ศึกษากลยุทธ์บุกอินเดียผ่านแบรนด์ Ektra เมลามีน พรีเมี่ยมของศรีไทย
ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ ไม่เพียงโด่งดังในไทยเท่านั้น แต่ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความสำเร็จในการ “บุก” ตลาดอินเดีย ที่สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ และศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์ อดไม่ได้ที่จะนำมาฝากให้ผู้ที่สนใจตลาดที่มีประชากรเป็นอันดับ 2 ของโลกแห่งนี้ได้ศึกษากลยุทธ์กัน
ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ เริ่มเข้ามาตั้งบริษัทในอินเดียเป็นครั้งแรกภายใต้ชื่อ “Thai Superware India Ltd.” ในปี 2010 โดยนำผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวและบนโต๊ะอาหารประเภทเมลามีนมาจำหน่ายในประเทศนี้
Ektra เป็นยี่ห้อที่ศรีไทยใช้ทำตลาดในอินเดีย โดยวางตำแหน่งให้เป็น “สินค้าเมลามีนพรีเมี่ยม” ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า และทำให้ศรีไทยตัดสินใจก่อสร้างโรงงานผลิตเมลามีนแห่งแรกในอินเดียที่นิคมอุตสาหกรรม Gujarat ด้วยเงินลงทุนประมาณ 250 ล้านบาท
ศรีไทยถือเป็นผู้นำในสินค้าเมลามีน โดยมีประสบการณ์ในการผลิตสินค้าประเภทนี้กว่า 50 ปี และมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยัง 120 ประเทศทั่วโลก
ปัจจุบัน นอกจากไทยแล้ว ศรีไทยมีโรงงานผลิตในเวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน โดยมีมีผลิตภัณฑ์ถึง 4,000 รูปแบบ และมีลวดลายมากถึง 14,000 แบบ
สำหรับอินเดีย เหตุผลที่ผลิตภัณฑ์เมลามีนได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่แตกง่าย น้ำหนักเบา ทนความร้อนและทนทานกว่าผลิตภัณฑ์กระเบื้องแบบพอร์ซเลน ราคาถูก และมีหลากหลายลวดลายให้เลือกสรร
อย่างไรก็ดี ยังถือว่าตลาดเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารประเภทเมลามีนของอินเดียยังมีขนาดไม่ใหญ่นัก โดยมีมูลค่าประมาณ 1,350 ล้านรูปี คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 13 ของตลาดเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารของอินเดียที่เครื่องแก้วครองสัดสว่นมากถึงร้อยละ 52 ด้วยมูลค่าตลาด 5,600 ล้านรูปีต่อปี
ยอดจำหน่ายสินค้าของศรีไทย ในอินเดียเติบโตถึงร้อยละ 30 ในระหว่างปี 2010-2013 ขณะนี้ จีนเป็นประเทศผู้ผลิตเมลามีนรายใหญ่ที่สุดของโลก มีสัดส่วนในตลาดโลกร้อยละ 60 ส่วนยุโรปมีสัดส่วนร้อยละ 28
สำหรับโรงงานของศรีไทยที่กำลังก่อสร้างในอินเดีย หากแล้วเสร็จ จะมีกำลังการผลิตรวม 3,000 ตัน/ปี และการจ้างงาน 400 อัตรา
สาเหตุที่ศรีไทยฯ ตัดสินใจตั้งโรงงานในอินเดีย ก็เพื่อลดภาษีนำเข้าสินค้าสินค้าสำเร็จรูปที่สูงถึงร้อยละ 29 ลดปัญหาการบรรจุหีบห่อและระบบโลจิสติกส์ และเพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น และจำนวนพนักงานขายตรงของบริษัทฯ ที่มีมากถึง 25,000 คน
ในอนาคตอันใกล้ นี้ บริษัทฯ มีแผนจะก่อสร้างโรงงานเพิ่มอีก 4 แห่งในภูมิภาคต่างๆ ของอินเดียและที่ใกล้เคียงอย่างตะวันออกกลาง และตลาดใหม่ (new markets) เช่น เนปาล ภูฏาน เมียนมาร์ ศรีลังกา ฯลฯ เพื่อขยายกำลังการผลิตและส่งออกสินค้าไปทั่วอินเดียได้สะดวกขึ้น โดยอินเดียมีข้อได้เปรียบเรื่อง “ที่ตั้ง”
“อินเดียจะเป็นตลาดผลิตภัณฑ์เมลามีนที่สำคัญของบริษัทฯ ที่ยอดจำหน่ายอาจถึง 2,000 ล้านรูปี (ประมาณ 1,000 ล้านบาท) ในไม่ช้า” ผู้บริหารระดับสูงของศรีไทยกล่าวย้ำ
ปัจจุบัน อินเดีย มีผู้ผลิตเมลามีนรายใหญ่หลายราย เช่น บริษัท R.K. Enterprises บริษัท S. Selladurai Nadar Hotel & Catering World Pvt Ltd. (โรงงานตั้งอยู่ในเมืองเจนไน) บริษัท S. Sagar Enterprise บริษัท Sri Kirpa Empire Exim (P) Ltd. บริษัท Pashupati Industries (โรงงานตั้งอยู่ในกรุงนิวเดลี) บริษัท Siddharth Enterprise (โรงงานตั้งอยู่ในเมืองอาร์เมดาบัด) และบริษัท Udai Plastic & Chemicals (โรงงานตั้งอยู่ในเมืองอาจเมอร์)
แม้อินเดียจะมีบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เมลามีนรายใหญ่มากมาย แต่ก็ยังพบว่า ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ในอินเดียไม่ค่อยใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของวัตถุดิบที่ใช้และปล่อยให้มีการลอกเลียนแบบ เห็นได้จากผลิตภัณฑ์กว่าร้อยละ 90 ใช้วัตถุดิบผสมระหว่างเมลามีนกับยูเรียที่ไม่ถูกต้องตามมาตรฐานการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และยุโรป ได้แก่ LFGB FDA 200702/EEC และ GB9690-2009
“การที่บริษัทฯ นำเสนอผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมี่ยมตรา Ektra ที่มีมาตรฐานเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยสูง ในขณะที่ผู้ผลิตสินค้าเมลามีนส่วนใหญ่ของอินเดียยังผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐานสากลย่อมทำให้บริษัทศรีไทยฯ อยู่ในสภาพได้เปรียบคู่แข่งในตลาดบน แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทศรีไทยฯ นับเป็นตัวอย่างของบริษัทไทยที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนในอินเดียที่ควรเป็นแบบอย่างของธุรกิจไทยอื่นที่คิดจะมาลงทุนในอินเดียต่อไป” สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบให้ความเห็น
สถานกงสุลใหญ่ ณ มืองมุมไบ
รายงาน
ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ คอลัมน์ Trade Update วันที่ 19-21 มิ.ย. 2557