ทำความรู้จักยักษ์ใหญ่ค้าปลีกอินเดีย
ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องที่กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันที่สุดในแวดวงธุรกิจของอินเดียน่าจะเป็นการที่รัฐบาลอินเดียได้แสดงท่าทีที่จะให้ความเห็นชอบต่อนโยบายผ่อนคลายสัดส่วนการถือหุ้นโดยบริษัทค้าปลีกต่างชาติในธุรกิจค้าปลีกของอินเดีย โดยจะอนุญาตให้บริษัทต่างชาติสามารถประกอบธุรกิจค้าปลีกประเภทที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์เดียว (Single-Brand Retailers) สามารถถือหุ้นเองได้ทั้งหมดแทนที่จะต้องร่วมทุนกับบริษัทอินเดียบางส่วนเช่นที่ผ่านมา และอนุญาตให้บริษัทต่างชาติสามารถเข้ามาประกอบธุรกิจค้าปลีกประเภทจำหน่ายสินค้าหลายแบรนด์ (Multi-Brand Retailers) ได้โดยสามารถถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 51 ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็เท่ากับเป็นการเปิดประตูในการเข้าสู่ตลาดอินเดียให้กับบริษัทค้าปลีกต่างชาติเป็นครั้งแรก
แม้ว่าการแสดงท่าทีดังกล่าวต้องเผชิญกับการต่อต้านจากผู้ไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมากทั้งในส่วนของผู้ค้าปลีก รายย่อยแบบดั้งเดิมของอินเดีย และแรงต้านทางการเมืองทั้งจากพรรคฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลเองในบางส่วน จนทำให้ในที่สุดรัฐบาลอินเดียต้องประกาศชะลอการใช้นโยบายผ่อนคลายดังกล่าวออกไปจนกว่าจะได้มีการหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและมีฉันทามติร่วมกันก่อน อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างมีความเห็นว่า ถึงแม้จะต้องเผชิญกับการต่อต้านจากกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์มากเพียงใดก็ตามแต่สุดท้ายแล้วรัฐบาลอินเดียคงจะ ไม่สามารถต้านทานกระแสแห่งโลกาภิวัฒน์ในเรื่องดังกล่าวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อการผ่อนคลายดังกล่าวจะส่งผลดีค่อผู้บริโภคชาวอินเดียเองและเศรษฐกิจของอินเดียในภาพรวม
ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกอินเดีย
ในปัจจุบันอินเดียจะอนุญาตให้บริษัทต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 51 สำหรับธุรกิจค้าปลีกประเภทที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์เดียว (Single-Brand Retailers) และไม่อนุญาตให้บริษัทต่างชาติสามารถถือหุ้นได้เลยสำหรับธุรกิจค้าปลีกประเภทจำหน่ายสินค้าหลายแบรนด์ (Multi-Brand Retailers) ประมาณกันว่าธุรกิจค้าปลีกของอินเดียมีมูลค่าการตลาดสูงถึงกว่าปีละ 450,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมากกว่าร้อยละ 93 ของมูลค่าตลาดได้ถูกกระจายอยู่ในมือของผู้ค้ารายย่อยนับล้านรายในรูปของธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Unorganized Retail) และส่วนแบ่งตลาดที่เหลือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 28,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กระจายอยู่ในกลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่สัญชาติอินเดียเองที่มีการจัดการที่เป็นระบบและทันสมัย (Organized Retail) ซึ่งเป็นที่น่าจับตาว่าธุรกิจในกลุ่มนี้มีการขยายตัวสูงถึงมากกว่าร้อยละ 25 ต่อปี และคาดการว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีมูลค่าการตลาดในส่วนของ Organized Retail นี้ประมาณ 84,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายใหญ่ย่อมได้เปรียบ
เพื่อให้เข้าใจถึงสภาพตลาดค้าปลีกของอินเดียซึ่งมีแนวโน้มว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากท่าทีในเรื่องของการผ่อนคลายสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทต่างชาติดังกล่าวข้างต้นของรัฐบาล เราจึงควรมาเริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักกับบรรดาธุรกิจค้าปลีกรายสำคัญของอินเดียในปัจจุบันซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ในส่วนของ Organized Retail และอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบในการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในเรื่องดังกล่าว และมีศักยภาพที่จะเป็นตัวเลือกแรกๆ ของบริษัทค้าปลีกข้ามชาติต่างๆ ที่จะพากันเข้ามาบุกตลาดอินเดียอย่างจริงจังเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลอินเดียได้ข้อสรุปให้มีการผ่อนคลายสัดส่วนการถือหุ้นดังกล่าว
1. Future Group
Future Group เป็นกลุ่มบริษัทใหญ่ที่ทำธุรกิจในหลายสาขา ทั้งด้านการค้าปลีก ด้านการเงิน และด้านการบริการ และเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดในบรรดา Organized Retail ของอินเดียในปัจจุบัน ในส่วนของธุรกิจค้าปลีกจะดำเนินการโดยบริษัทในเครือ คือ Pantaloon Retails (India) Limited ซึ่งบริหารจัดการกิจการค้าปลีกทั้งห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตหลากหลายแบรนด์และหลายรูปแบบ อาทิ Pantaloons และ Brand Factory ซึ่งเน้นสินค้าแฟชั่นเป็นหลัก Home Town สำหรับสินค้าเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้และเครื่องประดับตกแต่งบ้าน eZone จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ Planet Sports จำหน่ายเครื่องกีฬา รวมไปถึง Central ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าเต็มรูปแบบ และ KBs Fairprice ซูเปอร์มาร์เก็ตสำหรับคนชั้นกลาง นอกจากนี้ ในปี 2552 ได้มีการจัดตั้งบริษัท Future Value Retail Limited ขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อบริหารจัดการธุรกิจค้าปลีกในส่วนของ Big Bazaar และ Food Bazaar มีสาขารวมกันมากกว่า 300 แห่ง กระจายอยู่ใน 70 เมือง ทั่วประเทศอินเดีย (ก่อนหน้านี้บริหารโดย Pantaloon Retails (India) Limited ทั้งหมด)
2. Reliance Industries Limited
กลุ่มบริษัท Reliance Industries Limited เข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกอย่างเต็มตัวในปี 2549 โดยการจัดตั้งบริษัท Reliance Retail Ltd. ให้เป็นผู้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว จนกระทั่งถึงปัจจุบัน มีร้านค้าปลีก Reliance Fresh ซึ่งจำหน้ายสินค้าอาหารและของใช้ในบ้านจำนวนมากกว่า 500 สาขา กระจายอยู่ในเมืองต่างๆ ทั่วประเทศอินเดีย โดยทางบริษัทมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจดังกล่าวอีกไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อขยายกิจการให้ได้ 4,000 สาขา ตามเป้าหมายในเบื้องต้นภายในระยะเวลา 5 ปี ข้างหน้านี้ ทั้งนี้ นอกจากธุรกิจค้าปลีกแบบร้านสะดวกซื้อ (Grocery Shop) ดังกล่าวข้างต้นแล้ว บริษัท Reliance Retail Ltd. ยังดำเนินธุรกิจค้าปลีกสินค้าเฉพาะอย่าง และธุรกิจค้าปลีกประเภทที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์เดียว (Single-Brand Retailers) อีกเป็นจำนวนมาก อาทิ สินค้าของเล่น สินค้าแฟชั่น และสินค้าไอที เป็นต้น
3. Aditya Birla Group
Aditya Birla Group เป็นกลุ่มธุรกิจสำคัญอีกกลุ่มหนึ่งของอินเดีย มีธุรกิจหลักเป็นสินค้าอุตสาหกรรมหนัก อาทิ อลุมิเนียม ซีเมนต์ เหมืองแร่ และธุรกิจพลังงาน เริ่มเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกในปี 2550 โดยการเปิดตัวซูเปอร์มาร์เก็ตในชื่อ More และต่อมาได้ขยายไปสู่กิจการไฮเปอร์มาร์เก็ตในชื่อ More Megastore ปัจจุบันมีสาขารวมกันมากกว่า 600 สาขาทั่วประเทศอินเดีย อยู่ภายใต้การบริหารจัดการโดย Aditya Birla Retail Limited นอกจากนี้ยังมีบริษัท Madura Fashion and Lifestyle ที่ดูแลบริหารจัดการธุรกิจค้าปลีกสินค้าในกลุ่มแฟชั่นและไลฟ์ไสตล์เป็นการเฉพาะ
4. Spencer’s Retail Limited
ก่อตั้งในปี 2406 และอยู่ในธุรกิจค้าปลีกนับตั้งแต่เปิดร้านแห่งแรกในปี 2463 บริษัท Spencer’s Retail Limited มีการพัฒนาต่อเนื่องในธุรกิจดังกล่าวมาโดยตลอดจนกระทั่งในปี 2549 ได้เปิดตัวซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งแรกในชื่อ Spencer’s ขึ้นที่เมืองเจนไน ปัจจุบันมีสาขามากกว่า 200 แห่งใน 35 เมืองสำคัญของประเทศอินเดีย แบ่งรูปแบบเป็น Spencer’s ดำเนินกิจการซุเปอร์มาร์เก็ต เน้นสินค้าอาหารและของใช้ในชีวิตประจำวัน และ Spencer’s Hyper เป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตและห้างสรรพสินค้าเต็มรูปแบบ โดยวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นร้านค้าสำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักที่เป็นคนระดับกลางและระดับสูงขึ้นไป
โอกาสยังมีอีกมากในหลากหลายรูปแบบการจัดการ
นอกจากกลุ่มบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในธุรกิจค้าปลีกดังกล่าวข้างต้นแล้วยังมีกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของอินเดียอีกจำนวนมากที่เริ่มต้นเข้ามาในธุรกิจนี้ด้วยเช่นกันโดยอาศัยความแข็งแกร่งในด้านเงินทุนและความได้เปรียบในการถือครองทรัพยากรที่ดินรวมทั้งโครงสร้างและสายสัมพันธ์ในแวดวงธุรกิจที่กว้างขวาง อาทิ กลุ่ม K. Raheja Corp ซึ่งมีธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจหลัก ได้เปิดห้าง Shopper’s Stop ขึ้นในปี 2534 ตามมาด้วยห้าง Inorbit และไฮเปอร์มาร์เก็ต Hypercity อีกหลายสาขา รวมทั้ง Crossword ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายหนังสือโดยเฉพาะ กลุ่ม Tata Group ซึ่งประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมหนักเป็นหลักไปพร้อมๆ กับธุรกิจอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก ได้ตั้งบริษัท Trent Limited ขึ้นในปี 2541 เพื่อขยายธุรกิจค้าปลีกของตนโดยมีห้าง Westside ไฮเปอร์มาร์เก็ต Star Bazaar ร้านหนังสือ Landmark และร้าน Fashion Yatra เป็นแหล่งกระจายสินค้า กลุ่ม Bharti Enterprises ซึ่งอยู่ในธุรกิจการสื่อสาร การเงิน และอสังหาริมทรัพย์ ในปัจจุบันได้เข้ามาสู่ธุรกิจค้าปลีกอย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็นการตั้งบริษัทร่วมทุน Bharti Walmart Private Limited ดำเนินกิจการ Best Price Modern Wholesale และตั้งบริษัท Bharti Retail Limited ขึ้นมาเพื่อบริหารจัดการร้านค้าปลีกหลายรูปแบบ ได้แก่ ร้านสะดวกซื้อ Easyday ซูเปอร์มาร์เก็ตในชื่อ Easyday Market และไฮเปอร์มาร์เก็ต Easyday Hyper เป็นต้น
ทั้งนี้ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังไม่นับรวมถึงกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่าง Phoenix Mills Limited ซึ่งไม่ได้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกด้วยตนเองแต่ใช้วิธีการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นห้างสรรพสินค้าโดยร่วมกับธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่อื่นๆ และอย่างในกรณีของ Hindustan Uniliver ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ที่ให้การสนับสนุนแก่ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมในการพัฒนาระบบการจัดการและร้านค้าให้ทันสมัยมากขึ้นเพื่อเป็นฐานในการกระจายสินค้าของตนได้อย่างเหมาะสม
ด้วยมูลค่ามหาศาลของตลาดค้าปลีกอินเดียที่มีผู้บริโภคมากกว่า 1,200 คนเป็นฐานรองรับ เป็นที่แน่นอนว่ายังคงมีกลุ่มธุรกิจอีกเป็นจำนวนมากที่รอคอยจังหวะและโอกาสที่จะเข้าร่วมปันส่วนแบ่งในธุรกิจนี้ไม่ว่าจะโดยวิธีใดก็ตาม ในอนาคตอันใกล้นี้เราคงจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายเกิดขึ้นในแวดวงธุรกิจค้าปลีกและสังคมของอินเดียโดยรวมอย่างแน่นอน
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ
เรื่องใกล้เคียง
ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกฝันค้าง รัฐบาลอินเดียชะลอแผนผ่อนคลายกฎ