สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์: 02 - 08 กันยายน 2560 (อินเดีย)
1. การผลิตฟื้นตัวในเดือนสิงหาคม: ดัชนี PMI ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 51.2
Manufacturing rebounds in August: PMI rises to 51.2
นิวเดลี: ผลการสำรวจและประเมินสภาพเศรษฐกิจจากภาคเอกชนแสดงให้เห็นว่าในเดือน สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมากิจกรรมด้านการผลิตของประเทศอินเดียมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง โดยมีคำสั่งซื้อและผลผลิตกลับมาสู่ระดับปกติหลังจากลดต่ำลงในช่วงกรกฎาคม 2560 อันเป็นผลมาจากการประกาศใช้ภาษีสินค้าและบริการ (GST) โดย Nikkei India Manufacturing Purchasing Manager’s Index (PMI) มีการประเมินและให้สัดส่วนการผลิต ของอินเดียคิดเป็นถึง 51.2 หลังจากตก ไปอยู่ที่ 47.9 ในเดือนกรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ผลการประเมินดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มผู้ผลิตสินค้าใน อินเดียเ ริ่มมีการฟื้นตัวมากยิ่งขึ้นภายหลังการปรับใช้ภาษีสินค้าและ บริการตัวใหม่
Source: The Economic Times
ทั้งนี้ผลการสำรวจและข้อมูลการประเมินดังกล่าวออกมาภายหลังจากที่รัฐบาลได้กล่าวถึง ตัวเลขการเติบโตของภาคการผลิตที่ลดลงอย่างน่าตกใจในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2560-2561ที่ร้อยละ 1.2 ในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ 10.7 ทั้งนี้ปรากฏการณ์ ดังกล่าวเป็นผลสำคัญจากการประยกเลิกค่าเงินในปีที่ผ่านมา ผนวกกับการปรับใช้ภาษีสินค้าและบริการ นอกจากนี้ผลของนโยบายดังกล่าวยังดึงให้การเติบโตของGDP ลดต่ำลงมาแตะระดับร้อย ละ 5.7 ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี
เมื่อศึกษาในรายละเอียดประเภทการผลิตสินค้าพบว่าสินค้าประเภททุนมีการผลิตเพิ่มมาก ยิ่งขึ้นโดยเปรียบเทียบกับกลุ่มสินค้าบริโภค (consumer goods) หรือกลุ่มสินค้าช่วงกลาง (intermediate goods) สำหรับในส่วนข้อมูลการส่งออกพบว่า ต่างประเทศมีความต้องการสินค้า จากประเทศอินเดียเพิ่มมากยิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ภายในประเทศอินเดียนับตั้งแต่เดือนมีนาคมของปี 2556
ถึงแม้ว่าภาคส่วนการผลิตและอุตสาหกรรมจะมีการขยายตัวมากยิ่งขึ้น แต่ด้วยสถานการณ์ ความไม่แน่นอนทางด้านนโยบายของรัฐบาลที่ส่งผลให้เกิดความตระหนกตกใจต่อการลงทุนหลาย ครั้งส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นทางด้านการลงทุนลดลงต่ำสุดในรอบ 11 เดือน ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญและ สถานบันวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจจำนวนมากมีความเชื่อว่าหลังจากการเกิดสภาวการณ์หยุดชะงัก ทางเศรษฐกิจในปีงบประมาณที่ผ่านมา คาดว่าในปีนี้ GDPของอินเดียจะเติบโตเพิ่มขึ้นเพียง เล็กน้อยในอัตราร้อยละ 7.3
บทวิเคราะห์: จากเนื้อข่าวจะเห็นได้ว่าภายหลังจากรัฐบาลอินเดียได้ประกาศใช้นโยบาย ยกเลิกธนบัตรและการปรับใช้ภาษีสินค้าและบริการตัวใหม่ส่งผลให้ระบบการผลิตสินค้าของ อินเดียมีปัญหา อันส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียต้องสะดุดไปพักใหญ่ๆ ถึงแม้ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของอินเดียจะเติบโตมากยิ่งขึ้น แต่การขาดความไม่แน่นอนทางนโยบายยังคง เป็นปัญหาใหญ่ต่อการลงทุนในประเทศอินเดีย
Source: THE ECONOMIC TIMES. 02 Sep, 2017
2. สรรพกรอินเดียพยายามให้มีการประเมินภาษีผ่านระบบ e-assessment เพื่อลดเวลาติดต่อเจ้าหน้าที่
Income Tax department to focus more on e-assessment to reduce human interface
กรมสรรพากรต้องการขยายฐานภาษี และเพิ่มการประเมินผลทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อลด การใช้ทรัพยากรบุคคล นอกจากนี้สรรพกรยังมีความพยายามที่จะจัดตั้งคณะกรรมการกลางภาษี ทางตรง (CBDT) เพื่อจัดเก็บรายได้ให้กับรัฐบาลมากยิ่งขึ้นโดยที่ประชุมยังพูดถึงกลยุทธ์ในการ ขยายฐานภาษี ด้วยการให้ความสำคัญกับการตรวจสอบข้อมูลที่เก็บระหว่างการประกาศใช้นโยบาย demonetisation และ SFT (statement of financial transactions) โดย คณะกรรมการกลางภาษีทางตรง CBDT มีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนผู้เสียภาษีรายใหม่ในบัญชีปัจจุบัน
Source: NDTV
ในขณะที่นายกรัฐมนตรี Narendra Modi ได้พบกับ Rajaswa Gyan Sangam เมื่อวานนี้ ท่านได้ย้ำให้กับเจ้าหน้าที่สรรพกร ในเรื่องของการใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์ต่างๆ เพื่อกำหนด เป้าหมายในการปรับปรุงการบริหารภาษีในรอบต่อไปในปี 2565 โดยท่านได้พยายามให้เจ้าหน้าที่ สร้างความชัดเจนเกี่ยวกับข้อมูลต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เสียภาษี Hasmukh Adhia เลขานุการสรรพากร กล่าวว่า รายได้ที่จัดเก็บได้ในขณะนี้นั้นยังเป็น รายได้ที่ยังไม่ได้แยกชัดเจนระหว่างสองหน่วยงาน ซึ่งจะต้องมีการประสานกันระหว่าง CBDT และ CBEC โดยเขาสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ทั้ง CBDT และ CBEC ช่วยกันแบ่งปันและหาแนวปฏิบัติที่ดี ที่สุด
CBDT กล่าวว่าในที่ประชุมว่า มีการเสนอเรื่องการให้เจ้าหน้าที่ประเมินภาษี ควรตรวจสอบ การประเมิภาษีผ่านระบบ e-assessment อย่างละเอียดมากขึ้น เพื่อให้เกิดความมั่นใจ และเกิด ความโปร่งใสมากที่สุด โดย CBDT งบประมาณในปีงบประมาณปัจจุบันเป็นจำนวนเงินประมาณ 980 ล้านรูปี เพื่อดำเนินการพันธกิจดังกล่าว
สำหรับภาษีทางอ้อม - คณะกรรมการกลางของกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร ได้ กล่าวถึงประเด็นที่เกี่ยวกับความสะดวกในการทำดำเนินการเกี่ยวกับธุรการระหว่างประเทศ
บทวิเคราะห์: นโยบายดังกล่าวจะส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้ในการบริหารประเทศมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะ ส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ มากยิ่งขึ้น
Source: ET Retail. Sep 2, 2017
3. Demonetisation อาจเจ็บมากกว่าที่จะช่วยได้
View: Demonetisation may have hurt more than it helped
Source: The Economic Times
นักเศรษฐศาสตร์คำนวณว่าอัตราการเติบโตจะลดลงเหลือเพียงร้อยละ 5.7 เป็นผลมาจาก การประกาศใช้นโยบาย demonetisation และภาษีสินค้าและบริการหรือ GST
แม้ว่าคนส่วนใหญ่เลือกที่จะฝากเงินไว้ในธนาคารแล้ว แต่ก็คงมีคำถามเกี่ยวกับนโยบาย ดังกล่าวอยู่ เนื่องจากนโยบาย demonetisation ดังกล่าวนั้น ประกาศใช้เพื่อแก้ปัญหาเงินนอก ระบบหรือ Black money แต่ตัวเลขของการแก้ปัญหาดังกล่าวนั้นไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการ เปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ชัดเจน เนื่องจากส่วนใหญ่ของรายได้ที่น่าสงสัยจะไม่เก็บไว้เป็นเงินสด แต่ จะลงทุนในทองคำ เพชรพลอย และอสังหาริมทรัพย์ การอ้างว่าสกุลเงินปลอมจะถูกตรวจพบโดย demonetisation ได้รับการพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริงแล้วว่า จำนวนเงินที่ได้บันทึกไว้นั้นมีจำนวน เพียงร้อยละ 0.0007 ของทั้งหมดเท่านั้น ไม่น่าแปลกใจเลยที่รัฐบาลได้เปลี่ยนแนวความคิดจาก แนวความคิดแรก ๆ ของ demonetisation เป็นเศรษฐกิจแบบคู่ขนานที่นำไปสู่การแปลงประเทศ ให้กลายเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลไร้เงินสด
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นเรื่องที่น่ายกย่องก็ตาม คำถามที่ยังไม่ได้ตอบก็ ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ คือ คุ้มหรือไม่ที่นโยบายดังกล่าวกำให้เกิดภาวะการช็อกและความกลัว เกี่ยวกับนโยบายดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้เกิดมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 คน ขณะที่ยืนรอคิวธนาคาร และมีตำแหน่งงานว่างมากกว่า 5 ล้านตำแหน่ง
เห็นได้ชัดว่าปัจจุบันนั้นได้สิ้นสุดของการจับกุมผู้ถือเงินนอกระบบ และได้มีการผลักดัน ประเทศให้มีการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น โดยอาจเป็นไปได้ที่วิธีการดังกล่าวนั้นเป็นผล สืบเนื่องจากต้องการลดความวุ่นวายของการประกาศใช้นโยบายดังกล่าวอย่างฉับพลัน ประโยชน์ ของการแทรกแซงนี้เป็นสิ่งที่น่าสงสัยมากขึ้น เนื่องจากพรรค Bharatiya Janata Party (BJP) อ้าง ว่านโยบายดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในปี 2017 โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วงในปัจจุบัน คือ การลดลงของอัตราการเติบโตจากประเทศที่เติบโตเร็วที่สุด และปรากฏการณ์การเติบโตที่ไม่มีงานทำ
Source: ET Retail. Sep 2, 2017
4. ประธานกรรมการคนใหม่ของ Niti Aayog เชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างความเติบโตทางศรษฐกิจได้ถึงร้อยละ7-7.5 ในไตรมาสที่สองของปีงบประมาณ
New Niti Aayog vice chairman confident of 7-7.5% growth in second quarter
นิวเดลี: ประธานกรรมการคนใหม่ของ Niti Aayog นาย Rajiv Kumar มั่นใจว่าเศรษฐกิจ จะขยายตัวที่ร้อยละ 7-7.5 ในไตรมาสที่สอง (กรกฎาคม – กันยายน 2560) เนื่องจากการ ฟื้นตัวของการลงทุนในธุรกิจและปัจจัยอื่นๆ ที่ มีสัญญาณบวกมากขึ้น สถานการณ์ดังกล่าวได้ ช่วยลดความกังวล ต่อสถานการณ์การชะลอ ตัวทางเศรษฐกิจที่หลายฝ่ายคาดว่าเป็นผล อย่างสำคัญมาจากภายหลังการยกเลิกธนบัตร ในช่วงปีที่แล้ว ทั้งนี้นาย Rajiv Kumar กล่าว ยืนยันอย่างชัดเจนว่าการยกเลิกธนบัตรดังกล่าวไม่ได้สร้างผลกระทบต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจ แต่ผลของการหยุดชะงักนั้นเกิดจากการการชะลอการลงทุนก่อนการปรับใช้ภาษีสินค้าและบริการ รวมถึงการลดลงของอัตราเงินฟ้อภาคการค้าส่ง
Source: PM India
การเติบโตของ GDP ในอินเดียลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีที่ร้อยละ 5.7 ในเดือน เมษายนถึงเดือนมิถุนายน 2560 และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ที่มีระดับร้อยละ 6 .1 นอกจากนี้ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วอินเดียมีการเติบโตสูงถึงร้อยละ 7.9 ตัวเลขดังกล่าวสะท้อน ให้เห็นถึงการลดต่ำลงของการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียและคิดเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมในปี 2557 โดยนาย Rajiv Kumar ได้อธิบายว่าการเติบโตที่ลดลง ดังกล่าวนั้นเป็นผลมาจากการปฏิรูประบบธรรมาภิบาลของประเทศ ซึ่งล้วนสร้างผลกระทบในเชิง บวกแม้ว่าจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวก็ตาม ทั้งนี้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในการปฏิรูปโครงสร้าง ขนาดใหญ่ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก
เขากล่าวว่า Niti Aayog ควรมีหน่วยพยากรณ์ตัวเลขทางเศรษฐกิจของตนเองเพื่อลดการ พึ่งพาข้อมูลและตัวเลขทางเศรษฐกิจจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ทั้งนี้เขายังพยายามเน้นย้ำถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่จะดีมากยิ่งขึ้นในไตรมาสถัดไป โดยเขากล่าวว่าเมื่อผ่านมรสุม ดังกล่าวไปได้ สิ่งดีๆย่อมตามมาทั้งในเรื่องการเพิ่มขึ้นของการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือ การปรับใช้ภาษีสินค้าและบริการที่ค่อนข้างราบรื่น ส่งเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมให้การเติบโตทาง เศรษฐกิจของไตรมาสหน้าอาจสูงถึงร้อยละ 7-7.5 ทั้งนี้เป้าหมายของประธานคนใหม่คือการ ผลักดันให้เกิดการจ้างงานที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น การส่งเสริมการลงทุนจากภาคเอกชน การเปลี่ยนผ่าน จากสังคมเกษตรกรรมสู่ระบบอุตสาหกรรม และการเพิ่มการลงทุนในภาคสาธารณสุขและระบบ การศึกษา
บทวิเคราะห์: ภาครัฐอินเดียค่อนข้างมีสัญญาณที่ค่อนข้างบวกต่อสถานการณ์ชะลอตัว ทางเศรษฐกิจของประเทศ
ข้อเสนอแนะ: ภาคธุรกิจและภาคเอกชนของประเทศไทยที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศ อินเดียในช่วงนี้ควรพิจารณาประเมินผลด้านธุรกิจจากการบังคับใช้ภาษีสินค้าและบริการของ อินเดีย เนื่องจากการปรับใช้ภาษีดังกล่าวส่งผลให้เงินเฟ้อเติบโตอย่างรวดเร็ว
Source: THE ECONOMIC TIMES. 02 Sep, 2017
5. ผู้ส่งออกขอยกเว้นการจ่ายภาษีGST ทั้งหมด
Exporters demand total exemption from GST
นิวเดลี: ผู้ส่งออกร้องขอต่อรัฐบาลให้มีการ ยกเลิกการจ่ายภาษีสินค้าและบริการ (GST) โดย กล่าวว่าระยะเวลาที่ใช้ในการชำระเงินคืนทำให้เกิดวิกฤติเงินทุนหมุนเวียนแก่พวกเขาสืบเนื่องมาจากการจัดเก็บภาษี GST จะทำให้มี เงินทุนหมุนเวียนประมาณ 1.85 ล้านล้านรูปีค้าง อยู่ในแต่ละปีผู้ส่งออกหลายรายกล่าวว่าตน ประสบกับปัญหาเงินทุนขาดแคลนแล้ว และเริ่มที่ จะปฏิเสธการสั่งซื้อ
Source: The Economic Times
ก่อนหน้าที่จะมีการเริ่มเก็บภาษีGST ใน วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา ผู้ส่งออกได้รับ การยกเว้นจากการชำระอากร แต่ตอนนี้พวกเขา ต้องจ่ายภาษีก่อน และขอรับเงินคืนทีหลัง ซึ่งเป็น กระบวนการที่ต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนจำนวนหนึ่ง และทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น เพราะพวกเขา ต้องจ่ายภาษีให้กับวัตถุดิบด้วย ผู้ที่ได้รับผลกระทบ สูง ได้แก่ผู้ส่งออกรายเล็ก ผู้ที่มีทรัพยากรต่ำ และ ผู้ที่ต้องกู้เงินจากธนาคาร
ผู้ส่งออกและ ผู้ผลิตงานฝีมือทองเหลืองจาก โมราดาบัด Paragon Metals มีเงินที่รัฐบาลต้อง คืนให้อยู่ 6 แสนรูปีนาย Ajay Kumar Gupta เจ้าของบริษัท กล่าวว่าเขาอาจต้องเลิกจ้าง พนักงานและช่างฝีมือ เนื่องมาจากรัฐบาลยังคงไม่คืนเงินให้ในเร็วๆ นี้
เช่นเดียวกับผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำจากราชโกฎิ Valiant Overseas ที่ต้องหยุด ขนส่งทางเรือไปก่อน และต้องปฏิเสธการสั่งซื้อจำนวน 10 ล้านรูปีเมื่อสองสัปดาห์ก่อน เพราะ เงินทุนจำนวน 5 ล้านรูปียังคงไม่ได้คืนมานานสองเดือนแล้ว เจ้าของบริษัท นาย Kalrav Malaviya ยังกล่าวไว้อีกว่า “เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่จะได้เงินคืน ณ ตอนนี้เราได้ปฏิเสธลูกค้าจากดูไบไปกว่า 5-6 รายแล้ว”
นอกจากการขอยกเว้นการจ่ายภาษีGST และเลื่อนการชำระค่าสินค้าที่ไม่ได้ส่งออกแล้ว ผู้ ส่งออกยังต้องการให้มีการใช้สกุลเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-currency) ที่ไม่ต้องมีเงินจริงๆ เข้ามา เกี่ยวข้องด้วย
ทางด้านรัฐบาลได้จัดให้มีกลไกการชำระเงินคืนสำหรับผู้ส่งออกแล้ว โดยพวกเขาสามารถ ส่งออกได้โดยการใช้พันธะสัญญาทางการเงิน แทนที่จะจ่ายภาษีGST และสามารถขอรับเงินคืนได้ โดยใช้เครดิตภาษีซื้อ (input tax credit) หรือไม่ก็สามารถส่งออกหลังจากจ่ายภาษีIGST แล้ว จากนั้นค่อยขอรับเงินคืนทีหลัง
ในกรณีแรก ผู้ส่งออกจะได้รับเงินคืน 90% ภายใน 7 วันหลังจากมีการขอเคลมเงินคืน และ ที่เหลือในอีก 60 วัน ส่วนในกรณีที่สอง ผู้ส่งออกจะได้รับเงินคืน 100% ภายใน 60 วัน แต่ผู้ส่งออก จำนวนมากไม่มั่นใจในกระบวนการนี้
“ความจำเป็นในเงินทุนหมุนเวียนได้เพิ่มขึ้น 10% เนื่องมาจากภาษีGST เพราะไม่มีการ เก็บ VAT หรือภาษีสรรพสามิตสำหรับผลิตภัณฑ์ของเรา ส่วนเงินคืน ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ 7.5% จะลดลง ครึ่งหนึ่งเริ่มจากเดือนหน้า” นาย Bhuvan Ahuja ซีอีโอจาก Ahujasons ผู้ส่งออกผ้าคลุมไหล่ กล่าว
ขายังกล่าวด้วยว่าสินค้ามูลค่า 30-40 ล้านรูปีของบริษัท ยังส่งออกไม่ได้ในช่วง 10 วันแรก ของเดือนกรกฎาคม ซึ่งมีผลกระทบต่อกำไรของบริษัทด้วย
บทวิเคราะห์: ผู้ส่งออกอินเดียออกมาเรียกร้องให้มีการยกเว้นการจัดเก็บภาษีGST เพื่อให้ เกิดความมั่นใจว่าจะไม่เกิดวิกฤติเงินทุนหมุนเวียน และเรียกร้องกระบวนการขอรับเงินคืนให้มี ความรวดเร็วขึ้น
Source: THE ECONOMIC TIMES. 3 September, 2017
6. รัฐบาลผ่อนผันการปรับผู้ยื่นขอคืนภาษี GST สำหรับเดือนกรกฎาคม 2560 ช้า
Government waives penalty on late GST returns for July
นิวเดลี: รัฐบาลภายใต้คำแนะนำของ Goods and Services Tax Council ได้ประกาศผ่อนผันการ ปรับ 200 รูปีต่อวัน แก่ผู้ที่ไม่ได้ยื่นขอคืนภาษีGST ภายในเวลาที่กำหนด อย่างไรก็ตาม ผู้เสียภาษียังคงต้อง แบกรับภาระดอกเบี้ยในการชำระเงินช้า “ค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ที่ยื่นแบบฟอร์ม GSTR-3B สำหรับเดือนกรกฎาคมช้าได้ถูกผ่อนผัน แต่ไม่ใช่ ส าหรับดอกเบี้ยที่ผู้จ่ายภาษีทุกคนต้องจ่ายสำหรับ GST ในเดือนกรกฎาคม 2560 ที่มีก าหนดในวันที่ 25 สิงหาคม 2560” กระทรวงการคลังได้ทวีตไว้เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
Source: The Economic Times
ก่อนหน้านี้นาย Arun Jaitley รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวผู้จ่ายภาษีที่ไม่ยื่นขอคืนภาษี ตามเวลาที่กำหนด ต้องเสียค่าปรับ 200 รูปีต่อวัน -- 100 รูปีส าหรับ GST ส่วนกลาง และอีก 100 รูปีสำหรับ GST ของรัฐ ผู้จ่ายภาษีที่ต้องยื่นเรื่องขอภาษีGST สำหรับเดือนกรกฎาคม 2560 คืน มีจำนวนทั้งหมด 5.95 ล้าน คน แต่จนกระทั่งวันที่ 29 สิงหาคม มีเพียงแค่ 3.83 ล้านคน (หรือ 64.42%) เท่านั้นที่ปฏิบัติตาม ดังนั้น จึงมีผู้ เสียภาษี 2.1 ล้านคนที่ต้องเสียค่าปรับในการยื่นเรื่องช้า
จดหมายเวียนจากกระทรวงการคลังยังได้กล่าวอีกว่า ผู้เสียภาษีที่อาจจะกรอกข้อมูลในฟอร์ม GST ครั้งแรกผิด สามารถแก้ไขได้ในฟอร์ม GSTR-1 และ GSTR-2 ของเดือนกรกฎาคม 2560 โดยฟอร์ม GSTR-1 เป็นฟอร์มสำหรับยอดขาย และฟอร์ม GSTR-2 สำหรับการจัดซื้อ สำหรับเดือนกรกฎาคม 2560 ผู้เสียภาษีต้องกรอกฟอร์ม GSTR-1 ภายในวันที่ 1-5 กันยายน 2560 และฟอร์ม GSTR-2 ภายในวันที่ 6-10 กันยายน 2560 จากนั้นจะมีการพิสูจน์ยอดจากฟอร์มทั้งสอง เพื่อดูว่ามี การรายงานภาษีเกินหรือต่ำกว่าความจริงหรือไม่
จากนั้นข้อมูลที่ถูกต้องก็จะถูกประมวลออกมาในฟอร์ม GSTR-3 ซึ่งจะรวมทั้งข้อมูลยอดขายและการ จัดซื้อ และผู้เสียภาษีต้องกรอกฟอร์มนี้ภายในวันที่ 11-15 กันยายน 2560 หากพบว่ามีภาระภาษีสำหรับเดือนกรกฎาคม ผู้เสียภาษีก็ต้องชำระส่วนนั้นพร้อมดอกเบี้ย แต่หาก พบว่าไม่มีภาระภาษีเครดิตนั้นก็จะถูกเก็บไปคำนวณกับเดือนหน้า และหากว่ายังมีเครดิตเหลืออยู่อีก ส่วนนั้น ก็จะถูกเคลมคืนได
บทวิเคราะห์: เนื่องจากการเก็บภาษีGST เพิ่งเริ่มขึ้นได้ไม่นาน จึงยังคงมีปัญหาด้านการดำเนินการ อยู่ และมีผู้เสียภาษีจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ยื่นขอคืนภาษีตามระยะเวลาที่รัฐบาลกำหนดให้ทำให้ต้องเสียค่าปรับ และค่าดอกเบี้ยตามมา
Source: THE ECONOMIC TIMES. 3 September, 2017
7. รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะเริ่มดำเนินการโครงการเชื่อมโยงระหว่างแม่น้ำ 3 สายเร็ว ๆ นี้
Government aims to begin work on 3 river inter-linking projects soon
นิวเดลี: นาย Nitin Gadkari รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำ ได้กล่าวว่ารัฐบาล กำลังมีเป้าหมายที่จะเริ่มดำเนินการโครงการเชื่อมโยงระหว่างแม่น้ าทั้ง 3 สาย และก่อสร้างเขื่อน จำนวน 2 แห่งในอีก 3 เดือนข้างหน้า โครงการดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 4 แสนล้านรูปีและจะมีการเปิดตัวโดยนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีในช่วงเวลาเร็วๆนี้
Source: The Economic Times
นอกจากนี้นาย Gadkari ยังถือเป็นแกนหลักสำคัญ ในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวด้วย โดยหลังจาก ที่เขาได้เริ่มประชุมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ กระทรวงทรัพยากรน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขา กำลังเตรียมจัดการประชุมกับมุขมนตรีรัฐต่างๆ ที่ จะเป็นพื้นที่ของโครงการพัฒนาดังกล่าวเพื่อ ส่งเสริมให้ก ารนำเอานโยบายไปปฏิบัติเกิด ประสิทธิภาพ รวมถึงแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่จะ ขัดขวางการดำเนินนโยบายดังกล่าว
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวที่จะเชื่อมโยงแม่น้ าทั้ง 3 สายนั้นมีจุดประสงค์ส าคัญเพื่อการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว รวมถึงแก้ไขปัญหาภัยแล้งในช่วงฤดูร้อน เขากล่าวว่ารัฐบาลจะใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในโครงการเชื่อมโยงระหว่างแม่น้ำ Ken-Betwa แม่น้ำ Par-Tapi-Narmada และ แม่น้ำ Damanganga-Pinjal นอกจากนี้รัฐบาลยังมีเป้าหมายที่จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างเขื่อน Pancheshwar และ North Koel ด้วย
ทั้ง 5 โครงการเหล่านี้จะช่วยให้เกิดการชลประทานที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1 แสน เฮกเตอร์ทั้งนี้โดยภาพรวมโครงการทั้งหมดอยู่ในความพร้อมที่จะสามารถดำเนินการได้ทันที ฉะนั้นแล้วการดำเนินงานของโครงการทั้ง 5 อยู่ในช่วงของการดำเนินงานซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในอีก 3 เดือนข้างหน้านี้ การเชื่อมโยงแม่น้ำ Ken-Betwa จะถือเป็นโครงการเชื่อมโยงแม่น้ำสายแรกที่จะเริ่มดำเนินการ ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะสร้างระบบชลประทานที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1.5 ล้านเอเคอร์ ซึ่งจะช่วยให้พื้นที่ภูมิภาค Bundelkhand มีน้ำเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกและ บรรเทาปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทั้งนี้พื้นที่บริเวณดังกล่าวกินพื้นที่ทั้งสิ้น 2 รัฐ คือ รัฐ Uttar Pradesh และ Madhya Pradesh ทั้งนี้หากโครงการนี้ประสบความสำเร็จจะช่วยฟื้นฟูพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก
ในขณะที่โครงการอีก 2 โครงการในการเชื่อมโยงแม่น้ำอย่างโครงการแม่น้ำ Par-Tapi-Narmada และโครงการแม่น้ำ Damanganga-Pinjal คาดว่าจะต้องมีการลงทุนในโครงการทั้งสองคิดเป็นเงินกว่า 1.6 แสนล้านรูปี อันจะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ าในพื้นที่รัฐ Maharashtra และ Gujarat ในทางเดียวกันรัฐมนตรียังกล่าวเพิ่มเติมถึงประเด็นความร่วมมือทวิภาคีระหว่างอินเดีย และเนปาล ในโครงการ Pancheshwar ซึ่งเป็นโครงการที่มีเป้าหมายหลากหลายชนิด หนึ่งในนั้นคือการบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในรัฐ Uttarakhand นอกจากนี้โครงการดังกล่าวยังสามารถผลิตไฟฟ้าและเพิ่มพื้นที่ชลประทานได้อีกด้วย
สุดท้ายรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการที่ดำเนินการอยู่ที่มีความเกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าว อาทิ โครงการ North Koel ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างรัฐ Bihar และ Jharkhand ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนเป็นเงินกว่า 1.6 หมื่นล้านรูปี ทั้งนี้คาดว่าหากโครงการนี้สำเร็จลุล่วงจะสามารถสร้างพื้นที่ชลประทานในรัฐ Jharkhand กว่า 19,604 เฮกเตอร์ ในขณะที่สามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานในรัฐ Bihar ได้กว่า 91,917 เฮกเตอร์
บทวิเคราะห์: จากเนื้อหาข่าวจะเห็นได้ว่าแนวโน้มในอนาคตรัฐบาลอินเดียจะเพิ่มการลงทุนในภาคการเกษตรมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในระบบชลประทาน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้การเกษตรในประเทศอินเดียมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น
ข้อเสนอแนะ: ภาคธุรกิจและภาคเอกชนของประเทศไทยที่สนใจเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวเนื่องกับระบบการเกษตรถือได้ว่ามีตลาดที่ค่อนข้างสดใสในอนาคตเนื่องจากหากระบบชลประทานของอินเดียสามารถดำเนินการจนแล้วเสร็จ เกษตรกรจะสามารถเพาะปลูกได้บ่อยครั้งมากยิ่งขึ้น นำมาซึ่งการเปลี่ยนจากแรงงานคนสู่ระบบเทคโนโลยีที่มีความทันสมัย หรือเมล็ดธัญพืชที่ให้ผลผลิตมาก จึงถือเป็นโอกาสสำคัญของนักลงทุนไทยที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับเรื่องนี้
Source: THE ECONOMIC TIMES. 05 Sep, 2017
8. กรมสรรพากรอินเดียเน้นการใช้e-assessment เพื่อความโปร่งใสมากขึ้น
Income Tax department to focus more on e-assessment to reduce human interface
นิวเดลี: กรมสรรพากรจะเน้นการขยายฐานภาษีและเพิ่มการใช้ e-assessment เพื่อลดการติดต่อกับบุคคล นอกจากนี้Central Board of District Taxes (CBDT) ยังพยายามเก็บภาษีให้ได้เกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ในปีงบประมาณนี้โดยการใช้การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อหาความสัมพันธ์ (big-data analytics) เจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษีกล่าวหลังมีการประชุมเจ้าหน้าที่ภาษีของรัฐบาลกลางและของรัฐ
ในการประชุมยังมีการอภิปรายกลยุทธ์สำหรับการขยายฐานภาษีโดยเน้นที่การตรวจสอบข้อมูลที่รวบรวมมาในช่วงการยกเลิกธนบัตร (demonetisation) และรายงานงบการเงิน “CBDT พยายามจะเพิ่มจำนวนผู้เสียภาษีจำนวนหนึ่งในปีงบประมาณนี้” เจ้าหน้าที่ด้านภาษีกล่าวไว้ นาย Narendra Modi นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเตือนให้เจ้าที่หน้าด้านภาษีใช้การวิเคราะห์ข้อมูลในการตรวจสอบความมั่งคั่ง และการตั้งเป้าหมายในการพัฒนาการบริหารภาษีภายในปี 2565 เขายังได้ขอให้เจ้าหน้าช่วยตรวจสอบคดีที่ยังไม่ได้ตัดสิน และสร้างภาวะแวดล้อมที่ท าให้ผู้เสียภาษีที่ถูกต้องเกิดความมั่นใจ และปราศจากคอร์รัปชั่น
ด้านเลขานุการกรมสรรพากร นาย Hasmukh Adhia กล่าวว่าหน้าที่ด้านภาษีต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่าง CBDT และ CBEC (Central Board of Excise and Customs) CBDT กล่าวในการประชุมว่า เจ้าหน้าที่ตรวจสอบต้องเพิ่มการใช้e-assessment เพื่อให้มีความมั่นใจว่างานทุกอย่างจะเสร็จออนไลน์และมีความโปร่งใส สำหรับด้านการขยายฐานภาษีนั้น CBDT ได้รับมอบหมายให้เก็บภาษีจำนวน 9.8 ล้านล้านรูปีในปีงบประมาณนี้โดยเจ้าหน้าที่ได้รับการเน้นย้ าให้ใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ มิใช่แค่เพื่อให้เป้าหมายในการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลตรงตามกำหนด แต่ต้องมากกว่าด้วย
บทวิเคราะห์: การใช้ e-assessment และการวิเคราะห์ข้อมูลน่าจะทำให้ระบบการจับเก็บภาษีมีประสิทธิภาพและความโปร่งใสมากขึ้น ส่วนการขยายฐานภาษีนั้น น่าจับตาดูต่อไปว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่
Source: THE ECONOMIC TIMES. 6 September, 2017
9. แอปเปิ้ลปฏิเสธที่จะอนุมัติแอฟพลิเคชั่นอินเดียสแปม
Apple refusal to approve India spam app antagonises regulator
Apple ได้ปฏิเสธแอพพลิเคชั่น anti-spam iPhone ของอินเดีย โดยผู้มีอำนาจกำกับดูแลด้านโทรคมนาคมของอินเดียได้พยายาม แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ในการบังคับใช้ซอฟต์แวร์ Do Not Disturb ซึ่งให้รวมอยู่ใน App Store โปรแกรมนี้ช่วยให้ผู้คนสามารถแชร์ข้อความสแปมและ บันทึกข้อความกับเอเจนซี่ ซึ่งใช้ข้อมูลเพื่อแจ้งเตือนผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อบล็อกผู้ส่งอีเมลขยะ โดยแอปเปิ้ลได้กล่าวว่าแอพพลิเคชั่นดังกล่าวละเมิดนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Appleความขัดแย้งดังกล่าวอาจส่งผลต่อความพยายามของแอปเปิ้ลในการขยายธุรกิจในอินเดีย โดยที่แอปเปิ้ลมีแผนที่จะจ าหน่ายสมาร์ทโฟนในอินเดีย 500 ล้านเครื่องภายในปี 2563 บริษัท คูเปอร์ติน ที่ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ ได้มีการเจรจากับรัฐบาลอินเดียในการเปิดร้านค้าปลีกและ ใบอนุญาตในการจัดจำหน่ายไอโฟนที่มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยแอปเปิ้ลได้เสนอความต้องการต่างๆ รวมทั้งการแบ่งภาษีและสัมปทานอื่น ๆ เพื่อตั้งโรงงานผลิต
Ram Sewak Sharma ประธานของหน่วยงานกำกับดูแลด้านโทรคมนาคมของเดลลี กล่าวว่า ไม่มีใครขอให้แอปเปิ้ลละเมิดนโยบายความเป็นส่วนตัว ไม่มีบริษัทใดที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดูแลข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ผู้ควบคุมปัจจุบันกำลังมองหาข้อคิดเห็นจาก โดยภาครัฐแ
Source: Apple.com
ละผู้มีส่วนได้เสียกำลังปรึกษาเกี่ยวกับการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ และกฎระเบียบเกี่ยวกับการไหลของข้อมูล ผ่านเครือข่ายโทรคมนาคม โดยกระบวนการดังกล่าวกำหนดให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ก่อนนำไปเป็นกฎหมายใหม่ในการควบคุมข้อมูลผู้ใช้ ที่อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการออกใบอนุญาตด้านโทรคมนาคม มาตรการใหม่ที่ออกมา อาจส่งผลกระทบต่อบริษัท ไม่เพียงแค่แอปเปิ้ลเท่านั้น แต่ Facebook, Google และ บริษัท เทคโนโลยีอื่น ๆ ที่จัดการข้อมูลส่วนตัวและ ข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากก็จะได้รับผลกระทบดังกล่าวด้วย
บทวิเคราะห์: การเข้ามาควบคุมตลาดแพลตฟอร์มออนไลน์ของรัฐบาลอินเดียในปัจจุบันจะทำให้ต่างชาติเกิดความกังวลในการที่จะเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมนี้มากยิ่งขึ้นในอนาคต ซึ่งรัฐบาลอินเดียจะต้องหามาตรการที่เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างเอกชนและความมั่นคงของรัฐ
Source: THE ECONOMIC TIMES. Sep 6, 2017
10. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของอินเดียจะพัฒนานโยบายเพื่อการขยายการส่งออกสินค้าเกษตร
Policy soon to boost farm exports, says commerce minister Suresh Prabhu
นิวเดลี: Suresh Prabhu รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ได้กล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่ารัฐบาลอินเดียจะนำกรอบนโยบายในการสนับสนุนการเข้าถึงตลาดโลกของสินค้าเกษตรกรรมอินเดียในเร็วๆ นี้
Prabhu ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา กล่าวว่า กระทรวงของเขาจะทำงานเพื่อพัฒนาห่วงโซ่การผลิตในตลาดโลกส าหรับภาคเกษตรกรรมของอินเดีย และจะรับประกันราคาสินค้าเกษตรสำหรับเกษตรกรอีกด้วย
Souce: The Economic Times
Prabhu กล่าวในการประชุมการเกษตรว่า “หากเกษตรกรผลิตสินค้าบางอย่าง พวกเขาควรสามารถเข้าถึงตลาดโลกและได้ราคาที่สูงขึ้น ดังนั้น เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว เราจะพัฒนากรอบนโยบายที่ดีขึ้นในเร็วๆ นี้”
เขายังกล่าวอีกว่า มีความจำเป็นที่ต้องทำงานร่วมกันหลายๆ ภาคส่วน เพื่อกำจัดอุปสรรคทางการค้า และขยายการส่งออกสินค้าเกษตรของอินเดีย “เรามีสิทธิในการเข้าถึงตลาดโลกสำหรับสินค้าเกษตรของเราโดยการกำจัดอุปสรรคทางการค้าต่างๆ” เขายังกล่าวว่ากระทรวงของเขาจะทำงานเพื่อพัฒนาสวนการเกษตร (agri parks) เขายังเรียกร้องในการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของรัฐบาล เพื่อการเพิ่มการลงทุนและแนวทางเชิงรุกในการดึงดูดบริษัทระดับโลก
ในวันที่สองของการดำรงตำแหน่ง Prabhu ได้นัดประชุมร่วมกับทีมงาน Invest India ซึ่งทำงานภายใต้หน่วยงาน Department of Industrial Policy and Promotion (DIPP) Prabhu ได้กล่าวว่า อินเดียจำเป็นต้องมุ่งความสนใจไม่เฉพาะการผลิตในอินเดียเท่านั้นแต่ต้องสนใจการดีไซน์ในอินเดียอีกด้วย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าทั้งมวล
บทวิเคราะห์: การพัฒนากรอบนโยบายเพื่อการขยายการส่งออกสินค้าเกษตรของอินเดียแสดงให้เห็นถึงการสร้างนโยบายเชิงรุกของอินเดียมากขึ้น นอกจากที่อินเดียจะพึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศด้วยการที่มีตลาดขนาดใหญ่แล้ว การส่งออกสินค้าเกษตรไปยังตลาดโลกจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยของการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียอีกด้วย จากการพัฒนาดังกล่าวจะเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่สนใจด้านการพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าเกษตรของอินเดียไปยังตลาดโลกมากยิ่งขึ้น
Source: THE ECONOMIC TIMES. Sep 06, 2017
11. Nestle และ FSSAI จับมือกันก่อตั้งสถาบันด้านความปลอดภัยอาหารในอินเดีย
Nestle and FSSAI join hands to roll out Food Safety Institute in India
บริษัทผู้ผลิตอาหารแปรรูปรายใหญ่อย่าง Nestle และหน่วยงานด้านความปลอดภัยทางอาหารของอินเดีย หรือ Food Safety and Standards Authority of India (FSSAI) ได้ร่วมมือกันเพื่อก่อตั้งสถาบันความปลอดภัยทางอาหาร (Food Safety Institute) แห่งแรกของอินเดีย โดย Nestle Food Safety Institute (NFSI) ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานมานี้ที่เมือง Manesar โดยความร่วมมือของ Nestle และ FSSAI
สถาบันดังกล่าวก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและแบ่งปันความรู้ผ่านความร่วมมือ และเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับความปลอดภัยทางอาหารของอินเดีย
Pawan Agarwal หัวหน้าผู้อำนวยการของ FSSAI กล่าวว่า “NSFI India จะจัดการฝึกอบรมเกี่ยวกับระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร (Food Safety Management Systems) ระเบียบวิธีการทดลอง (Testing Methods) และการกำหนดมาตรฐาน (Regulatory Standards) เราหวังว่าสถาบันนี้จะช่วยตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของคนอินเดียต่ออาหารที่ปลอดภัยและส่งเสริมสุขภาพ”
เขายังกล่าวอีกว่า ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารของอินเดียยังอยู่ในระยะเริ่มต้นเท่านั้น และความท้าทายขนาดใหญ่คือการสร้างความต้องการอาหารที่ปลอดภัยและส่งเสริมสุขภาพผ่านการสร้างการตระหนักรู้ อันจะทำให้องค์กรภาคเอกชนเริ่มนำเสนออาหารที่ปลอดภัยตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
เขากล่าวว่า “เมื่อพูดถึงอาหารที่ปลอดภัยและส่งเสริมสุขภาพแล้ว แรงขับทางธุรกิจจะต้องถูกลดความสำคัญลง” เจ้าหน้าที่ของ Nestle India ยังได้เน้นย้ำว่าในประเด็นเดียวกันนี้ว่า สถาบัน NSFI ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการตลาดของ Nestle India แต่เป็นการประสานงานของศูนย์การวิจัยและพัฒนาของ Nestle India
Suresh Narayanan ประธานและผู้จัดการทั่วไปของ Nestle India กล่าวว่า “ปัจจุบันบรรยากาศของความปลอดภัยด้านอาหารกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างมีพลวัตร เช่นเดียวกับผู้บริโภคที่มีความตระหนักรู้เกี่ยวกับคุณภาพอาหารที่พวกเขาบริโภคมากขึ้น” เขาเสริมว่า อาหารมีอิทธิพลอย่างมากต่อสุขภาพของเรา ดังนั้นจึงควรมีความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและอุตสาหกรรมที่กำหนดกฎเกณฑ์ในการจัดหาอาหารที่ปลอดภัยและส่งเสริมสุขภาพแก่ผู้บริโภค
ห้องปฏิบัติการของสถาบัน NSFI India มีอุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีระดับสูง และเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยอาหารของ Nestle ในระดับโลก ศูนย์วิจัยและพัฒนาของ Nestle India ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2012 และเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายวิจัยและพัฒนาของ Nestle ในระดับโลก ซึ่ง Nestle มีศูนย์วิจัยและพัฒนากว่า 40 แห่งทั่วโลก และยังมีศูนย์ Product Technology Centres ทั่วโลกอีกด้วย
บทวิเคราะห์: ถือเป็นความร่วมมือที่ดีระหว่างภาครัฐและเอกชนในยกระดับความปลอดภัยและคุณค่าทางโภชนาการของอาหารในอินเดีย การวิจัยและพัฒนาทางอาหารจะช่วยให้อุตสาหกรรมอาหารของอินเดียก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น และจะสามารถพัฒนาเข้าสู่มาตรฐานระดับโลกได้
Source: NUFFooDS. Sep 07, 2017