สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์: 24 -30 มิถุนายน 2560 (อินเดีย)
1. ราคาข้าวอินเดียพุ่ง! บังคลาเทศและศรีลังกาจ่อน าเข้าเพิ่ม!
Rice exports seen picking up on Bangladesh, Sri Lanka demand
ที่มา: Hidustan Times
Sona Masuri ผู้ส่งออกข้าวอินเดีย กล่าวว่า “จากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งล่าสุดในบังคลาเทศและ ภัยแล้งที่เกิดขึ้นในศรีลังกา อันเป็นผลให้ผลผลิตทางการเกษตรของทั้งสองประเทศลดลง นำปสู่สินค้าเกษตรขาด ตลาด ราคาของสินค้าดังกล่าวจึงถีบตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ปริมาณความต้องการน าเข้าข้าวจากอินเดียเพิ่มขึ้น” แหล่งข่าวทางด้านการค้าเปิดเผยว่า จากเหตุอุทกภัยครั้งล่าสุด ทำให้บังคลาเทศต้องเร่งประมูลการ นำเข้าข้าวถึง 3 ครั้งด้วยกันโดยคิดเป็นจำนวนถึง 1.5 แสนตัน ซึ่งประกอบไปด้วยข้าวขาวและข้าวนึ่ง และ คาดการณ์ว่าการประมูลครั้งต่อไปจะเริ่มขึ้นต้นเดือนหน้า
BV Krishna Rao กรรมการผู้จัดการบริษัท Pattabhi Agro Pvt Ltd ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ในกากินา ดา กล่าวว่า “เราคาดว่าจะมีการนำเข้าข้าวจากทั้งสองประเทศเพิ่มขึ้นถึง 2 แสนตันในปีนี้ถึงแม้สองประเทศ ดังกล่าวจะไม่ใช้ผู้ซื้อรายใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในแอฟริกา แต่ความต้องการจากประเทศเพื่อนบ้าน ในปัจจุบันสามารถเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับเกษตรอินเดียในการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าส่งออกของอินเดียได้” ทั้งนี้ราคาสินค้าส่งออกในหมวดดังกล่าวได้เพิ่มสูงขึ้นถึง 15% นับตั้งแต่ต้นปีโดยเมื่อเปรียบเทียบกับ ราคา FOB (ราคาสินค้ารวมค่าจัดส่งสินค้าให้แก่ผู้ซื้อที่ท่าเรือต้นทาง) ในเดือนมกราคมปีนี้อยู่ที่ระดับ 360- 370 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 420-430 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
การปรับราคาสินค้าขั้นต่่าให้เพิ่มสูงขึ้นและการแข็งค่าของสกุลเงินรูปี
นอกจากนี้การแทรกแซงของรัฐบาลที่กำหนดราคาขั้นต่ำของสินค้าเกษตรกรให้สูงขึ้น (MSP) ประกอบกับการแข็งค่าของเงินสกุลรูปีเมื่อเทียบกับสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลต่อแนวโน้มที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ส่วนกลางได้ปรับ MSP ของราคาข้าวเปลือกพันธุ์ทั่วไปเพิ่มขึ้นถึง 1550 รูปีต่อหนึ่งร้อยกิโลกรัมจากเดิม 1470 รูปีขณะที่เงินสกุลรูปีแข็งค่าขึ้น 5-7% ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จาก 68 รูปีต่อหนึ่งเหรียญสหรัฐฯไปสู่ 64 รูปี ต่อหนึ่งเหรียญสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าส่งออกไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้า ภายในประเทศ เนื่องจากข้าวที่ส่งออกไม่คนอินเดียไม่ได้บริโภคมากนัก
ผลผลิตข้าวที่สูงขึ้น
ผลผลิตข้าวของอินเดียทะยานแตะระดับสูงสุดที่ 109.15 ล้านตันในช่วงระหว่างปี2016-2017 ทะลุ เป้าหมายที่ตั้งไว้108.5 ล้านตัน และในปีนี้ทางส่วนกลางก็ยังคงเป้าผลผลิตไว้ในระดับเดิม ทั้งนี้ในช่วงมรสุมปี เดียวกัน (2016-2017) ส่วนกลางสามารถจัดหาข้าวได้ถึง 38.49 ล้านตันเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเป้าที่ระดับ 33.99 ล้านตัน
Rao กล่าวเพิ่มเติมว่า “อินเดียมีความสามารถที่จะรักษาศักยภาพในการเป็นผู้นำการส่งออกข้าว เนื่องจากประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างไทยไม่มีข้าวในคลังสินค้า ขณะเดียวกันในปีที่ผ่านมาการส่งออกข้าวของ อินเดียมีปริมาณมากกว่า 10 ล้าน” และนาย Vijay Setia ประธานสมาคมผู้ส่งออกข้าวอินเดีย กล่าวว่า “การลดลงของข้าวในคลังสินค้าของไทยจะเป็นประโยชน์ต่ออินเดีย”
Source: Business Line. JUNE 26, 2017
2. ตรวจสอบการทุ่มตลาดเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์จีน
India probes dumping of Chinese polyester yarn
ที่มา: The Deccan Chronicles
รัฐบาลอินเดียเริ่มดำเนินมาตรการตรวจสอบการทุ่มตลาดในสินค้าจ าพวกเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ที่นำเข้ามาจาก จีนสืบเนื่องมาจากข้อเรียกร้องของ SRF Ltd และ Reliance Industries ที่ขอให้มีการตรวจสอบในประเด็นดังกล่าว DGAD ซึ่งดำเนินการภายใต้กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ตนเองมีหลักฐานมีหลักฐานที่ "เพียงพอ" ในการยื่น ยันว่ามีการทุ่มตลาดในเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ที่ความทนทานสูงจากประเทศเพื่อนบ้าน และหากพบว่ามีการทุ่มตลาดที่อาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศอินเดียจริง DGAD ก็จะเริ่มดำเนินมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าเพื่อตอบโต้การทุ่มตลาดจากสินค้าที่มีราคาต่ำเกินความเป็นจริงต่อไป
การตรวจสอบดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว และดำเนินจนมาถึงเดือนมีนาคม 2560 ปีนี้ โดยเส้นด้ายดังกล่าวสามารถนำมาใช้ในการผลิตสายยาง, เข็มขัดนิรภัย, สายหนัง, เชือก, ผ้าเคลือบและสายพานลำเลียง ดังนั้นการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้าที่มีราคาต่ำเกินจริง(ทุ่มตลาด) จากจีนจึงสร้างความกังวลต่อความสามารถในการ แข่งขันของบริษัทอินเดียเป็นอย่างมาก สิ่งที่ตามมาคือ การขาดดุลการค้าเป็นจำนวนมากโดยระหว่างปี2015-2016 อินเดียส่งออกไปยังจีน คิดเป็นมูลค่า 9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่มูลการนำเข้ากลับมีมูลค่ารวมถึง 61.7 พันล้าน เหรียญสหรัฐฯ
นอกจาก DGAD ยังตรวจสอบเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ที่นำเข้ามาจากจีนแล้ว DGAD ก็ยังเข้ามาตรวจสอบในสินค้าอุตสาหกรรมอื่นเพิ่มเติมตัว อย่างเช่นอุตสาหกรรมเคมีเป็นต้น
Source: Deccan Chronicle. JUNE 26, 2017
3. ประธานาธิบดีสหรัฐยกย่องกฎหมายจัดเก็บภาษีสินค้า และ บริการ (GST) ยำ สหรัฐกำลังทำเช่นเดียวกับอินเดีย
Donald Trump Praises GST, Tells PM Narendra Modi 'We Are Doing That Also'
กฎหมายจัดเก็บภาษีสินค้าและบริการ มีแนวโน้มว่าจะเป็นการปฏิรูปภาษีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอินเดียนับจากการเป็นอิสรภาพจากอังกฤษ อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งบอกกับ นายกรัฐมนตรีของอินเดีย นาเรนดรา โม ดี ว่า GST เป็นการยกระดับการเก็บภาษี ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อินเดีย นายโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า “เรากำลังแบบนั้นเช่นกัน” การสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับพลเมือง คุณต้องมีวิสัยทัศน์ ที่ยิ่งใหญ่ในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและต้องต่อสู้กับทุจริตซึ่งเป็นภัยคุมคามร้ายแรงต่อระบอบประชาธิปไตย
Source: NDTV
นายกรัฐมนตรีอินเดียและประธานาธิบดีสหรัฐ ได้มีการประชุมหารือกันอย่างใกล้ชิดที่ Rose Garden, ทำเนียบขาวสหรัฐ โดยนายทรัมป์ได้กล่าวอีกว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายร่วมกันระหว่างสองประเทศ อินเดียมีเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยสหรับกำลังพยายามและหวังว่าจะได้รับความสนใจจากอินเดียเพิ่มมากขึ้นโดยเร็ว
ทรัมป์บอกว่าเขาต้องการความสัมพันธ์ทางการค้าที่ "เท่าเทียมและยุติธรรม” อีกทั้งยังแสดงความกระตือรือร้นที่จะร่วมมือกับนายโมดี ในการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าที่เป็นธรรมระหว่างสองประเทศ และการยกเลิกกำแพงภาษีสำหรับการส่งออกสินค้าสหรัฐไปยังตลาดอินเดีย สหรัฐกำลังมองหาโอกาสที่จะร่วมมือกับอินเดีย ในการสร้างงานในสหรัฐสำหรับการเติบโตเศรษฐกิจ และสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าที่เท่าเทียมและยุติธรรม
กฎหมายจัดเก็บภาษีสินค้าและบริการ เป็นการปฏิรูปภาษีที่มีความทะเยอทะยานมากที่สุดของอินเดีย ซึ่งจะมี การบังคับใช้ ในเที่ยงคืนของวันที่ 30 มิถุนายน 2560 นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าการสร้าง "หนึ่งประเทศ หนึ่งตลาด หนึ่งภาษี" จะเป็นประโยชน์อย่างมากกับคนทั่วไป การปฏิรูปภาษีใหม่นี้จะทำให้เกิดระบบภาษีย่อยต่างๆ โดยจะแบ่งเป็น 4 ประเภท คือ 5, 12, 18, และ 28 เปอร์เซนต์
เนื่องจากมีข้อกังวลเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมของระบบ GST นายโมดีได้ทบทวนความคืบหน้า และหาหรือ เกี่ยวกับความปลอดภัยในโลกไซเบอร์อย่างละเอียดกับผู้เชี่ยวชาญและขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนให้ความสำคัญกับ สิ่งนี้มากที่สุด GST Suvidha Kendras เป็นศูนย์ช่วยเหลือให้ข้อมูลซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นทั่วประเทศ เพื่อช่วยให้ผู้ที่ต้องการเข้าใจโครงสร้างและมีคำถามเกี่ยวกับกฎหมายการจัดเก็บภาษีสินค้าและบริการ
วิเคราะห์
สำหรับการพบปะระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศนี้ ถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์และหารือทางด้าน ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจให้เกิดความร่วมมือกันมากขึ้น โดยเน้นไปที่ความสัมพันธ์ที่เท่าเที่ยมและยุติธรรม ของทั้งสองประเทศ ซึ่งการที่สหรัฐยกย่อง ระบบภาษี GST ของอินเดียนั้นเป็นการแสดงออกถึงความเห็นชอบ และเป็นมิตรกับนโยบาลภายในประเทศของรัฐบาลนายโมดี ซึ่งจะช่วยส่งเสริมไปถึงการสร้างความร่วมทาง เศรษฐกิจและด้านอื่นๆ ของทั้งสองประเทศในอนาคตอย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น
Source: NDTV website, June 27, 2017
4. ข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคของอาเซียน RCEP: เจ้าหน้าที่ 700 คนจาก 16 ประเทศเข้าร่วมประชุมที่เมืองไฮเดอราบาด
RECP pact: 700 officials from 16 nations to meet in Hyderabad
Source: The Economic Times
เจ้าหน้าที่กว่า 700 คน จาก 16 ประเทศรวมทั้งอินเดีย จีน และ ออสเตรเลีย จะเข้าร่วมประชุมที่เมืองไฮเดอ ราบาด ในเดือนหน้า (กรกฎาคม 2560) เพื่อเจรจา เสนอข้อตกลงการค้าขนาดใหญ่ภายในกลุ่มประเทศ สมาชิก RCEP ในการประชุมครั้งนี้ จะถือเป็นการเจรจาครั้งที่ 19 ของข้อตกลงสำหรับกลุ่มประเทศ RCEP: Regional Comprehensive Economic Partnership. ซึ่งในการประชุมครั้งล่าสุดนั้น ถูกจัดขึ้นทีประเทศฟิลิปปินส์ ในเดือนพฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา การเจรจาห้าวันจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2560 และ จะมีการเปิดงานโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พาณิชย์และอุตสาหกรรม Smt.Nirmala Sitharaman
RCEP มีจุดมุ่งหมายในการเป็นบรรทัดฐานสำรหับการเปิดเสรีทางการค้าในสินค้าและบริการอีกทั้งยังเป็นการ ส่งเสริมการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิก 16 ประเทศ โดยการการเจรจาในครั้งนี้สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจาก ประเทศสมาชิกยังไม่สามารถสรุปจำนวนสูงสุดของสินค้าว่าภาษีชนิดไหนที่จะได้รับการยกเว้น เนื่องจากการ เจรจา RCEP ต้องใช้ศูนย์การประชุมขนาดใหญ่ การประชุมครั้งนี้จึงจะถูกจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมนานาชาติไฮ เดอราบาด ซึ่งสามารถจัดให้มีผู้เข้าร่วมประชุมได้มากกว่า 6,000 คน โดยถูกแบ่งเป็น 37 ห้องประชุมย่อย และ การขาดแคลนศูนย์การประชุมขนาดใหญ่ในเมืองหลวงของประเทศที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลอินเดียต้องจัด ประชุม ที่ India Expo Mart ในเมือง Greater Noida ในเดือนธันวาคม 2557
ซึ่งประเทศสมาชิกนั้นประกอบด้วยสมาชิกประเทศอาเซียน 10 ประเทศ (บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า สิงคโปร์ ไทย ฟิลิปปินส์ ลาว และเวียดนาม) และคู่ค้าในเขตการค้าเสรี 6 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ซึ่งสมาชิกหลายๆ ประเทศต้องการให้อินเดียยกเลิกหน้าภาษี เกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าประมาณร้อยละ 90 ในฐานะของความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง RCEP แต่ทางด้านผู้เชี่ยวชาญมองว่า เป็นไปได้ยากที่อินเดียจะยอมรับข้อเสนอนี้ เนื่องจากจีนเป็นส่วนหนึ่งของ ข้อตกลงนี้ด้วย ซึ่งอุตสาหกรรมอินเดียมีความกังวลเกี่ยวกับ การขาดดุลทางการค้าที่เพิ่มขึ้นและการทุ่มตลาด สินค้าจากประเทศจีน
โดยข้อตกลงนี้จะครอบคลุมถึงเรื่อง สินค้าบริการ การลงทุน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การแข่งขันและสิทธิ ในทรัพย์สินทางปัญญา ในส่วนของภาคการบริการในพื้นที่สำคัญของอินเดีย สมาชิก RCEP ส่วนใหญ่ลังเลที่จะ เปิดสาขานี้ในอินเดีย ซึ่งการลดลงของบรรทัดฐานในภาคการบริการ ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวของ ผู้เชี่ยวชาญภายในกลุ่มนี้ การเจรจาสำหรับข้อตกลงนี้ เริ่มขึ้นในกรุงพนมเปญ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555 ประกอบด้วย 16 ประเทศ ต่างๆ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่าหนึ่งในสี่ของเศรษฐกิจทั้งโลก กว่า 75 ล้านล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม การเจรจาข้อตกลง RCEP นั้น ไม่น่าจะหาข้อสรุปได้ภายในปีนี้และอาจจะเลื่อนไปจนถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2561
วิเคราะห์
การเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง RCEP สำหรับอินเดียนั้น ถือเป็นการขยายฐานการตลาดไปยังภูมิภาค ตะวันออกได้มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Act East และ Look East ของอินเดียเองด้วย ทั้งนี้ อินเดียต้องยอมรับข้อเสนอในการยกเลิกภาษีสินค้าและบริการสำหรับประเทศสมาชิกอื่นๆเพื่อที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ของข้อตกลงอย่างเต็มรูปแบบพร้อมได้รับผลประโยชน์จากการเข้าเป็นประเทศสมาชิกจากทุกๆฝ่าย
Source: The Economic Times, June 28, 2017
5. ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ วำงแผนกำรเพิ่มการส่งออกพลังงานไปยังอินเดีย
US President Donald Trump looks to increase energy exports to India
Source: The Economic Times
สหรัฐฯ วางแผนที่จะส่งออกแก๊สธรรมชาติ ถ่านหิน และทรัพยากรทดแทนและเทคโนโลยีไปยังอินเดีย เพื่อกระตุ้นการเติบโตของความต้องการพลังงานของประเทศ และเพื่อความเกี่ยวดองที่แข็งแกร่งระหว่างสอง ประเทศ อันสืบเนื่องมาจาก แถลงการณ์ร่วมอินโด – สหรัฐ (Indo-US joint statement)
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันว่า สหรัฐฯยังคงมุ่งหน้าขจัดอุปสรรคในการพัฒนาและการลงทุน ด้านพลังงานในสหรัฐฯ รวมถึงการส่งออกพลังงานของสหรัฐฯ เพื่อให้ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหินและทรัพยากรทดแทน และเทคโนโลยีสามารถช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียและการพัฒนาที่ครบวงจร " ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมพ์กล่าวหลังจากการพบกับนายกรัฐมนตรี นายนาเรนดรา โมดี (Narendra Modi)
การปฏิวัติของหินน้ำมันทำให้สหรัฐอเมริกามีสถานะที่แข็งแกร่งในการส่งออกก๊าซไปยังประเทศต่างๆ เช่นอินเดียที่มีทรัพยากรเชื้อเพลิงฟอสซิลต่ำแต่มีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้นำทั้งสองได้ยืนยันถึงความสำคัญอย่างต่อเนื่องของการเป็นหุ้นส่วนด้านยุทธศาสตร์ด้านพลังงานของตนและการสนับสนุน ทางการเงินของโครงการด้านพลังงานรวมทั้งโครงการถ่านหินสะอาด โดยธนาคารเพื่อการพัฒนาพหุภาคีเพื่อ ส่งเสริมการเข้าถึงพลังงานที่มีราคาไม่สูงจนเกินไปและเชื่อถือได้ทั่วโลก
พวกเขาตั้งตารอคอยข้อสรุปของสัญญาความตกลงระหว่าง บริษัท เวสติ้งเฮาส์อิเล็กทริก (Westinghouse Electric Company) และ บริษัท นิวเคลียร์พาวเวอร์คอร์ปอเรชั่นของอินเดีย (Nuclear Power Corporation of India) สำหรับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 6 แห่งในอินเดียและการจัดหาเงินทุน โครงการที่เกี่ยวข้องด้วย ผู้นำเรียกร้องให้มีแนวทางที่สมเหตุสมผลเพื่อให้สมดุลสภาพแวดล้อมและนโยบาย ด้านสภาพภูมิอากาศการพัฒนาเศรษฐกิจโลกและความต้องการด้านความมั่นคงด้านพลังงาน "ตามแถลงการณ์ร่วม
สหรัฐวางแผนที่จะส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ไปยังอินเดียและกำลังเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้ราคาที่สูงขึ้น ทรัมป์กล่าวในการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ “เรากำลังรอคอยการส่งออกพลังงานอเมริกันที่ มากขึ้นไปยังอินเดีย ในขณะที่เศรษฐกิจของอินเดียเติบโตขึ้น รวมถึงสัญญาระยะยาวที่จะซื้อก๊าซธรรมชาติของ อเมริกาซึ่งขณะนี้กำลังเจรจาอยู่และสหรัฐจะเซ็นสัญญากับอินเดียพยายามที่จะต่อรองราคาให้เพิ่มสูงขึ้น เล็กน้อย” ทรัมป์กล่าว
อินเดียมีสัญญานำเข้าก๊าซกับสหรัฐฯมาเป็นระยะเวลานานแล้ว GAIL ของรัฐบาลมีสัญญาซื้อ LNG เป็นระยะเวลา 20 ปีจาก Cheniere Energy จำนวน 3.5 ล้านตันต่อปี (mtpa) และยังเตรียมพร้อม ความสามารถในการผลิตก๊าซหุงต้มอีก 2.3 เมกกะวัตต์ที่โรงงานผลิตฟลูออไรด์ของ Dominion Energy GAIL คาดว่าจะได้รับวัตถุดิบในต้นปีหน้า
Source: THE ECONOMIC TIMES. JUN 28, 2017
6. บริการ UberEATS ในเดลีและเขตนครหลวง (NCR)
UberEATS services in Delhi-NCR
Source: Business Line
ผู้ประกอบการรถแท็กซี่ Uber ได้เปิดตัวบริการ UberEATS เมื่อวันพุธที่ผ่านมาในกรุงเดลี (Delhi) และเขตนครหลวง (NCR: National Capital Religion) ซึ่งเริ่มต้นจากเมือง Gurgaon โดยในอินเดียนั้น แอพพลิเคชันแบบสแตนด์อโลน (Standalone) ได้เปิดตัวครั้งแรกในเมืองมุมไบเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา "เรามุ่งมั่นที่จะเปิดประสบการณ์การท าอาหารและอาหารที่หลากหลายให้แก่ผู้ที่อาศัยอยู่ใน กรุงเดลีและเขตนครหลวง (Delhiites) ด้วยการกดปุ่ม" Bhavik Rathod หัวหน้า UberEATS India กล่าว ใน ที่นี้สามารถชี้ให้เห็นโดยประมาณได้ว่า ตลาดบริการการส่งอาหารในอินเดียมีมูลค่าถึง 15-20 พันล้านเหรียญ สหรัฐ
Source: Business Line. June 28, 2017
7. GST ท่าให้การส่งออกสามารถแข่งขันได้มากขึ้น: Commerce Secy
GST to make exports more competitive: Commerce Secy
Source: The Economic Times
การดeเนินการภาษีสินค้าและบริการหรือ GST ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 นี้ จะช่วยลดผลกระทบจากภาษีหลายชนิดส่งผลให้ต้นทุนผู้ส่งออกลดลง และทำให้การส่งออกมีการแข่งขันมากขึ้น Rita Teaotia ปลัดกระทรวง พาณิชย์ฯ ของอินเดียกล่าวว่า แผนการส่งเสริมการ ส่งออกหลักทั้งสองแบบ คือ การส่งออกสินค้าจาก อินเดีย (MEIS) และการส่งออกสินค้าบริการจากอินเดีย (SEIS) จะดำเนินการตาม GST ใหม่ซึ่งจะสอดคล้องกับ ระบบภาษีทางอ้อมใหม่ โดยปลัดกระทรวงฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลกำลังตรวจสอบเรื่องช่วงเวลาในการส่ง เอกสารสำหรับส่งออกโดยให้สอดคล้องกับระบบ GST ใหม่ให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ส่งออก โดยผู้ ส่งออกจะได้รับเอกสารเครดิตภาษีซึ่งใบรับรองชนิดนี้สามารถใช้ในการดำเนินการจ่ายภาษีและการดำเนินการสำหรับภาษีนำเข้า การลดภาษีสรรพสามิตของภาษีหลายชนิดถึงแม้จะมีความวิตกกังวลจากผู้ส่งออกและนำเข้า แต่จะทำ ให้ต้นทุนในการส่งออกลดลงและเกิดการการแข่งขัน โดยอัตราการเสียภาษีในปัจจุบันนี้จะครอบคลุมเฉพาะ ภาษีศุลกากรขั้นพื้นฐานของปัจจัยการผลิต
บทวิเครำะห์: การที่อินเดียมีระบบภาษีทั้งประเทศเป็นมาตรฐานเดียวนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับ การค้าระหว่างประเทศของอินเดียที่จะทำให้นักธุรกิจต่างประเทศมีความสะดวกง่ายดายในการดำเนินการมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อินเดียเศรษฐกิจของอินเดียเติบโตมากยิ่งขึ้น
Source: THE ECONOMIC TIMES. June 25, 2017
8. ความคับคั่งของการขนส่งสินค้าตามท่าเรือ 12 แห่งในอินเดียมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นกว่ำร้อยละ 6 หรือคิดเป็น 114 ล้านตัน ในช่วงเมษายนถึงพฤษภาคม 2560
Cargo traffic at 12 major ports up 6% to 114 mt in April-May
Source: The Economic Times
นิวเดลี: ท่าเรือที่สำคัญทั้ง 12 แห่งของประเทศอินเดียมีอัตราการขนส่งสินค้าเพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าร้อยละ 5.56 คิดเป็นกว่า 113.63 ล้านตัน ภายในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2560 ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของการขนส่งดังกล่าวเป็นผลจากปริมาณความต้องการสินค้าที่มากขึ้นของตลาด โดยหากเปรียบเทียบกับข้อมูลในช่วงปี 2559 จะพบว่าการขนส่งสินค้าภายในบริเวณท่าเรือที่สำคัญดังกล่าวคิดเป็นเพียง 107.65 ล้านตัน
การเพิ่มขึ้นของการขนส่งสินค้าตามตัวเลขที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ตามการรายงานของสมาคมท่าเรือ อินเดีย (Indian Ports Association) มองว่าเป็นผลสำคัญจากความต้องการสินค้าของภาคส่วนต่างๆ อาทิ ความต้องการแร่เหล็กในภาคอุตสาหกรรมการแปรรูป การต้องการใช้ปุ๋ยในภาคอุตสาหกรรมการเกษตร และความต้องการถ่านหินในภาคพลังงาน เป็นต้น ปริมาณการขนส่งสินแร่เหล็กเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.28 คิดเป็น 9.96 ล้านตันในช่วงเดือนเมษายน ถึง พฤษภาคม 2560 เทียบกับ 7.47 ล้านตันในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่ปริมาณถ่านหินเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.67 หรือคิดเป็น 9.30 ล้านตัน ทั้งนี้การขนส่งปุ๋ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.09 หรือ คิดเป็น 1 ล้านตัน
จากข้อมูลการขนส่งสินค้าทางน้ำของอินเดียแสดงให้เห็นว่า ท่าเรือ Kandla มีถือเป็น ท่าเรือที่มีปริมาณการขนส่งสินค้าสูงสุดที่คิดเป็นปริมาณกว่า 18.86 ล้านตันในช่วงเดือนเมษายน ถึง พฤษภาคมของปีนี้ตามมาด้วยท่าเรือ Paradip ที่มีปริมาณการขนส่งสินค้าสูงถึง 16.19 ล้าน ตัน ท่าเรือ JNPT 11.23 ล้านตัน ท่าเรือ Mumbai 10.99 ล้านตัน และ ท่าเรือ Visakhapatnam 9.98 ล้านตัน สำหรับในส่วนของท่าเรือ Kolkata ที่รวมตลอดไปถึงท่าเรือ Haldia มีปริมาณการขนส่งสินค้าคิดเป็น 8.88 ล้านตัน ในขณะที่ท่าเรือ Chennai มีปริมาณการขนส่งสินค้าคิดเป็น 8.03 ล้านตัน
โดยปริมาณการขนส่งสินค้าทางทะเลถือเป็นลักษณะและเครื่องชี้วัดสำคัญเกี่ยวกับความ ต้องการและรูปร่างของตลาดเศรษฐกิจภายในประเทศและระดับโลก ที่มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน โดยปัจจุบันท่าเรือใหญ่ทั้ง 12 แห่งของประเทศอินเดีย ซึ่งประกอบไปด้วยท่าเรือ 1.Kandla 2.Mumbai 3.JNPT 4.Mormugao 5.New Mangalore 6.Cochin 7.Chennai 8.Ennore 9.VO Chidambaranar 10.Visakhapatnam 11.Paradip และ 12.Kolkata มีปริมาณการขนส่งสินค้า คิดเป็นร้อยละ 61 ของทั้งประเทศ
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่าประเทศอินเดียมีอัตราการเติบโตของการขนส่ง สินค้าทางทะเลอย่างน่าสนใจในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความเติบโตของความต้องการสินค้าที่ใช้ในการขัยเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งถือเป็น โอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนชาวไทยที่ยังคงไม่มั่นใจต่อความเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศอินเดีย ฉะนั้นการลงทุนในอินเดียในช่วงนี้ถือเป็นโอกาสที่ดี หรือแม้แต่การส่งออกสินค้ามายังอินเดีย
ข้อเสนอแนะ: สำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะในภาคที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร จะเห็นว่าอินเดียการนำเข้าปุ๋ยเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เนื่องจากกำลังจะเข้าฤดูฝนจึงเป็นโอกาสที่ดีในการส่งออกสินค้า
Source: THE ECONOMIC TIMES. June 25, 2017
9. กระทรวงการทางหลวงพยายามออกแบบตัวแบบเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางของนักลงทุนระดับโลก
Highways ministry working on model pact to suit global investors
Source: The Economic Times
นิวเดลี: กระทรวงทางหลวงกำลังจัดทำข้อตกลงแบบจำลองสำหรับโครงการของตนเพื่อ ตอบสนองความต้องการของนักลงทุนเอกชนโดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง และ สิงคโปร์ ที่แสดงความสนใจในการดำเนินงานดังกล่าว ทั้งนี้นักลงทุนจำนวนมากรวมถึง Canadian Pension Fund Abu Dhabi Investment Fund บางส่วนจากสหรัฐ ยุโรป และสิงคโปร์ ต่างแสดงความสนใจในการเสนอตัวเข้ามาลงทุนโครงการต่างๆ ที่กระทรวงทางหลวงต้องการดำเนินการ
ทั้งนี้กระทรวงทางหลวงของ ประเทศอินเดียกำลังจะมีการดำเนินโครงการจำนวนมากกว่า 75 โครงการ ซึ่งการลงทุนดังกล่าวกระทรวงมีความ ต้องการที่จะเปิดพื้นที่ให้กับนักลงทุนจากต่างชาติให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นในการ ดำเนินงานซึ่งปัจจุบันหลายประเทศให้ความสนใจต่อการถ่ายโอน การลงทุนดังกล่าวของกระทรวงทางหลวง ซึ่งปัจจุบันถูกดูแลโดยรัฐบาลอินเดียเป็นหลัก ทั้งนี้กระทรวง ทางหลวงจึงอยู่ในช่วงการดำเนินการปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อเปิดโอกาสให้ต่างเข้ามาแข่งขัน ทางด้านการลงทุนได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
ในการนี้การปรับปรุงข้อระเบียบด้านการลงทุนดังกล่าวจะขยายครอบคลุมหลากหลาย โครงสร้างที่อินเดียกำลังมีความจำเป็นอย่างสูงในการพัฒนา อาทิ ทางหลวง รถไฟ รถไฟฟ้าภายใน เมืองเดลลี และคลองชลประทาน เป็นต้น ทั้งนี้คาดว่าภายในสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม 2560 จะมีการประมูลโครงการ 10 โครงการจากทั้งหมด 75 โครงการ ภายใต้กรอบระเบียบแบบ แผนการลงทุนใหม่ที่กำลังจัดทำอยู่
สำหรับหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการกองทุนการเงินทางด้านการคมนาคมนั้น ในช่วงเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว รัฐบาลอินเดียได้จัดตั้งองค์การทางหลวงแห่งชาติอินเดีย (National Highways Authority of India) เพื่อรับภาระดำเนินงานในประเด็นดังกล่าว ทั้งนี้คาดว่าผลตอบแทนในช่วงแรกของกองทุนที่ดำเนินงานเกี่ยวกับการคมนาคมนี้ จะทำเงินเข้ากองทุนในช่วงระหว่าง 8 แสนล้านรูปี ถึง 1 ล้านล้านรูปี ในการนี้รัฐบาลอินเดียมุ่งหวังให้การลงทุนผ่าน ระบบกองทุนนี้จะช่วยเป็นแนวทางสำคัญสำหรับรัฐบาลในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานให้มี ประสิทธิภาพ โดยศึกษาจากตัวแบบที่ประสบสำเร็จ ทั้งการปรับปรุง การบริหารจัดการ และการรักษาทางหลวงให้มีคุณภาพตลอดเวลา
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่าประเทศอินเดียกำลังจะเปิดประมูลโครงการที่ เกี่ยวเนื่องกับโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมากทั้งทางหลวง ทางรถไฟ รถไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งถือเป็น โอกาสอันดีสำหรับภาคเอกชนไทยที่ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเกี่ยวเนื่องกับการก่อสร้าง ที่จะเข้ามาประมูลแข่งขัน ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่ามีภาคเอกชนด้านการก่อสร้างของไทยบางส่วนเริ่ม เข้ามาประมูลโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานของอินเดียบ้าง แนวโน้มตามข่าวจะเป็นโอกาสใหม่ที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมของไทยที่ดำเนินงานเกี่ยวเนื่องกับการก่อสร้างดังกล่าว
Source: THE ECONOMIC TIMES. June 25, 2017
10. รัฐบาลให้ความสeคัญกับการด่าเนินการเกี่ยวกับภาษีสินค้าและบริการหรือ GST
Government allays fears on implementation of Goods and Service Tax
Source: The Economic Times
ปัจจุบันสังคมอินเดียมีความกังวลว่า ราคาสินค้าสำคัญจะเพิ่มขึ้นหลังการใช้ภาษี สินค้าและบริการใหม่หรือไม่ NirmalaSitharaman รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพาณิชย์ กล่าวว่า "ไม่มีการแยกกันระหว่างสินค้าจำเป็นและ สินค้าอื่น ๆ โดยที่ราคาสินค้าจะเหมือนกัน ทั้งหมดและราคาสินค้าที่จำเป็นจะไม่เพิ่มขึ้นหลังประกาศใช้กฎหมาย GST" โดย GST เป็นอัตราที่คงที่ที่ขึ้นกับฐานรายได้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน คือ ภาษี GST ทุกชนิดจะเป็นอัตราภาษีที่อยู่ภายใต้ฐานภาษีเดิม สำหรับสินค้าบางชนิดที่มีการกำหนดอัตราภาษีใหม่ก็มี อัตราภาษีที่น้อยกว่าโครงสร้างที่มีอยู่เดิม ดังนั้นราคาของสินค้าที่จำเป็นจะไม่เพิ่มขึ้น โดยไม่มีการเก็บภาษีเพิ่มเติมสำหรับสินค้าที่อยู่ภายใต้โครงสร้างภาษีใหม่ รัฐบาลได้กล่าวว่า ภาษีสินค้าและบริการใหม่นี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นร้อยละ 2 ซึ่ง การปฏิรูปภาษีดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจของอินเดียเติบโตขึ้น
บทวิเคราะห์: การที่รัฐบาลสามารถดำเนินการโครงสร้างภาษีใหม่ที่มีอัตราคงที่และไม่ได้ไม่เปลี่ยนแปลงจากฐานภาษีเดิมนั้น เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการจับจ่ายใช้สอย สินค้าและบริการมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของอินเดีย
Source: THE ECONOMIC TIMES. June 25, 2017
11. รัฐบาลยืดเวลาการบังคับภาษี GST บางเงื่อนไขส่าหรับ Amazon และ Flipkart
GST: Relief for Amazon and Flipkart as government defers implementation of a provision
Source: The Economic Times
นิวเดลี: รัฐบาลได้ยืดเวลาการบังคับใช้ ข้อบัญญัติบางประการในกฎหมายภาษีสินค้า และบริการ (GST) ที่เกี่ยวข้องกับการค้าออนไลน์ที่มีการกำหนดให้ผู้ค้าออนไลน์อย่าง Amazon และ Flipkart จะต้องหักลดหย่อน ภาษีการชำระเงินสำหรับผู้ค้ารายย่อยในระบบร้านค้าของตน นอกจากนี้ ธุรกิจขนาดเล็กที่ขายสินค้าผ่านระบบการค้าออนไลน์ของเว็บไซต์ดังกล่าวไม่ จำเป็นต้องลงทะเบียนเข้าสู่ระบบโดยทันที ก่อนหน้านี้ผู้ค้าในระบบออนไลน์มีความกังวลว่าผู้ผลิตและผู้ค้าสินค้าออนไลน์รายเล็กยังไม่ พร้อมในการลงทะเบียนเข้าสู่ระบบภาษีรูปแบบใหม่จากการกำหนดโดยกฎหมายภาษีสินค้าและ บริการ ซึ่งบริษัทรายใหญ่อย่าง Amazon และ Flipkart ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมานำเสนอรัฐบาล ซึ่ง รัฐบาลเองก็มีการตอบรับอย่างดีโดยทันที
โฆษกของ Amazon กล่าวว่า “นี่เป็นการรับรองว่าการทำธุรกิจจะดำเนินต่อไปได้ในตลาดสินค้า แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือประโยชน์ของผู้ค้ารายเล็กที่จะได้รับจากการที่พวกเขาจะไม่ต้องถูก กดดันระหว่างช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบภาษีใหม่นี้” กระทรวงการคลังได้แจ้งว่า บริษัทร้านค้าออนไลน์จะไม่ถูกกำหนดให้ต้องจ่ายจ่ายภาษี Tax Collected at Source ที่อัตราร้อยละ 1 เมื่อมีการชำระเงินให้กับผู้ผลิตแหล่งสินค้าภายใต้ระบบ ภาษีสินค้าและบริการ จากการที่ข้อบัญญัติ GST ส าหรับส่วนกลาง (CGST) และข้อบัญญัติ GST สำหรับรัฐ ท้องถิ่น (SGST) ได้แจ้งให้กับหน่วยงานต่างๆ ว่ากำหนดให้มีการจัดเก็บภาษี Tax Deducted at Source หรือภาษี Tax Collected at Source ที่อัตราร้อยละ 1 ในการชำระเงินที่มีมูลค่า มากกว่า 2.5 แสนรูปีให้กับผู้ผลิตสินค้าและบริการ อย่างไรก็ตาม ข้อบัญญัติดังกล่าวได้ถูกระงับไว้ชั่วคราว
กระทรวงการคลังแจ้งว่า “เนื่องจากมีข้อเสนอจากภาคการค้าและอุตสาหกรรม รัฐบาลได้ ตัดสินใจให้มีการเลื่อนข้อบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการเก็บภาษี Tax Deducted at Source และ Tax Collected at Source ภายใต้กฎหมายภาษีสินค้าและบริการปี 2017 โดยมีจุดประสงค์เพื่อ รับประกันว่าการบังคับใช้กฎหมายภาษีสินค้าและบริการเป็นไปอย่างราบรื่น” ทั้งนี้ กำหนดเวลาใหม่ในการบังคับใช้ข้อบัญญัติดังกล่าวจะมีการประกาศในภายหลัง
ธุรกิจขนาดเล็กที่มีผลประกอบการน้อยกว่า 2 ล้านรูปี ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนในระบบ ภาษีสินค้าและบริการในการขายสินค้าและบริการผ่านระบบออนไลน์ “การยืดเวลาดังกล่าวเป็นไป เพื่อขยายเวลาให้บริษัทร้านค้าออนไลน์และผู้ผลิตสินค้าไปยังร้านค้าออนไลน์มีการเตรียมพร้อมกับการปฏิรูปภาษีนี้”
โฆษก All India Online Vendors’ Association กล่าวว่า “เราน้อมรับข้อเสนอดังกล่าว เพื่อให้มีช่วงเวลาสำหรับผู้ค้าได้มีความพร้อม อย่างไรก็ตามเรายังต้องการเห็นการบังคับใช้ภาษี Tax Collected at Source อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” เครือข่ายผู้แสดงในระบบภาษีสินค้าและบริการได้เริ่มยอมรับการลงทะเบียนภาษี Tax Deducted at Source และ Tax Collected Source เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมาเนื่องจากการประกาศที่เร่งรีบจนเกินไป การลงทะเบียนอย่างสมบูรณ์ภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 จึงเป็นไปไม่ได้
บทวิเคราะห์: แม้ว่ารายงานข่าวดังกล่าวจะแสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อมในการปรับใช้ กฎหมายภาษีสินค้าและบริการในทุกภาคส่วนอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นใน กรณีนี้ที่เกี่ยวข้องกับการลงทะเบียนสำหรับร้านค้าออนไลน์ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ อันจะช่วยให้การปฏิรูปโครงสร้างระบบภาษีใหม่นี้เป็นไปอย่างราบรื่นในทุกภาคส่วน
Source: THE ECONOMIC TIMES. Jun 27, 2017
12. Donald Trump เตือน Modi ว่า อินเดียจะต้องลดอุปสรรคต่อการส่งออกของสหรัฐฯ
India must reduce obstacles to US exports: Donald Trump warns Narendra Modi
Source: The Economic Times
นิวเดลี: Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้เรียกร้องให้อินเดียช่วยลดอุปสรรค โดยการเรียกร้องความสัมพันธ์ทางการค้าที่มีความยุติธรรม และพึ่งพาอาศัยกันและกัน เนื่องจากทั้งสอง ประเทศกำลังพัฒนาการค้าด้านพลังงานและ ก๊าซธรรมชาติในระยะยาว ทั้งสองประเทศได้เสนอให้มีการพัฒนาความสัมพันธ์ทางพาณิชย์ที่วางอยู่บนพื้นฐานที่เสรี และยุติธรรม มีการแถลงร่วมกันว่า “สหรัฐฯ และอินเดียวางแผนรวมกันในการทบทวน ความสัมพันธ์ทางการค้าที่มุ่งเป้าที่กระตุ้นให้เกิดกระบวนการสร้างบรรทัดทาน การยืนยันถึงการใช้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสม และเพิ่มการเข้าถึงตลาดในภาคเกษตรกรรม เทคโนโลยี สารสนเทศ และอุตสาหกรรมสินค้าและบริการ”
แม้ว่าสหรัฐฯ จะเป็นประเทศที่อินเดียส่งออกสินค้ามากเป็นอันดับสองรองจากจีน แต่ สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับอินเดียมูลค่า 2.43 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2016 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2015 ที่ร้อยละ 4.2 สหรัฐฯ ได้ยกประเด็นถึงอุปสรรคภายในอินเดียในภาคพลังงานและเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมากจากการเก็บภาษีในอัตราที่สูงในสินค้าประเภทโทรคมนาคมและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ตลอดจนอุปสรรคด้านนโยบายด้านทรัพย์สินทางปัญญา
The National Association of Manufacturers กลุ่มองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้ กล่าวว่าอินเดียมีอัตราภาษีนำเข้าสินค้าที่สูงมากเกินไป ข้อกำหนดในการลงทะเบียนในสินค้าประเภทเครื่องสำอาง ข้อกำหนดในการบรรจุหีบห่อ และการแสดงฉลากในสินค้าประเภทอาหาร การตัดต่อพันธุกรรมในอาหารแปรรูป และมาตรฐาน เกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้วอชิงตันกล่าวว่าอินเดียได้กำหนดเงื่อนไขที่ส่งผลเสียต่อการส่งออก รัฐบาลอินเดียกล่าวว่าข้อกังวลดังกล่าวกำลังถูกพูดคุยในรัฐบาล เจ้าหน้าที่ของรัฐรายหนึ่ง กล่าวว่ากระบวนการทางศุลกากรจะทำให้สอดคล้องกับข้อตกลงการอำนวยความสะดวกทาง การค้า และความกังวลของสหรัฐฯ ซึ่งเงื่อนไขและโครงสร้างทางการค้าของอินเดียที่ล้าสมัยจะถูกยกเลิก
เจ้าหน้าที่ของรัฐคนดังกล่าว กล่าวว่า “นอกจากนี้ จะมีการพัฒนารูปแบบการจัดซื้อด้วยระบบออนไลน์โดยรัฐบาล” ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าบางคนกล่าวว่า ข้อเรียกร้องบางประการของ สหรัฐฯ จะไม่ถูกนำไปแก้ไข Biswajit Dhar ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเจาวะหาร์ลาล เนห์รู กล่าวว่า “อินเดียมี รูปแบบการเข้าถึงตลาดที่แน่นอนอย่างเช่นสินค้าจากธัญพืช ซึ่งอินเดียไม่อาจท าตามที่สหรัฐฯ ร้องขอดังนั้น ความต้องการของสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จะไม่ถูกรับรอง”
มูลค่าที่สหรัฐฯ ส่งออกอุตสาหกรรมการบริการมายังอินเดียอยู่ที่ประมาณ 1.81 หมื่นล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2015 มูลค่าน าเข้าอยู่ที่ 2.47 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การขายการบริการ ในอินเดียโดยบริษัทที่ชาวอเมริกันเป็นเจ้าของร่วมมีมูลค่า 2.27 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2014 ในขณะที่การขายการบริการในสหรัฐฯ โดยบริษัทที่ชาวอินเดียเป็นเจ้าของร่วมมีมูลค่า 1.34 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีเดียวกัน Dhar อธิบายว่าสินค้าจากจีนต้องพบกับกระบวนการทางศุลกากรของอินเดีย แต่ธุรกิจของจีนในอินเดียก็มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง “จีนไม่เคยเรียกร้องต่ออินเดีย ดังนั้น สหรัฐฯ จึงควร สนใจในโครงสร้างการผลิตของตนและความมีประสิทธิภาพ”
บทวิเคราะห์: ปัจจุบันอินเดียได้มีการปฏิรูปโครงสร้างทางการพาณิชย์ที่เอื้อและส่งเสริมให้ เกิดการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น โดยการลดอุปสรรคและข้อกำหนดที่ซับซ้อนและเข้มงวดที่มา จากข้อเสนอของประเทศคู่ค้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเจตจำนงของอินเดียในสนับสนุนการทำการค้าระหว่างประเทศ และในกรณีนี้ที่สหรัฐฯ ได้เรียกร้องต่ออินเดียก็มีแนวโน้มว่าอินเดียจะตอบรับและ ทำตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ เพื่อให้การค้าระหว่างสองประเทศมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
Source: THE ECONOMIC TIMES. Jun 28, 2017
13. McDonald ในเมืองนิวเดลีจะถูกปิด 43 สาขา ท่าให้เกิดการเลิกจ้างแรงงานกว่า 1,700 คน
43 McDonald’s Delhi outlets to shut today, 1,700 will lose jobs
Source: The Economic Times
นิวเดลี: มีความเคลื่อนไหวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อเกิดความขัดแย้งกันภายใน บริษัท Connaught Plaza Restaurants (CPRL) ที่เป็นบริษัทร่วมทุน 50:50 ระหว่าง ธุรกิจท้องถิ่นที่นำโดย Vikram Bakshi และ McDonald ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งบริษัทดังกล่าวดูแลธุรกิจอาหารจานด่วนในพื้นที่ แถบภาคเหนือและภาคตะวันออกของอินเดีย โดยบริษัทเบอร์เกอร์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกประสบ ปัญหากับผู้บริหารของ CPRL และนำไปสู่การปิดร้านอาหารในเมืองนิวเดลีที่อยู่ในความดูแลกว่า 43 ร้าน จากทั้งหมด 53 ร้าน
Vikram Bakshi อดีตผู้จัดการของ CPRL ซึ่งดูแลร้านอาหารกว่า 168 ร้าน “เป็นเรืองที่ โชคร้าย แต่ร้านอาหาร 43 ร้านภายใต้การดูแลโดย CPRL จะถูกปิดชั่วคราว” Bakshi ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของบอร์ดบริหารของ CPRL ร่วมกับภรรยาของเขา โดยมีตัวแทนของ McDonald สองคนร่วมอยู่ด้วย ซึ่งการตัดสินใจปิดร้านอาหารดังกล่าวมาจากการ ตัดสินใจของการประชุมบอร์ดผู้บริหารผ่านสไกป์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทั้งนี้แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือเปิดเผยถึงสาเหตุของการปิดร้านอาหารหลายสาขาครั้งนี้ว่ามาจากการที่ CPRL ล้มเหลวในการต่ออายุใบอนุญาตด้านสุขอนามัย เนื่องจากความขัดแย้งระหว่าง Bakshi และ McDonald ทำให้การปิดร้านอาหารดังกล่าวส่งผลให้เกิดการยกเลิกการจ้างงานใน 1,700 อัตรา
Bakshi ซึ่งถูกปลดจากผู้จัดการของ CPRL เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2556 ได้เข้าไปพัวพันกับ กับปัญหาความขัดแย้งด้านกฎหมายที่ยืดเยื้อกับ McDonald ซึ่งเป็นการดึงให้บริษัทอาหารจาน ด่วนยักษ์อย่าง McDonald เข้าสู่กระบวนการกฎหมายบริษัท (Company Law Board) และยังไม่มีการตัดสินโทษ McDonald ได้พยายามให้มีการตั้งอนุญาโตตุลาการต่อ Bakshi ใน the London Court of International Arbitration
Westlife Development Ltd ที่อยู่ในเครือบริษัท Hardcastle Restaurants Pvt. Ltd (HRPL) ได้สิทธิในการดูแลร้านอาหารของ McDonald 242 สาขาในแถบภาคตะวันตกและภาคใต้ของอินเดีย การปิดร้านดังกล่าวจะส่งผลเสียต่อ McDonald ซึ่ง McDonald เองได้เสียตำแหน่ง ร้านอาหารจานด่วนอันดับหนึ่งในอินเดียให้กับบริษัทพิซซ่าของ Domino’s ในปี 2556
บทวิเคราะห์: การเข้าไปพัวพันในประเด็นปัญหาข้อกฎหมายของบริษัทต่างๆ มักจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และแบรนด์ของบริษัท แม้กระทั่ง McDonald ที่ถือว่าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน อาหารจานด่วนก็ต้องปิดตัวและลดสาขาในอินเดียจะความขัดแย้งด้านกฎหมายกับบริษัทร่วมทุน ดังนั้น การทำธุรกิจในอินเดียจึงต้องมีการศึกษาข้อกฎหมายและรายละเอียดที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิด ปัญหาด้านข้อกฎหมายที่จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสินค้า
Source: THE ECONOMIC TIMES. Jun 29, 2017