สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์: 26 สิงหาคม - 01 กันยายน 2560 (อินเดีย)
1. ผลกระทบ GST: หลังจากประกาศใช้ GST แบรนด์อาหารท้องถิ่นจำนวนมากหายไป
GST impact: After GST, many local food brands do a vanishing act
หลังจากการมีการประกาศใช้GSTในสินค้าอาหารท้องถิ่นหลายแห่งได้ออกสู่ตลาดแล้ว ทำให้ผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าบรรจุกระป๋องเช่น ข้าว ดาล เป็นต้น ไม่สามารถหาซื้อได้โดยสินค้าอาหารสำเร็จรูปที่มีตราจดทะเบียนหรือเครื่องหมายการค้าได้รับการหักภาษีณ ที่จ่าย 5% ภายใต้GST ในขณะที่แบรนด์ที่ไม่ได้จดทะเบียนจะไม่มีภาษี ก่อนหน้านี้ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทุกประเภทของอาหารได้รับการยกเว้นภาษีความวิตกกังวระหว่างผู้ค้าและผู้บริโภคก็คือ นโยบายใหม่ได้สร้างสนามการค้าใหม่ เนื่องจากความแปรผันของราคา ซึ่งส่งผลให้ซัพพลายเออร์จำนวนมากยกเลิกการยื่นขอจดทะเบียนผลิตภัณฑ์ของตน
Source: The Economic Times
โดยเจ้าหน้าที่ใน CBEC กล่าวว่า รัฐบาลเลือกที่จะยกเว้นภาษีจากสินค้าที่ยกเลิกการลงทะเบียนของอาหารที่บรรจุภัณฑ์จากภาษี เพียงเพื่อปกป้องผู้ค้ารายย่อยจากการแข่งขันกับแบรนด์ธุรกิจที่มีการจัดระเบียบ อย่างไรก็ตามการย้ายดังกล่าว ส่งผลให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ซึ่งความแตกต่างของราคาระหว่างสินค้าที่มีลักษณะคล้ายกัน
Lahotiกล่าวว่าในขณะที่ราคาเฉลี่ยของ tur dal อยู่ที่100 รูปีต่อกิโลกรัมซึ่งถ้าเป็นสินค้าที่มีลงทะเบียนแล้วจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก 5 รูปีในทำนองเดียวกันข้าวที่ขายในราคา 50 รูปีจะมีราคาเพิ่มขึ้น 2.5 รูปีหากบรรจุในถุงที่มีเครื่องหมายการค้าจดทะเบียน
Nagendra Kumar กล่าวว่ารัฐบาลได้รับทราบถึงปัญหาความไม่เท่าเทียมกันดังกล่าวแล้วและคาดว่าคณะมนตรีจะหารือเรื่องในนี้ในที่ประชุมที่ Hyderabad ในวันที่9กันยายน 2560 ที่จะถึงนี้
บทวิเคราะห์: รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องมีการปรับตัวเรื่องนโยบายจากผลกระทบดังกล่าวให้เร็วที่สุด เนื่องจากผลกระทบดังกล่าวจะส่งผลถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการขายปลีกที่มีอยู่เดิมในอินเดีย
Source: ET Retail. Aug 24, 2017
2. รัฐบาลอินเดียมีห้ามการนำเข้าทองคำภาษีร้อยละศูนย์จากเกาหลีใต้ซึ่งทำให้รัฐสูญเสียเงินรายได้กว่า 7.5 พันล้านรูปี
Govt bans gold import at zero duty from South Korea: Revenue loss estimated at Rs 750 crore
มุมไบ: อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (Director General of Foreign Trade) เมื่อวันศุกร์ได้แจ้งการบังคับใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีร้อยละศูนย์ภายใต้ FTA อินเดีย-เกาหลีใต้ซึ่งมีการลงนามร่วมกันตั้งแต่ปี 2552 โด เฉพาะในกลุ่มทองคำ เงิน รวมถึงเงินตราและสิ่งของที่เกี่ยวเนื่องกับโลหะดังกล่าว เนื่องจากสิทธิประโยชน์ดังกล่าวถูก นำไปใช้อย่างไม่ถูกต้องสำหรับการนำเข้าทองค าปลอดภาษีจากเกาหลีใต้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีผลทันทีต่อการห้ามนำเข้าทองคำในลักษณะดังกล่าว
DGFT ได้ออกประกาศยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีกับเกาหลีใต้ที่ลงนามในปี 2552 เกี่ยวกับทองคำ เงิน และสินค้าตามรายละเอียดข้อตกลง ทั้งนี้นักวิเคราะห์มองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นผลมาจากนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2560 เป็นต้นมามีการนำเข้าโลหะมีมูลค่าผ่านสิทธิประโยชน์ดังกล่าวจากเกาหลีใต้จ านวนกว่า 27 ตันทองคำ โดยในช่วงเดือนกรกฎาคม 2560 มีการน าเข้าอยู่ที่ 10 ตัน ในขณะที่เดือนสิงหาคม 2560 ที่ผ่านมีปริมาณเพิ่มสูงถึง 17 ตัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภททองคำ โดยที่ผู้นำเข้ากว่า 25 รายทั้งรายเล็กและรายใหญ่ต่างใช้ช่องทางดังกล่าวในการดำเนินการ
การแจ้งเตือนครั้งนี้เป็นไปอย่างทันท่วงที เนื่องจากเป็นกรณีของการใช้งานที่ไม่เหมาะสม และใช้ในทางที่ผิดอันละเมิดเจตนารมณ์ของข้อตกลงการค้าเสรี โดยจำนวนกว่าร้อยละ 90 ของการกระทำผิดดังกล่าวเกิดจากการกระทำของผู้นำเข้ารายใหญ่ 5 ราย นอกจากนี้ผู้นำเข้าเหล่านี้ยังมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลของสินค้าเพื่อให้เกิดความแตกต่างของพิกัดศุลกากร ผลของการกระทำดังกล่าวส่งผลให้คาดการณ์ว่ารัฐบาลศูนย์เสียรายได้กว่า 7.5 พันล้านรูปี ซึ่งถือเป็นการทำลายกรอบการกำกับดูแลเรื่องการเงินของรัฐบาล
ผู้เชี่ยวชาญระบุเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันเกาหลีใต้มีศักยภาพในการผลิตทองคำอยู่ที่ 120 ตันต่อปี ซึ่งตัวเลขการนำเข้าทองคำดังกล่าวของอินเดียดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก และเมื่อศึกษาเพิ่มเติมพบว่าทองคำดังกล่าวถูกส่งมาจากดูไบเข้าไปยังเกาหลีใต้ส่งผลให้ตลาดทองคำในดูไบมีการเคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวน ในขณะที่ตลาดทองคำในเกาหลีใต้แทบไม่มีความเคลื่อนไหว สะท้อนให้เห็นว่าทองคำที่ถูกส่งมายังอินเดียนั้นเป็นทองคำจาก ดูไบซึ่งไม่เข้าเกณฑ์ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างอินเดีย และเกาหลีใต้จ้าหน้าที่กล่าวว่าปัญหาของ เรื่องนี้เกิดจากรัฐบาลเมื่อพบว่าทองคำที่มาจากดูไบไม่ได้เป็นทองคำที่ได้รับการรับรองจาก LBMA (London Bullion Market Association) และ อาจเป็นทองคำที่ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในประเทศแถบแอฟริกาด้วย
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่าอินเดียเริ่มมีมาตรการที่เข้มข้นมายิ่งขึ้นในการตรวจตราเกี่ยวกับสินค้าประเภททองคำ เนื่องจากปัจจุบันการขาดดุลทางการค้าส่วนใหญ่ของอินเดียเกิดจากการนำเข้าทองคำจำนวนมากจากต่างประเทศ มาตรการเหล่านี้ย่อมกระทบถึงการส่งออกทองคำของประเทศไทยมายังประเทศอินเดียด้วย เนื่องจากอินเดียถือเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของการส่งออกทองคำของไทย
ข้อเสนอแนะ: ผู้ส่งออกทองคำของไทยควรมีการตรวจสอบมาตรการต่างๆของรัฐบาลอินเดียอย่างใกล้ชิด เนื่องจากรัฐบาลอินเดียกำลังมีความพยายามอย่างมากในการลดภาระการขาดดุลการค้ากับต่างประเทศ ซึ่งทองคำถือเป็นหนึ่งในสินค้าที่ถูกจับตามองมากที่สุด โดยอินเดียมักอาศัยประเด็นเรื่องแหล่งกำเนิดของสินค้าเป็นตัวแปรสำคัญในการยกเลิกสิทธิประโยชน์การปลอดภาษีการนำเข้า
Source: The Business-Standard. AUG 26, 2017
3. คณะกรรมการพาณิชย์กังวลถึงภาวะการขาดดุลการค้ากับอาเซียน
MPs fret over trade deficit with ASEAN
นิวเดลี: คณะกรรมาธิการพาณิชย์ของรัฐสภาอินเดีย (The Parliament Standing Committee on Commerce) ได้ตั้งคำถามกับรัฐบาลเกี่ยวกับการขาดดุลการค้ากับกลุ่มประเทศอาเซียนที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องมาจากการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ที่จำเป็น และแนะนำให้อินเดียหาตลาดที่ดีกว่ากลุ่มประเทศอาเซียนทั้ง 10 ในการเข้าถึงสินค้าและบริการ
อินเดียประสบกับภาวะขาดดุลการค้าจาก 5 ประเทศในกลุ่มอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย บรูไน และ ลาว ในปี 2558-59 และ 2559-60 โดยเฉพาะกับประเทศอินโดนีเซีย ภายใต้ข้อตกลงด้านการค้า อินโดนีเซียได้รับส่วนลดด้านภาษี50.1% ซึ่งถือว่าน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับสมาชิกในกลุ่มอาเซียนอื่นๆ ซึ่งส่งผลให้อินเดียขาดดุลการค้ากับอินโดนีเซียสูงที่สุดอินเดีย
นาย Bhupender Yadav ส.ส. จากพรรค BJP กล่าวว่า อินเดียควรหาตลาดอื่นที่ได้เปรียบกว่าการค้าขายกับกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะสินค้าประเภทเครื่องหนังและยา เพื่อจะได้ลดภาวะในการขาดดุล กระทรวงพาณิชย์กล่าวว่าการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ที่จำเป็น เช่น ถ่านหิน ปิโตรเลียม และ น้ำมันในการทำอาหาร จากกลุ่มอาเซียนอยู่ในอัตราสูง และหากลดการนำเข้าสินค้าเหล่านี้ได้ อินเดียก็จะไม่อยู่ในภาวะขาดดุลการค้า
หากข้อเสนอเหล่านี้ได้รับการพิจารณา ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีข้อตกลงด้านการค้ากับกลุ่มอาเซียนอีกต่อไป แต่การนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ที่จำเป็นก็จะยังคงมีต่อไป ไม่ว่าจะมีข้อตกลงด้านการค้าหรือไม่ก็ตาม
ตัวเลขการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์จำเป็นในปี2559-60 ลดลง 2.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่น้ำมันสำหรับทำอาหารเพิ่มขึ้น 3.7% ปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นเกือบ 50% ส่วนสินค้าที่อินเดียนำเข้าจากกลุ่มอาเซียนที่เป็นที่นิยมอื่นๆ ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เรือ ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้า และส่วนประกอบด้านเทเลคอม ในขณะที่สินค้าที่อินเดียส่งออกไปยัง กลุ่มอาเซียนมากเป็นอันดับสองคือเนื้อกระบือ ซึ่งเพิ่มขึ้น 4.92% ในปี 2559-60
อาเซียนเป็นคู่ค้าที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของอินเดีย โดยมีมูลค่าการค้ารวมในปี2559-60 รวม $71.69 พันล้าน ซึ่งถือเป็น 11% ของมูลค่าการค้าของอินเดียทั้งหมด การส่งออกของอินเดียไปยังอาเซียนในปี 2559-60 อยู่ที่ $31.07 พันล้าน และการนำเข้า $40.63 พันล้าน ทำให้เกิดการขาดดุล $9.56 พันล้าน
คณะกรรมาธิการฯ ยังพบว่าในขณะที่สินค้าส่งออกด้านการเกษตรจากอินเดียต้องเสียภาษี และถูกกีดกัน จนทำให้การส่งออกลดลง แต่การนำเข้าอาหารสำเร็จรูปจากอาเซียน กลับไม่ได้รับการตั้งคำถามด้านมาตรฐานคุณภาพ คณะกรรมการจึงแนะนำให้กระทรวงตรวจสอบสินค้านำเข้า ด้านอาหารสำเร็จรูปราคาถูกคุณภาพต่ำเหล่านี้ และให้มีการกำหนดมาตรฐานด้านคุณภาพสินค้าเหล่านี้จากกลุ่มอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ด้วย
นอกจากนี้ คณะกรรมการยังได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการที่อาเซียนเก็บภาษีสินค้าด้านสิ่งทอ และยาจากอินเดีย และเรียกร้องให้มีการลดภาษีการส่งออกเหล็กกล้าด้วย ทั้งยังพยายามให้มีการพัฒนาการเข้าถึงการค้าด้านบริการกับกลุ่มอาเซียน โดยเน้นการเพิ่มขึ้นของธนาคารและ สถาบันด้านการเงินของอินเดียในภูมิภาคนี้
บทวิเคราะห์: จะเห็นได้ว่าในอนาคตรัฐบาลอินเดียอาจจะมีนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่ส่งผลต่อการนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างอินเดียและกลุ่มประเทศอาเซียน
Source: The Hindu. AUG 26, 2017
4. โครงการทางด่วนสายใหม่จะสร้างขึ้นที่รัฐ Rajasthan โดยมีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านรูปี
New highway projects worth Rs 1 lakh crore in Rajasthan: Nitin Gadkari
นิวเดลี: Nitin Gadkari รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการขนส่งทางบกและทางหลวง กล่าวว่า รัฐบาลกลางวางแผนโครงการสร้างถนนที่มีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านรูปี ในอีกสองปีข้างหน้า และจะมีการพัฒนาระบบโครงสร้างทางหลวงของรัฐ Rajasthan
Source: Deccan Chronicles
Narendra Modi นายกรัฐมนตรีอินเดีย มีกำหนดการเปิดโครงการ 11 โครงการ และวางศิลาฤกษ์ในอีก 6 โครงการ ในวันที่ 29 สิงหาคม 2560 โดยโครงการดังกล่าวทั้งหมดมีมูลค่า 1.5 แสนล้านรูปี ในบรรดาโครงการดังกล่าว มีโครงการทางหลวงความยาว 873 กิโลเมตร ที่เมือง Udaipur ซึ่ง นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการขนส่งทางบกและทางหลวงกล่าวถึงโครงการดังกล่าวว่าเป็นการอุทิศให้กับประเทศชาติ
Gadkari กล่าวว่า “และเพื่อสานต่อวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เราได้เริ่มการประมูลในการสร้างโครงสร้างทางหลวงในรัฐ Rajasthan” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการขนส่งทางบกและทางหลวง และกระทรวงการขนส่งทางทะเล กล่าวว่า ความยาวของทางหลวงในรัฐต่างๆ ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จากเดิมที่มีความยาว 7,000 กิโลเมตร ปัจจุบันมีความยาวประมาณ 14,000 กิโลเมตร หลังจากที่รัฐบาล NDA เข้าสู่อำนาจ
เขากล่าวว่า “เราวางแผนโครงการสร้างทางหลวงที่มีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านรูปีในรัฐ Rajasthan ภายในสองปีข้างหน้า” เขายังกล่าวอีกว่า ทางด่วนสายใหม่จะถูกสร้างเพื่อเชื่อมต่อระหว่างเมืองหลวงกับเมืองสีชมพู (Delhi-Jaipur Highways) ซึ่งจะเสร็จสมบูรณ์ในเดือนธันวาคม 2560 เนื่องจากมีความก้าวหน้าแล้วกว่าร้อยละ 90 เขากล่าวว่า “ทางด่วนเส้นทาง Delhi-Jaipur กำลังจะเสร็จสมบูรณ์กระบวนการจัดหาที่ดินจะเสร็จสิ้นในเร็วๆ นี้ซึ่งนี่จะเป็นหมุดหมายสำคัญในการพัฒนา Rajasthan” และเส้นทางดังกล่าวจะช่วยให้การเดินทางระหว่างเมือง Delhi-Jaipur ใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
Gadkari กล่าวว่า การเปิดประมูลเพื่อสร้างทางหลวงในรัฐ Rajasthan จะช่วยยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมในรัฐดังกล่าว เขายังกล่าวถึงโครงการอื่นๆ ที่มีมูลค่ากว่า 1.6 แสนล้านรูปีว่า มีสี่โครงการที่เป็นโครงการตกค้างมานาน ซึ่งรวมถึงสะพานเคเบิลความกว้าง 6 ช่องถนนที่เมือง Kota “โครงการก่อสร้างสะพานเคเบิลถูกทิ้งค้างไว้กว่าหลายปีและพบกับปัญหามากมาย ผู้ทำสัญญาไม่สามารถทำโครงการให้เสร็จสมบูรณ์แต่ในที่สุดเราก็สามารถทำให้โครงการดังกล่าวเดินหน้าต่อได้”
สะพานเคเบิลความยาวกว่า 1.4 กิโลเมตร ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำChambal ที่เมือง Kota จะถูกสร้างขึ้นด้วยเงินกว่า 2.78 พันล้านรูปี นอกจากนี้รัฐบาลกลางยังมีความมุ่งมั่นในการลงทุนเพื่อสร้างทางหลวง โดยนายกรัฐมนตรี จะเปิดโครงการกว่า 11 โครงการในสัปดาห์หน้า ซึ่งประกอบด้วย โครงการทางหลวง Gomati Chauraha-Udaipur ที่เมือง Rajasamand ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1.12 หมื่นล้านรูปีและโครงการอื่นๆ ที่เมือง Bhilwara, Pali, Nagaur, Barmer, Sikar, Churu, Jodhpur, Jaisalmer และ Barmer
บทวิเคราะห์: โครงการก่อสร้างทางหลวงไม่เพียงแค่กระตุ้นการลงทุนเฉพาะส่วนของการสร้างถนนเท่านั้น แต่ผลจากการสร้างถนนจะส่งผลต่อการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากถนนช่วยให้เกิดการสร้างเมืองใหม่และขยายการเชื่อมต่อระหว่างเมือง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของเมือง ต่างๆ เป็นไปได้สะดวกมากขึ้น นำมาซึ่งโอกาสในการลงทุนทางเศรษฐกิจ การพัฒนาอุตสาหกรรม ตลอดจนการสร้างงาน อันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจของอินเดียไปในตัว
Source: THE ECONOMIC TIMES. Aug 27, 2017
5. คณะกรรมาธิการของรัฐสภาอินเดียได้มีการจัดทำข้อเสนอ 69 ประการต่อรัฐบาลในการเพิ่มความสัมพันธ์ทางด้านการค้ากับอาเซียน
Parliamentary panel suggests 69 ways to improve trade with ASEAN
นิวเดลี: คณะกรรมาธิการของรัฐสภาอินเดียได้มีการจัดทำข้อเสนอแนะ 69 ประการสำหรับรัฐบาลในการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและการค้ากับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ทั้งนี้คณะกรรมาธิการดังกล่าวประกอบไปด้วยสมาชิกรัฐสภาจ านวนกว่า 31 ท่าน ซึ่งประกอบไปด้วยอดีตรัฐมนตรีสองท่านคือนาย Kamal Nath และ Kapil Sibal ทั้งนี้คณะกรรมาธิการดังกล่าวมีประธานกรรมาธิการคือนาย Bhupendra Yadav ซึ่งเป็นตัวแทนของสมาชิกรัฐสภาของพรรค BJP
รายงานฉบับนี้ได้ถูกส่งไปยังรัฐบาลในวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2560 ทั้งนี้รายงานระบุว่าอินเดียควร จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับอาเซียนให้มากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดอาเซียนของสินค้าอินเดีย ซึ่งอินเดียมีความได้เปรียบในหลายผลิตภัณฑ์สินค้า อาทิเช่น เครื่องหนัง ยา เป็นต้น การดำเนินงานดังกล่าวจะช่วยให้ดุลการค้าของอินเดียกับอาเซียนเพิ่มมากยิ่งขึ้น
คณะกรรมาธิการได้เสนอข้อเสนอแนะ 69 ข้อซึ่งรวมถึงการให้สัตยาบันเบื้องต้นต่อข้อตกลงระหว่างอินเดียและอาเซียน อันจะนำไปสู่การเข้าถึงตลาดการค้าในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน รวมตลอดจนเป็นการปกป้องการส่งออกสินค้าประเภทยาและสิ่งทอของอินเดีย คณะกรรมาธิการได้พบปะกับผู้แทนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆกว่า 15 คนส าหรับเรื่องนี้โดยคณะทำงานได้ตั้งข้อสังเกตว่าประเทศสมาชิกอาเซียนไม่มีการลงทุนในภาคส่วนอุตสาหกรรมของอินเดียมากนัก ดังนั้นคณะกรรมาธิการจึงได้มีการเสนอให้มีการจัดสัมมนาหรือการประชุมร่วมกันระหว่างผู้บริหารระดับสูงอย่างสม่ำเสมอระหว่างอินเดีย และประเทศอาเซียน
คณะกรรมาธิการยังได้มีการเสนอให้รัฐบาลอินเดียมีความระมัดระวังต่อมาตรการป้องกันการค้าสินค้า สิ่งทอของอาเซียนที่กำลังเริ่มดำเนินการ นอกจากนี้ยังได้มีการระบุถึงรายละเอียดว่าด้วยอุปสรรคที่มิใช่ภาษีที่อินเดียพยายามส่งออกไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนโดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ยา ทั้งนี้คณะกรรมาธิการได้แนะนำให้กรมการค้ามีการออกมาตรการที่เหมาะสมสำหรับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อให้สินค้าอินเดียได้รับการยอมรับมากยิ่งขึ้นจากประเทศสมาชิกอาเซียน อีกหนึ่งข้อเสนอสำคัญคือการปรับปรุงระบบธนาคารของอินเดียให้สามารถเชื่อมโยงกับประเทศสมาชิกในอาเซียนให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
หนึ่งในคณะกรรมาธิการกล่าวเพิ่มเติบว่าการขยายความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและการค้าถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของอินเดีย ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการเพิ่มการลงทุนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย เมื่อเร็ว ๆ นี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพาณิชย์และอุตสาหกรรม Nirmala Sitharaman กล่าวว่าหากอินเดียและประเทศในกลุ่มอาเซียนได้ตระหนักถึงศักยภาพทางธุรกิจของตนอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ในอนาคตความร่วมมือเพื่อสร้างการเชื่อมต่อที่รวดเร็วทั้งในเชิงเส้นทางการคมนาคมและเส้นทางการค้าย่อมเกิดขึ้นในไม่ช้า
บทวิเคราะห์: จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าภาครัฐของอินเดียกำลังเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาระดับความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับอาเซียนเพิ่มมากยิ่งขึ้น แนวโน้มดังกล่าวย่อมเป็นผลดีต่อประเทศไทยในฐานะหนึ่งในสมาชิกของอาเซียน เป็นไปได้ว่าในอนาคตอินเดียจะให้สิทธิประโยชน์ทางด้านการลงทุนต่อประเทศสมาชิกอาเซียนมากยิ่งขึ้น เพื่อแลกเปลี่ยนกับการเข้าถึงตลาดการค้าในภูมิภาคอาเซียน
ข้อเสนอแนะ: นักลงทุนชาวไทยที่กำลังมองหาช่องทางการลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมอาจเป็นช่วงเวลาอันดีที่จะเริ่มเข้ามาศึกษาตลาดการค้าในอินเดีย รวมถึงการศึกษาข้อมูลทางด้านการลงทุนในประเทศแห่งนี้เพราะหากอินเดียเริ่มให้สิทธิประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้นต่อประเทศในกลุ่มอาเซียนจะช่วยให้นักลงทุนมีความพร้อมในการลงทุนและสามารถเข้าถึงตลาดอินเดียได้ก่อนนักลงทุนประเทศอื่นๆ
Source: THE ECONOMIC TIMES. AUG 28, 2017
6. รัฐบาลอินเดียกำหนดสต๊อกให้กับโรงงานเพื่อตรวจสอบราคาน้ำตาล
Government imposes stock limit on mills to check sugar prices
Ram Vilas Paswan รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอาหาร กล่าวว่า ในวันนี้ว่ารัฐบาลได้กำหนดโควต้าให้ โรงงานน้ำตาลสำหรับสองเดือนข้างหน้าเพื่อควบคุมราคาในช่วงเทศกาล โดยการผลิตน้ำตาลในอินเดียซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตรายใหญ่อันดับสองของโลกคาดว่าจะลดลงเหลือประมาณ 21 ล้านตันในช่วงปี 2559-2560 โดยในเดือนกันยายน 2559 ที่ผ่านมามีการผลิตน้ำตาลได้ถึง 25 เมตริกตัน สำหรับอินเดียแล้วในแต่ละปีคนอินเดียมีความต้องการน้ำตาลอยู่ที่ 24-25 เมตริกตันต่อปี
โดยรัฐบาลได้ออกข้อบังคับให้กับโรงงานน้ าตาลในการควบคุมราคาเพื่อป้องกันการกักตุนน้ำตาลโดยโรงงานในช่วงเทศกาลระหว่างเดือนกันยายนและตุลาคม โดยปริมาณน้ าตาลถูกควบคุมในช่วงกันยายนและตุลาคนนั้นคิดเป็นร้อยละ 21 และ 8 ตามลำดับ ของปริมาณน้ำตาลทั้งหมดของตลอดทั้งปีโดยราคาน้ำตาลในตลาดค้าปลีกอยู่ที่ระดับ 40 รูปีต่อกิโลกรัม สำหรับเดือนที่ผ่านมานั้นรัฐบาลได้เพิ่มภาษีนำเข้าน้ำตาล เพิ่มขึ้นจากร้อละ 40 เป็นร้อยละ 50 เพื่อควบคุมระดับราคาในประเทศ
บทวิเคราะห์: การควบคุมปริมาณน้ำตาลในตลาดถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับประชาชนอินเดีย ซึ่งส่งผลให้ปริมาณเงินเฟ้อที่มีอยู่ไม่เพิ่มสูงขึ้น
Source: THE ECONOMIC TIMES. Aug 29, 2017
7. Paytm Mall และ Alibaba อาจลงทุน $200 ล้านเหรียญสหรัฐ ใน BigBasket
Paytm Mall, Alibaba may invest $200 million in BigBasket
บังกาลอร์: เว็บไซต์ช็อปปิ้งออนไลน์Paytm Mall และ Alibaba เลื่อนการตัดสินใจในการลงทุน $200 ล้านเหรียญสหรัฐ ในเว็บไซต์ตลาดของชำ BigBasket ไปอีกสองสัปดาห์โดยกำหนดวันเดิมคือภายในวันที่ 25 สิงหาคม 2560 นี้ โดยขณะนี้ BigBasket ต้องการการเพิ่มการลงทุนจาก Paytm Mall และ Alibaba โดยมีการคาดการณ์ว่าจะได้รับการลงทุนจำนวน $50 ล้านจากการลงทุนจาก Paytm Mall และในส่วนที่เหลืออีก 150 ล้านเหรียญสหรัฐ โดย Alibaba ซึ่งจะเกิดจากเข้าซื้อหุ้น BigBasket คืนจากนักลงทุนเดิม ซึ่งคาดว่าการตกลงจะสิ้นสุดภายในไม่กี่สัปดาห์
ขณะเดียวกัน Amazon กำลังเริ่มสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการค้าปลีกสินค้าสดในประเทศ หลังจากได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลให้ลงทุนในภาคส่วนนั้นภายใต้ชื่อ Amazon Retail ส่วน Flipkart ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank และ Tencent ก็กำลังวางแผนในการลงทุนในตลาดของชำในปีนี้เช่นกันซึ่งน่าจะยังไม่ลงทุนในตลาดอาหารสด
BigBasket เติบโตเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทสินค้าปลีกออนไลน์อื่นๆ และบริษัทได้รายงานการเติบโตต่อปีที่ 209% เมื่อปี2556-57 และปีงบประมาณ 2557-58 สินค้าของบริษัท ได้แก่ Fresho สำหรับผักและผลไม้และ Happy Chef สำหรับอาหารกูร์เมต์ซึ่งมียอดขายรวมกันมากกว่า 1/3 ของยอดขายทั้งหมด BigBasket ยังได้เริ่มตีตลาดดีลิเวอรี่เมื่อปีที่ผ่านมาผ่าน Grofers และได้รายงานรายได้จำนวน 14,000 ล้านรูปีในปีงบประมาณ 2560 และมีมูลค่า $450 ล้าน
บทวิเคราะห์: จากแนวโน้มด้านการลงทุนในตลาดของชำออนไลน์แสดงให้เห็นถึงความนิยมในการซื้อสินค้าออนไลน์ในประเทศอินเดียได้เป็นอย่างดีจึงน่าเป็นอีกหนึ่งช่องทางการค้าขายสินค้าด้านอาหารที่น่าจับตามอง
Source: THE ECONOMIC TIMES. 29 August, 2017
8. แม้จีนจะเร่งให้การเจรจาสำเร็จ แต่ดูเหมือน RCEP ก็จะยังคงไม่มีข้อสรุปในปลายปีนี้
Though China keen, December deadline for RCEP looks unlikely
นิวเดลี: จีนพยายามที่จะปิดการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) อย่างรวดเร็ว แต่การเจรจากลับไม่มีทีท่าว่าจะเป็นเช่นนั้น หลังจากการประชุมครั้งที่ 19 ที่เมืองไฮเดอราบัดเมื่อเดือนที่ผ่านมา
หลังจากการประชุม สมาชิกของกลุ่ม RCEP ซึ่งประกอบด้วย 16 ประเทศจากแถบเอเชีย-แปซิฟิค หวังว่าจะสามารถหาข้อสรุปในการประชุมได้ในการประชุมครั้งที่ 20 ที่เมืองอินชอนเกาหลีใต้ในเดือนตุลาคม 2560 ที่จะมาถึงนี้ สมาชิกทั้ง 16 ประเทศ ประกอบด้วย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และประเทศในกลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ซึ่งมีประชากรรวมกันมากถึง 3.5 พันล้านคน และ GDP รวมเป็น 40% ของ GDP ทั้งหมดของโลก
Source: WTO Centre
อินเดีย ซึ่งประสบภาวะการขาดดุลการค้าให้กับจีน 50 พันล้านเหรียญสหรัฐ กังวลเกี่ยวกับสินค้าจากจีนและประเทศอื่นที่หลั่งไหลเข้ามา จึงพยายามผลักดันข้อตกลงด้านบริการ ซึ่งตนเป็นผู้นำด้านนี้และมีเสรีในการโยกย้ายผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ อย่างไรก็ตาม การพูดคุยเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป
นาย Rajiv Bhatia อดีตนักการทูตของอินเดีย กล่าวว่า “ประเทศจีนมีอำนาจในการต่อรองในการประชุม RCEP สูง เนื่องจากเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุด และมี FTA ที่ก้าวหน้ากว่าประเทศในกลุ่มอาเซียน” “อินเดียไม่สามารถค้าขายได้อย่างเสรีเนื่องจากอาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ อินเดียจึงประสบกับปัญหาที่ยากกว่า”
สำหรับการเจรจาเรื่องการบริการ ผู้เชียวชาญด้านการค้านานาชาติT.S. Vishwanath กล่าวว่า ปัญหาก็คือประเทศในกลุ่มอาเซียน รวมถึงเกาหลีใต้และออสเตรเลีย ไม่เปิดรับอุปสงค์ที่อินเดียมีซึ่งก็คือการโยกย้ายผู้เชี่ยวชาญในสาขาไอทีและ BPO แต่กลับต้องการให้อินเดียเปิดประเทศรับสินค้าจากประเทศของตนแทน
ซึ่งอินเดียได้กล่าวว่า ตนเต็มใจที่จะเปิดตลาด 65% สำหรับสินค้า แต่ประเทศเหล่านั้นต้องการถึง 90-95% อินเดียจึงเสนอให้มีข้อตกลงด้านการบริการเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งไม่มีใครตอบรับ เขายังกล่าวต่ออีกว่า อุตสาหกรรมในบางประเทศ เช่น สิงคโปร์มาเลเซีย ไทย และ ออสเตรเลีย อาจจะไม่ปฏิเสธหากอินเดียต้องการให้มีการโยกย้ายผู้เชี่ยวชาญ แต่การตัดสินใจต้องมาจากรัฐบาลของประเทศเหล่านั้น ไม่ใช่ภาคอุตสาหกรรม
ส่วนนาย Ram Upendra Das นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า “อินเดียกำลังถูกเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องการโยกย้ายผู้เชี่ยวชาญในด้านสาธารณสุข ไอทีและนักพัฒนาด้านซอฟท์แวร์ว่าจะเป็นการย้ายถิ่นถาวร ทั้งที่เป็นเพียงแค่การโยกย้ายชั่วคราวเท่านั้น และถึงแม้ทุกฝ่ายจะตกลงเซ็นสัญญา ก็ใช่ว่าทุกประเทศจะเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญจากอินเดีย” นาย Bhatia ได้กล่าวปิดท้ายว่า “เดือนธันวาคม 2560 นี้คงเป็นขีดจำกัดที่ยาก รัฐบาลของเราประกาศว่าเรื่องนี้จะสำเร็จภายในปี2559 แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น ตอนนี้เรากำลังพูดถึงสิ้นปี2560ซึ่งก็ไม่มีอะไรแน่นอนเช่นกัน”
ข้อเสนอแนะ: จากข่าว มีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่จะมีการตกลงการเจรจาด้านการโยกย้ายบุคลากรด้านสาธารณสุข ไอทีและนักพัฒนาด้านซอฟท์แวร์ของอินเดียให้สามารถไปทำงานในกลุ่มประเทศ RCEP ได้ประเทศไทยอาจจะต้องเตรียมรับมือโดยการพัฒนาบุคลากรด้านนี้ของตนให้มีความเชี่ยวชาญเช่นกัน เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาแรงงานล้นตลาด และปัญหาเศรษฐกิจตามมา
Source: THE ECONOMIC TIMES. 29 August, 2017