamal Chaudhary ประธาน All India Rubber Industries Association กล่าวว่า “ในขณะที่ยางธรรมชาติถูกเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 5 ในภาษีสินค้าและบริการ ส่วนยาง สังเคราะห์จะถูกเก็บในกลุ่มอัตราร้อยละ 18 ซึ่งวัตถุดิบทั้งสองประเภทมีความจำเป็นสำหรับ ดังนั้นวัตถุดิบทั้งสองชนิดควรจัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 5 สำหรับส่วนประกอบต่างๆ จาก ยางพาราจะถูกเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 18 แต่เราเสนอว่าควรถูกเก็บในอัตราร้อยละ 12 อัตรา ภาษีที่รัฐก าหนดดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนการผลิตของเราเพิ่มสูงขึ้น”
Chaudhary กล่าวว่า ปัจจุบัน กว่าร้อยละ 80 ของยางสังเคราะห์ซึ่งเป็นที่ต้องการของ อุตสาหกรรมดังกล่าวมาจากการนำเข้าจากต่างประเทศ และจะทำให้อัตราภาษีรวมจากการนำเข้า บวกกับภาษีสินค้าและบริการจะสูงถึงร้อยละ 23 โดยจะประกอบด้วยภาษีนำเข้าภาษีตอบโต้การอุดหนุน และภาษีอื่นๆ รวมกันแล้วอยู่ที่ประมาณร้อยละ 20
อุตสาหกรรมดังกล่าวเรียกร้องให้การปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีนำเข้าต่อวัตถุดิบจาก ยางพารา ในขณะที่ภาษีนำเข้ายางธรรมชาติได้ถูกกำหนดในอัตราร้อยละ 25 สินค้าสำเร็จรูปมีภาษี นำเข้าที่ลดลง “การคงอัตราภาษีสินค้าและบริการต่อส่วนประกอบจากยางพาราที่อัตราร้อยละ 18 จะ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ของเรา และแน่นอนว่าจะทำลาย ความคิดริเริ่มของนโยบาย Make in India ของนายกรัฐมนตรี Modi”
บทวิเคราะห์: ภาษีสินค้าและบริการซึ่งจะบังคับใช้ในอีกไม่นานนี้ แม้ว่าจะมีข้อดีมากมายที่ ทำให้การเคลื่อนย้าย และการค้าขายสินค้าเป็นไปได้ง่ายและราคาถูกลง อย่างไรก็ตาม ภาษี ดังกล่าวก็ยังไม่มีการตัดสินใจเรื่องรายละเอียดกันอย่างลงตัว ทำให้ในหลายภาคส่วนจึงยังต้องมี การเรียกร้องและต่อรองถึงอัตราภาษีกันต่อไป ซึ่งรัฐบาลจะต้องรับฟังในการทำให้ภาษีใหม่ที่จะ บังคับใช้นี้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
Source: THE ECONOMIC TIMES. May 19, 2017
2. อินเดียไม่ได้สูญเสียอะไรมากมายจากการปฏิเสธเข้าร่วมประชุม OBOR
India doesn't have a lot to lose by boycotting OBOR. Read why
อินเดียต้องการอะไรจากโลกนี้? ค่อนข้างชัดเจน จริงๆแล้ว คืออินเดียมีความต้องการเป็น พันธมิตรระหว่างประเทศกับเร่งการพัฒนาในประเทศรอบนอกอย่างมั่นคงและเอื้ออำนวยให้เกิด ยุติการก่อการร้ายข้ามพรมแดน รวมถึงมีบทบาทที่เพียงพอในการกำกับดูแลระดับโลกเพื่อช่วยให้ สามารถบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ วันนี้แต่ละวัตถุประสงค์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของ อินเดียกับจีน จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ความทะเยอทะยานของอินเดียส่งผลทำให้เกิดความสัมพันธ์อันซับซ้อนและ ขัดแย้งกับรัฐบาลปักกิ่ง
ที่มาภาพ : economictimes.indiatimes.com
ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 2000 อินเดียได้ขยายการค้า และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ กับประเทศเพื่อนบ้านทางตอน เหนือของประเทศ และร่วมมือ กับจีน ในการสร้างพื้นที่เพื่อ ขยายอำนาจในการกำกับดูแลโลก ผ่านทางองค์การความ ร่วมมือต่างๆ อาทิ BRICS BASIC ที่เป็นการประชุมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเอเชีย ในทางเดียวกันอินเดียได้ใช้มาตรการเพื่อ แก้ไขปัญหาความไม่สมดุลทางทหารตามแนวพรมแดนที่มีข้อพิพาทกับจีนและยังคงให้ความสนใจ กับความสัมพันธ์ทางการเมืองและการทหารของปักกิ่งในพื้นที่ใกล้เคียงโดยเฉพาะการสนับสนุนปากีสถาน
แต่ทั้งหมดทั้งมวลเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กล่าวคือภายหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจ ทางการเงินในปี 2008 สหรัฐอเมริกามีนโยบายอย่างแน่วแน่ที่จะผลักดันภูมิภาคเอเชีย ให้เกิดการขยายตัว แต่นับตั้งแต่การเปลี่ยนประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา นาย Donald Trump มี นโยบายที่มุ่งเน้น อเมริกาเป็นสำคัญ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้อิทธิพลของจีนขยายตัวอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมในหลายพื้นที่อันมีส่วนสำคัญต่อระบบความสัมพันธ์ของประเทศเพื่อนบ้าน
อินเดียมองว่าปัจจุบันอิทธิพลของจีนขยายไปในทุกพื้นที่ การมีสร้างความร่วมมือทาง เศรษฐกิจที่สมดุลและยั่งยืนยังจำเป็นต่อการพัฒนาของอินเดีย ในขณะเดียวกันประเทศจีนมี บทบาททางเศรษฐกิจ การเมืองและการทหารที่เข้มแข็งขึ้นในพื้นประเทศเพื่อนบ้านของอินเดีย ซึ่ง รวมถึงการให้การสนับสนุนและคุ้มครองปากีสถาน หนึ่งในโครงการสำคัญของรัฐบาลจีนคือ One Belt, One Road (OBOR) ซึ่งมีการจัดประชุมในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา โดย ประเทศต่างๆ ที่อยู่ในขอบเขตของนโยบายดังกล่าวต่างส่งผู้น า ตัวแทนรัฐบาล หรือคณะทำงานมาเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว
อินเดียเป็นประเทศเดียวที่ไม่ส่งผู้แทนใดๆ ไปร่วมประชุมดังกล่าว อันเนื่องการต่อต้าน โครงการ OBOR บางส่วนที่จีนร่วมมือกับปากีสถานในชื่อ เส้นทางความร่วมมือทางเศรษฐกิจจีนปากีสถาน (CPEC) ซึ่งผ่านพื้นที่พิพาทระหว่างอินเดียและปากีสถาน อันส่งผลต่อการสุ่มเสี่ยงใน การเสียอำนาจอธิปไตยของอินเดีย ซึ่งในความเป็นจริงรัฐบาลอินเดียมองผลกระทบไกลเกินกว่า โครงการดังกล่าว โดยเฉพาะเส้นทางการเดินเรือสายไหมใหม่ ในขณะเดียวกันรัฐบาลอินเดียมีการ ประเมินว่าแนวทางการดำเนินการของนโยบายดังกล่าวมิได้สร้างผลประโยชน์เท่าที่ควรต่อประเทศ ที่ยอมรับโครงการนั้น ดังตัวอย่างของประเทศศรีลังกา เป็นต้น
การสนับสนุนของจีนที่มีต่ออดีตผู้นำของศรีลังกาอย่าง Mahinda Rajapaksa นำไปสู่การสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ส่งผลให้รัฐบาลศรีลังกาต้องเป็นหนี้จำนวน มหาศาลต่อรัฐบาลจีน นำไปสู่ปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ รวมถึงการแทรกแซงทาง การเมืองและการทหารของประเทศจีนในประเทศศรีลังกา อาทิ ในเมือง Djibouti และ Gwadar ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประเทศจีนมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะเข้ามาอิทธิพลในคาบสมุทรอินเดีย อย่างไรก็ตามอินเดียถือได้ว่าเป็นกุญแจสำคัญที่จีนเน้นย้ำเพื่อการเชื่อมโยงและสร้างความสำเร็จ ต่อนโยบายดังกล่าว นายกรัฐมนตรีของอินเดียมีความต้องการเช่นเดียวกันในการเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายนี้ ทั้งนี้ต้องวางอยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใส และไม่สร้างภาระหนี้สินทางการเงินที่ไม่มี ความยั่งยืน
ทั้งนี้นโยบายดังกล่าวยังต้องวางอยู่บนพื้นฐานความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม การสร้างความ โปร่งใส่ของเครื่องมือในการตรวจสอบผลกระทบ การส่งผ่านองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่มี ประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความยั่งยืนในการแก้ไขปัญหาที่ประเทศนั้นๆ สามารถแก้ไขเองได้ ที่สำคัญ คือควรวางอยู่บนพื้นฐานของอำนาจอธิปไตยของประเทศต่างๆด้วย ซึ่งประเด็นดังกล่าวถูกเสนอ ขึ้นโดยผู้แทนจากประเทศในสหภาพยุโรป ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา
หากมองดูการปฏิเสธเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวของอินเดียว่ามีผลเสียมากน้อยเพียงใด พบว่าในความเป็นจริงอินเดียไม่ได้สูญเสียอะไรมากอย่างที่คิดไว้ เพราะการลงทุนของประเทศจีน ในอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2014 โดยจากตัวเลขการลงทุนพบว่า การลงทุนจากจีน มีมูลค่าสูงถึง 800 ล้านเหรียญในช่วง เมษายน 2014 ถึง กันยายน 2015 เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า ซึ่ง อยู่ในระดับใกล้เคียงกับการคาดการณ์การลงทุนของจีนในปากีสถานภายใต้ CPEC
อย่างไรก็ตามการวาดเส้นบนแผนที่ในรูปแบบฝ่ายเดียวไม่เพียง แต่ในอินเดีย แต่ทั่วทั้ง เอเชียและในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งกว่ามาก นโยบาย One Belt, One Road ของประเทศจีนจะสามารถประสบความสำเร็จได้ หากมีการดำเนินงานที่มีความโปร่งใส มี การดำเนินงานที่เป็นไปตามเงื่อนไข อาศัยกลไกตลาดในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของนโยบาย และมีความรับผิดชอบที่เพียงพอต่อผลกระทบ หากนโยบายดังกล่าวมีประสิทธิภาพเท่านี้ มีความ เป็นไปได้ว่าอินเดียจะยินดีต้อนรับนโยบายดังกล่าวของจีน ซึ่งนี่ถือเป็นนโยบายที่รัฐบาลอินเดียจะ ปฏิบัติตามในการสนับสนุนนโยบาย One Belt, One Road ของจีน
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่ารัฐบาลอินเดียมีความวิตกกังวลอย่างยิ่งต่อนโยบาย One Belt, One Road ของประเทศจีนที่อาจส่งกระทบต่ออำนาจอธิปไตยภายในประเทศ ทั้งนี้ อินเดียจึงเลือกไม่เข้าร่วมนโยบายดังกล่าว โดยได้วางเงื่อนไขบางประการในการเข้าเป็นส่วนหนึ่ง ของนโยบาย ทั้งนี้มุมมองของรัฐบาลอินเดีย ต่อนโยบายดังกล่าวถือว่ามีความสนใจในหลายประการ ซึ่งไทยควรนำเอามาพิจารณา เพื่อให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนในการเข้าเป็นส่วนหนึ่ง ของนโยบายดังกล่าว
ข้อเสนอแนะ: รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรการศึกษาถึงผลได้ผลเสียของประเทศไทยต่อการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย One Belt, One Road ของจีน โดยวางอยู่บนพื้นฐาน การวิเคราะห์รูปแบบเดียวกับที่ประเทศอินเดีย ได้เสนอแนะ ต่อปัญหาของนโยบายดังกล่าว เพื่อให้เห็นถึงผลได้ผลเสียที่ชัดเจนของนโยบายดังกล่าว ที่มีต่อการลงทุนและการส่งออกสินค้าของ ประเทศไทย
Source: THE ECONOMIC TIMES. 21 May, 2017
3. บริษัทสัญชาติอินเดียสามบริษัทติดอันดับรายชื่อ 50 อันดับแรกของบริษัทที่ผลิตสินค้าหรูหราระดับโลก
Three Indian brands among world’s top 50 luxury goods companies
นิวเดลี: บริษัทสัญชาติอินเดียสามบริษัท ได้แก่ Gitanjali Gems, Titan และ PC Jeweller ติดอยู่ในรายชื่อ 50 บริษัทที่ผลิตสินค้าหรูหราระดับโลก โดยมี Louis Vuitton อยู่ใน อันดับหนึ่ง จากรายงานของ Global Powers of Luxury Goods ระบุ Gitanjali Gems Ltd อยู่ใน อันดับที่ 30 ตามมาด้วย Titan Company อยู่ที่อันดับ 31 และ PC Jeweller ในอันดับที่ 44
โดยสามบริษัทจากสิบอันดับแรกมาจากกลุ่มบริษัทที่ผลิตสินค้าหรูหราในหลายภาคส่วน ของตลาดสินค้าหรูหรา บริษัททั้งสามได้แก่ LVMH Moet Hannessy-Louis Vuitton SA (Louis Vuitton, Bulgari, Emilio Pucci, DonnaKaran, TAGHeur) Compaigne Financiere Richemont SA (Cartier, Van Cleef & Arpels, Montblanc, Chloe) และ The Estee Lauder Companies Inc (Estee Lauder, M.A.C., Aramis, Clinique, Aveda, Jo Malone)
สำหรับอนาคตเศรษฐกิจของตลาดสินค้าหรูหราในอินเดียและศักยภาพของแบรนด์ต่างๆ โฆษกของ Deloitte ในอินเดีย กล่าวว่า “การเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของชนชั้นกลาง มาพร้อมกับ การเพิ่มขึ้นของรายได้ส่วนเกินถูกคาดหมายว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนการขายสินค้าหรูหรา อุปสงค์ใน สินค้าหรูหราถูกคาดการณ์ว่าจะมีมากขึ้น และอินเดียยังคงเป็นที่จับตามองสำหรับกลุ่มประเทศใน เอเชียและ BRICS แม้ว่าภาษีสำหรับสินค้าหรูหราจะอยู่ในอัตราสูง”
การเกิดขึ้นของตลาดผู้บริโภค (consumer market) ยังคงเป็นปัจจัยที่ขับเคลื่อนการ เติบโตของตลาดสินค้าหรูหราอย่างต่อเนื่อง ประเทศอย่างจีน รัสเซีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศตลาดสินค้าหรูหราที่เกิดใหม่ (emerging luxury market) กว่าร้อยละ 70 ของผู้บริโภคมีการใช้จ่ายเงินที่เพิ่มขึ้นในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศตลาดที่ผู้บริโภคมีความพร้อม (mature market) อย่างใน สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ที่มีอัตราผู้บริโภคใช้จ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 53
รายงานดังกล่าวยังระบุว่า บริษัทที่ผลิตสินค้าหรูหรา 100 อันดับแรก สร้างมูลค่าการขาย ได้กว่า 2.12 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2014-2015
รายงานดังกล่าวซึ่งมีชื่อว่า ‘The new luxury consumer’ นำเสนอรายชื่อบริษัทที่ผลิต สินค้าหรูหราขนาดใหญ่ในระดับโลก 100 บริษัท โดยมีการเก็บข้อมูลที่เผยแพร่สู่สาธารณะ เกี่ยวกับยอดรวมการขายสินค้าหรูหราในปี 2014-2015
บทวิเคราะห์: รายงานดังกล่าวนอกจากจะชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทอินเดียในการ แข่งขันระดับโลกแล้ว ยังชี้ให้เห็นถึงโอกาสของตลาดสินค้าหรูหราในอินเดีย จากการเพิ่มขึ้นของ ชนชั้นกลางและรายได้ส่วนเกินที่ทำให้ศักยภาพของตลาดภายในอินเดียเพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นที่น่าจับ ตามองจากนักลงทุนในสินค้าหรูหรา ซึ่งนักลงทุนจากไทยจึงไม่ควรพลาดโอกาสดังกล่าว
Source: THE ECONOMIC TIMES. May 21, 2017
4. การสำรวจในเดือนเมษายนที่ผ่านมาพบว่ามูลค่าจ้างงานของอุตสาหกรรมไอทีลดลงร้อยละ 24
IT industry sees 24% fall in hiring in April: Survey
นิวเดลี: จากการสำรวจของเว็บไซด์ด้านการหางานอย่าง Naukri.com พบว่า ภาคอุตสาหกรรมไอทีกำลังประสบปัญหาและได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะการเติบโตที่ ลดลงกว่าร้อยละ 24 เมื่อเทียบกับช่วงเมษายนของปี 2015 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวได้รับการยืนยันอีก ครั้งจากบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอที โดยตัวเลขการจ้างงานของภาคอุตสาหกรรมโดยรวมมี จำนวนลดลงกว่าร้อยละ 11 ในส่วนของการจ้างงานใหม่ และอุตสาหกรรมไอทีถือเป็นภาคส่วนที่ ได้รับผลกระทบสูงที่สุด
ที่มาภาพ :flickr.com
โดยดัชนีการจ้างงาน ในช่วงเดือนเมษายน 2560 ปรับตัวลดลงในมหานครที่สำคัญ หลายแห่งอาทิ Delhi/NCR Mumbai Bengaluru และ Chennai โดยกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่มีการปรับลดลงอย่างเห็นได้ ชัดอาทิ ภาคโทรคมนาคม BPO การประกันภัย และการก่อสร้าง โดยเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีที่แล้ว อุตสาหกรรมหลักเช่นงานก่อสร้างและ BPO / ITES ลดลงร้อยละ 10 และ 12 ตามลำดับ ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ของปีที่แล้ว ซึ่งตามการรายงานของ Naukri.com มองว่าตลาดงานของประเทศอินเดียในปัจจุบัน ยังคงมีความผันผวน และดัชนี Jobspeak ในเดือนเมษายน 2560 ยังแสดงให้เห็นอัตราการจ้างงานที่มีการติดลบกว่าร้อยละ 11 ด้วย
แม้ว่าผลกระทบเชิงลบที่สำคัญน่าจะอยู่ในภาคอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมไอที อุตสาหกรรม BPO อุตสาหกรรมโทรคมนาคม อุตสาหกรรมการประกันภัยและ อุตสาหกรรมก่อสร้าง อย่างไรก็ตามมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการระมัดระวังในทุกภาคส่วน และความ ผันผวนนี้น่าจะยังคงเพิ่มขึ้นอีกสักสองสามเดือนก่อนที่ตลาดจะเคลื่อนขึ้นเป็นบวกอีกครั้ง โดยที่หกในแปดเมืองใหญ่ของประเทศอินเดียมีการลดลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงเดือนเมษายน 2560 ที่ผ่านมา โดยดัชนีชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของเมือง Delhi/NCR Mumbai Chennai และ Bengaluru มีการปรับตัวลดลงที่ร้อยละ 28 ร้อยละ 18 ร้อยละ 29 และร้อยละ 28 ตามลำดับ ในขณะที่เมืองใหญ่ทางตะวันออกอย่าง Kolkata และเมืองใหญ่ทางตะวันตกอย่าง Ahmedabad มีการเติบโตของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และร้อยละ 19 โดย เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน
โดยตัวเลขการจ้างงานใหม่ที่มีการเพิ่มขึ้นสูงสุดอยู่ที่เดือนละร้อยละ 3 ซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง ในขณะที่กลุ่มผู้ทำงานที่มีประสบการณ์สูงในช่วงระหว่าง 13-16 ปี กลับมีอัตราลดลงร้อย ละ 2 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม 2560 ที่ผ่านมา ในอีกทางหนึ่งการจ้างงานในระดับ ผู้จัดการที่มีประสบการณ์ระหว่าง 8-12 ปี มีแนวโน้มที่ลดลงร้อยละ 3 ในช่วงเดือนเมษายน 2560
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่าปัจจุบันตลาดแรงงานของประเทศอินเดียยังคงมี ความผันผวน สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มีเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ รวมถึงความไม่แน่นอน ทางเศรษฐกิจที่อินเดียกำลังเผชิญมากอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างการลดลงของ ภาคอุตสาหกรรมไอที ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอินเดีย จึงมีความเป็นไป ได้ว่ารัฐบาลอินเดียจะมีการออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นในอุตสาหกรรม ดังกล่าว
ข้อเสนอแนะ: รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่าง ใกล้ชิด เนื่องจากส่งผลโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจของอินเดีย รวมถึงกำลังซื้อของชนชั้นกลางใน ระบบเศรษฐกิจของอินเดียด้วย ซึ่งถือเป็นฐานลูกค้าหลักของสินค้าไทย
Source: THE ECONOMIC TIMES. 22 May, 2017
5. Softbank จะลงทุนใน Flipkart
Softbank’s massive $100 bln fund may invest in Flipkart
นิวเดลี: กลุ่มบริษัท SoftBank จากญี่ปุ่นจะลงทุนต่อเนื่องในอินเดีย โดยเฉพาะในภาคส่วนของกองทุนเทคโนโลยีที่ชื่อว่า Vision Fund ซึ่งได้ มีการลงทุนไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ
Vision Fund ซึ่งเป็นกลุ่มทุน ภาคเอกชนขนาดใหญ่ที่สุดที่เคย เกิดขึ้น และนำโดย Rajeev Misra ซึ่งเกิดที่อินเดีย โดยกองทุนดังกล่าวถูกคาดหมายว่าจะเป็น เครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนการลงทุนของ SoftBank และมีการประกาศว่ามูลค่าการลงทุนใน รอบแรกอยู่ที่ 9.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ที่มาภาพ : economictimes.indiatimes.com
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่า SoftBank Group จะเข้าร่วมในการตกลงซื้อขายด้วย ขนาดของผลงานที่คาดหวัง (ticket sizes) ประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอาจมากกว่า นั้น ในขณะที่ Vision Fund ถูกคาดหมายว่าจะเป็นผู้น าการลงทุนที่มีการท าธุรกรรมทางการเงิน มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไป
แหล่งข่าวกล่าวกับ ET ว่า “SoftBank Group จะยังคงทำการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และมีการคาดหมายว่าการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ามากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะเกิดขึ้นผ่านกองทุน Vision Fund” ปัจจุบัน SoftBank ได้สนับสนุนการทำธุรกิจตลาดออนไลน์ อย่าง Snapdeal ร้านสะดวก ซื้อที่ส่งถึงบ้านอย่าง Grofers บริษัทอสังหาริมทรัพย์ออนไลน์ อย่าง Housing เว็บไซต์โรงแรม อย่าง OYO และแอพพลิเคชั่นสำหรับเรียกแท็กซี่ อย่าง Ola
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา SoftBank ได้ประกาศลงทุนใน Paytm มูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ ทำให้การลงทุนรวมในอินเดียมีมูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเดือนที่ผ่านมา Ola มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาจาก SoftBank อย่างไรก็ตาม เงินลงทุนดังกล่าวน้อยกว่าที่ประเมินไว้ที่ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งการลงทุน ของ Ola และ Paytm มาจาก SoftBank
ทั้ง Vision Fund จะต้องต้องเผชิญกับความขัดแย้งซึ่งจะกีดกันผลจากการลงทุนของ Soft-Bank ที่มีอยู่ในอินเดียอยู่แล้ว อย่างในกรณีของกองทุน Saudi Arabia’s Public Investment Fund ซึ่งผู้สนับสนุนหลัก ของ Vision Fund ที่ได้ลงทุนใน Uber มูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อปีที่ผ่านมา โดย Uber กำลังแข่งขันกับ Ola ที่ได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank กลุ่มบริษัทด้านเทคโนโลยีโทรคมนาคมจากญี่ปุ่นยังมีความก้าวหน้าในการพูดคุยเพื่อการ ลงทุนใน Flipkart ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย หากการลงทุนดังกล่าวประสบความสำเร็จจะเป็นไปได้ว่าจะเป็นการน าของ Vision Fund จากขนาดมูลค่าของการลงทุน SoftBank เช่นกันที่กำลังพิจารณาผลจาก OYO ซึ่งอาจมาจาก Vision Fund
ที่มาภาพ : economictimes.indiatimes.com
การสนับสนุนจากผู้ลงทุนขนาดใหญ่
Vision Fund ได้รับการสนับสนุนจากผู้ลงทุนขนาดใหญ่ อย่าง Saudi Arabia’s Public Investment Fund, Abu Dhabi’s Mubadala Investment Co, Apple, Qualcomm, Foxconn Technology Group ถูกคาดหมายว่าจะเป็นผู้สนับสนุนกองทุนด้านเทคโนโลยีที่ใหญ่ ที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยจะมีการรวมกันภายใน 6 เดือนนี้ SoftBank ก็เป็นส่วนหนึ่งซึ่งมีมูลค่าในกองทุนประมาณ 28 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะ ลงทุนในภาคปัญญาประดิษฐ์ (AI) หุ่นยนต์ โทรคมนาคม และสาธารณูปโภคด้านคอมพิวเตอร์
กองทุนดังกล่าวซึ่งมีการเจรจาการค้าแล้วมูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถูก คาดหมายว่าจะเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในสหรัฐฯ และยุโรป เนื่องจากศักยภาพทางการตลาด และโอกาสในการซื้อขาหุ้นของบริษัทต่างๆ ในขณะที่กองทุนดังกล่าวน าโดย Misra จาก the Jersey ลอนดอน สำนักงานของ Vision Fund ในสหราชอาณาจักรจะมีประธานของ SoftBank เข้าไปอยู่ในคณะกรรมการการลงทุน
บทวิเคราะห์: รายงานข่าวดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของอินเดียในการดึงดูดการ ลงทุนจากนักลงทุนรายใหญ่ อย่าง SoftBank จากญี่ปุ่น ซึ่งเมื่อการลงทุนดังกล่าวประสบความสำเร็จ การตลาดโดยเฉพาะในด้านการค้าและการบริการด้านออนไลน์ของอินเดียจะมี ความก้าวหน้ามากขึ้น และจะสร้างโอกาสมากมายให้กับนักลงทุนในภาคอื่นๆ อีกเช่นกัน
Source: THE ECONOMIC TIMES. May 22, 2017
6. รัฐบาลตอบข้อสงสัยของ Tesla: ไม่มีเงื่อนไขสัดส่วนขั้นต่ำในการใช้ทรัพยากรท้องถิ่น หากต้องการตั้งโรงงานในอินเดีย
Government to Tesla: No local sourcing required for manufacturing in India
รัฐบาลอินเดียได้ให้ความกระจ่างแก่บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโดยมีฐานการผลิตอยู่ที่ สหรัฐอเมริกาอย่าง Tesla ว่า ไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรภายในท้องถิ่น หาก Tesla ต้องการตั้ง โรงงานผลิตที่อินเดีย รัฐบาลได้ตอบข้อสงสัยของ Elon Musk ผู้ก่อตั้งบริษัท Tesla ที่ได้กล่าวว่า บริษัทของเขาจะต้องใช้ทรัพยากรท้องถิ่นตาม สัดส่วนที่ได้กำหนดไว้เพื่อที่จะสามารถตั้ง โรงงานผลิตที่อินเดีย
ผู้ดูแลทวิตเตอร์ ‘Make in India’ ซึ่ง อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงพาณิชย์และ อุตสาหกรรม ได้ระบุว่า นโยบายการลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ (FDI) ของอินเดียไม่ได้มีคำสั่ง เกี่ยวกับสัดส่วนขั้นต่ำในการจัดตั้งโรงงานผลิตในอินเดีย โดยนโยบายดังกล่าวยังระบุอีกว่า หลังจากที่มีการตั้งโรงงานในอินเดีย ผู้ลงทุนจากต่างประเทศจะได้รับอนุญาตให้ขายสินค้าได้ในทุกรูปแบบ เช่น ขายส่ง ขายปลีก หรือขายในระบบ ออนไลน์
“นโยบายเกี่ยวกับ FDI ยังอนุญาตการขายส่งสินค้านำเข้าในอินเดียโดยไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับแหล่งที่มา” มีเพียงการขายปลีกเท่านั้นที่มีคำสั่งเกี่ยวกับเงื่อนไขของแหล่งที่มา ซึ่งกฎดังกล่าวไม่สามารถใช้ได้กับผู้ผลิตที่มีโรงงานผลิตในอินเดีย
ที่มาภาพ: economictimes.indiatimes.com
Musk ได้ทวิตตอบกลับว่า “บางที่ผมอาจได้รับข้อมูลที่ผิดพลาดมาว่าร้อยละ 30 ของ ชิ้นส่วนของสินค้าจะต้องใช้ทรัพยากรท้องถิ่น ซึ่งชิ้นส่วนการผลิตเหล่านั้นไม่มีอยู่ในอินเดีย”
เมื่อเดือนเมษายนของปีที่ผ่านมา บริษัทดังกล่าวได้เผยแผนในการเข้าสู่อินเดียด้วยแผน Model 3 ในปี 2017
ในการเยี่ยมเยือนฐานการผลิตของบริษัท Tesla โดย Nitin Gadkari รัฐมนตรีว่าการ กระทรวง Road, Transport and Highways เมื่อปีที่ผ่านมา ได้มีการเสนอพื้นที่ให้กับ Tesla บริเวณใกล้เคียงกับท่าเรือใหญ่ของอินเดีย เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งออกสินค้าไปยัง ประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีการร้องขอให้อินเดียเป็นฮับการผลิตในภูมิภาคเอเชีย
เมื่อเดือนกันยายน 2015 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี Narendra Modi ได้เยี่ยมเยือนโรงงาน ของ Tesla ที่เมือง San Jose และได้แสดงออกถึงความสนใจในนวัตกรรมของ Tesla โดยเฉพาะ ภาคการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ในหลายรูปแบบในพื้นที่ชนบทที่ห่างไกล อนึ่ง สำหรับธุรกิจค้าปลีกของต่างชาติในอินเดีย หากบริษัทต่างชาติต้องการเปิดร้านค้า ปลีกที่เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว บริษัทเหล่านั้นจะต้องใช้ทรัพยากรท้องถิ่นร้อยละ 30 สำหรับ สินค้าที่ผลิตในอินเดีย
บทวิเคราะห์: เห็นได้ชัดว่านโยบายการลงทุนทางตรงระหว่างประเทศ (FDI) มีการผ่อนปรนไปมาก ซึ่งเป็นไปเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนที่สนใจจะลงทุนในอินเดีย ทำให้อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่เนื้อหอมในหมู่นักลงทุนจากต่างชาติ
Source: THE ECONOMIC TIMES. May 24, 2017