ลู่ทางธุรกิจในอินเดีย
ข้อมูลการประกอบธุรกิจก่อสร้างในประเทศอินเดีย
ข้อมูลงานก่อสร้าง
1. งานก่อสร้างในอินเดียแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบใหญ่ๆ คือ
1.1 โครงการของรัฐ เช่น การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ถนน ระบบชลประทาน เป็นต้น สามารถหาข้อมูลการประมูลงานก่อสร้างโครงการของรัฐได้ที่ http://npcc.gov.in/ ทั้งนี้ รัฐบาลอินเดีย มีแผนจะลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานโดยใช้งบประมาณมากกว่า 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในระยะเวลา 5 ปี
1.2 โครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานและอาคารพาณิชย์
1.3 โครงการก่อสร้างที่พักอาศัย แต่ละรูปแบบมีหลักเกณฑ์ เงื่อนไขการเข้ารับงาน การดำเนินงาน ตลอดจนแบบสัญญา และประมาณการก่อสร้าง ที่แตกต่างกันมาก ต้องทำการศึกษาเป็นรายกรณีไป
2. โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของอินเดียเกิดขึ้นตามเมืองใหญ่และเมืองสำคัญของแต่ละรัฐ อาทิ นิวเดลี มุมไบ เจนไน บังกะลอร์ กัลกัตตา กัว ปูเน่ เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ทางตอนกลางและตอนใต้ของอินเดีย สำหรับในพื้นที่ทางเหนือของอินเดียยังมีความต้องการน้อยเนื่องจากยังขาดการ พัฒนาและมีภัยสงคราม
3. รายชื่อผู้จำหน่ายวัสดุ อุปกรณ์ก่อสร้างรายใหญ่ ดังนี้
3.1 ซีเมนต์
ACC Limited
Cement House, 121 Maharishi Karve Road, Mumbai - 400 020
Tel: 91-22-66654321 Fax: 91-22-66317440
Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
http://www.accrefractories.com
Binani Cement
12 J. N. Heredia Marg, Ballard Estate, Mumbai - 400 001
Tel: +91-22-2264 0040-41/42 Fax: +91-22-2264 0045
Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. http://www.binani.com/home.html
Dalmia Cement - Special Cements
Fagun Mansion IV Floor. 26 Ethiraj Salai, Chennai 600 008
Tel: 044 - 2827 9933 / 2896,
Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
http://www.dalmiacement.com
Gujarat Ambuja Cements
106 Maker Chambers III, Nariman Point, Mumbai 400 021
Tel: 91+22+6659 7300 Fax: 91+22+2285 3051
Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
http://www.gujaratambuja.com
ACC Limited
Cement House, 121 Maharishi Karve Road, Mumbai - 400 020
Tel: 91-22-66654321 Fax: 91-22-66317440
Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
http://www.accrefractories.com
Binani Cement
12 J. N. Heredia Marg, Ballard Estate, Mumbai - 400 001
Tel: +91-22-2264 0040-41/42 Fax: +91-22-2264 0045
Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. http://www.binani.com/home.html
Dalmia Cement - Special Cements
Fagun Mansion IV Floor. 26 Ethiraj Salai, Chennai 600 008
Tel: 044 - 2827 9933 / 2896,
Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
http://www.dalmiacement.com
Gujarat Ambuja Cements
106 Maker Chambers III, Nariman Point, Mumbai 400 021
Tel: 91+22+6659 7300 Fax: 91+22+2285 3051
Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
http://www.gujaratambuja.com
3.2 เหล็ก เหล็กกล้า
Tata Steel Limited
Bombay House, 24 Homi Mody Street, Mumbai – 400 001
Tel: 91 022 66658282
http://www.tatasteel.com
Goel Steel Company Ltd
C-204 Crystal Plaza New, Link Road Lokhandwala,
Andheri (W) Mumbai - 400053
Tel:91-22-32961359/ 26730659
Fax: 91-22-26730659
Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
http://goelsteel.com
Jsw Steel Ltd.
Jindal Mansion, 5A Dr. G.Deshmukh Marg, Mumbai – 400 026
Tel: 022-23513000 / 43437199
Fax:022-23526400
http://www.jsw.in
Jindal Steel & Power Ltd.
Behind Marathe Udyog Bhawan, New Prabhadevi Road, Prabhadevi, Mumbai 400 025
Tel: +91 22 2432800
Fax: +91 22 24238312
Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ
พฤษภาคม 2553
ข้อมูลตลาดส่งออกสินค้าฮาลาลในอินเดีย
1. อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองของโลก (ประมาณ 1,100 ล้านคน) ในจำนวนนี้มีประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามมากกว่า 160 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 10 ของประชากรมุสลิมทั่วโลก ซึ่งมีความต้องการที่จะบริโภคอาหารฮาลาลหรืออาหารที่ได้รับอนุญาตให้บริโภค ได้ตามหลักศาสนาอิสลาม จากข้อมูลประชากรดังกล่าวสามารถประมาณการได้ว่าตลาดอาหารฮาลาลในอินเดียนั้น คิดเป็นมูลค่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี และมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องประมาณร้อยละ 10-15 ในแต่ละปี
2. พฤติกรรมการบริโภคอาหารของชาวอินเดียส่วนใหญ่รวมทั้งชาวมุสลิม ยังคงนิยมบริโภคอาหารที่ผลิตได้เองภายในท้องถิ่นและปรุงอาหารรับประทานเองเป็นหลัก โดยวัตถุดิบสามารถหาซื้อได้ในตลาดท้องถิ่นและร้านค้าปลีกขนาดเล็กซึ่งเป็นผู้กระจายสินค้ารวมแล้วประมาณร้อยละ 90 ของมูลค่าตลาด ทั้งนี้ นอกจากในเมืองใหญ่ๆ แล้ว ไม่ค่อยมีการดำเนินกิจการซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต หรือห้างค้าปลีกขนาดใหญ่มากนักในประเทศอินเดีย
3. แม้แต่ในเมืองใหญ่อย่างเช่นเมืองมุมไบ ประชาชนส่วนใหญ่ยังนิยมที่จะปรุงอาหารรับประทานเองที่บ้าน รวมทั้งนำอาหารที่ปรุงเองที่บ้านไปรับประทานในที่ทำงานด้วย อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าการรับประทานอาหารนอกบ้านและผลิตภัณฑ์อาหารประเภท Ready to eat จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนชั้นกลางที่มีรายได้สูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ
4. นอกจากอาหารมื้อหลักแล้ว คนอินเดียส่วนใหญ่นิยมบริโภคอาหารหวานและขนมขบเคี้ยว ซึ่งมีการผลิตและจำหน่ายอยู่เป็นจานวนมากโดยผู้ผลิตท้องถิ่นเองและบางส่วนมีการนำเข้าจากต่างประเทศ
5. ตลาดสินค้าอาหารของอินเดียให้ความสำคัญกับอาหารประเภทมังสวิรัติ เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู (หากนับถืออย่างเคร่งครัดจะไม่รับประทานเนื้อสัตว์และไข่) โดยจะมีการแสดงสัญลักษณ์บนฉลากสินค้าอาหารเสมอว่าสินค้าดังกล่าวเป็นมังสวิรัติหรือไม่
6. ในส่วนของอาหารฮาลาลนั้น ในปัจจุบันยังไม่ปรากฏว่ามีการจำแนกออกชัดเจนจากอาหารทั่วไปมากนัก โดยมากผู้บริโภคที่เป็นมุสลิมมักจะซื้อสินค้าประเภทอาหารสด เนื้อสัตว์ และวัตถุดิบต่างๆ ในการปรุงอาหารจากร้านค้าในท้องถิ่นที่ทราบอยู่แล้วว่าเป็นมุสลิมด้วยกัน และเลือกรับประทานอาหารนอกบ้านเฉพาะในร้านอาหารมุสลิมโดยเฉพาะ
7. อินเดียมีการนำเข้าสินค้าประเภทอาหารจากต่างประเทศเป็นปริมาณไม่มากนักเมื่อเทียบกับขนาดของตลาด เนื่องจากอินเดียเองมีความสามารถในการผลิตได้ค่อนข้างเพียงพอต่อความต้องการบริโภค รวมทั้งยังเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารรายสำคัญของโลกอยู่แล้ว ทั้งนี้ สินค้าอาหารที่อินเดียมีการนำเข้ามักจะเป็นสินค้าที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น ผักผลไม้ที่ไม่ได้เพาะปลูกเองในประเทศ เครื่องดื่มบางชนิด เนื้อสัตว์และเนื้อสัตว์แปรรูปบางชนิด อาหารกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป ซอสและเครื่องปรุงรส เป็นต้น
8. การนำเข้าสินค้าอาหารจากต่างประเทศส่วนใหญ่ผู้นำเข้าจะเป็นผู้กระจายสินค้าเองด้วย โดยจะส่งต่อไปยังตลาดค้าส่ง ร้านค้าปลีกท้องถิ่น ซูเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่น ส่วนซูเปอร์มาร์เก็ตของห้างสรรพสินค้าและไฮเปอร์มาร์เก็ตจะมีแผนกจัดซื้อของตนทำหน้าที่คัดเลือกและสั่งซื้อสินค้าเอง
9. ขั้นตอนการนำเข้าสินค้าอาหารฮาลาลเป็นเช่นเดียวกับการนำเข้าสินค้าอาหารโดยทั่วไป โดยสินค้าอาหารที่จะส่งเข้ามายังประเทศอินเดียจะต้องมีการรับรองด้าน สุขอนามัยจากประเทศต้นทางให้เรียบร้อย ส่วนการนำเข้าสินค้าที่เป็นเนื้อสัตว์จะต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงาน Department of Animal Husbandry and Dairying ของรัฐบาลอินเดีย สำหรับการระบุว่าสินค้าอาหารใดเป็นอาหารฮาลาล อินเดียมีองค์กรที่เกี่ยวข้อง คือ Halal India Pvt. Ltd. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลอินเดียในการตรวจสอบและให้การรับรองผลิตภัณฑ์ฮาลาลในประเทศอินเดีย และองค์กรดังกล่าวเป็นสมาชิกของ World Halal Congress ทั้งนี้ ไม่มีข้อบังคับว่าสินค้าฮาลาลจะต้องได้รับการรับรองหรือได้เครื่องหมายรับรองใดจึงจะสามารถวางจำหน่ายได้ แต่หากผู้ประกอบการเห็นว่าหากมีการรับรองฮาลาลบนฉลากผลิตภัณฑ์แล้วจะทำให้เกิดประโยชน์ทางการตลาดได้ ก็สามารถนำสินค้าของตนเสนอขอรับการรับรองจากองค์กรดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากองค์กรดังกล่าวได้มีการประสานงานและทำความตกลงร่วมกับคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยไว้แล้วตั้งแต่ปี 2552 ผู้ประกอบการไทยที่มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับเครื่องหมายรับรองฮาลาลที่ออกโดยคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยแล้วก็สามารถขอรับการรับรองจากองค์กรดังกล่าวด้วยเช่นกัน
10. สินค้าอาหารของไทยที่มีศักยภาพในการส่งออกมายังตลาดอินเดีย ได้แก่ อาหารสาเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว ซอสและเครื่องปรุงรส ผลไม้แปรรูป อาหารทะเลแช่แข็ง อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เป็นต้น กลุ่มผู้บริโภคสำหรับสินค้าไทยดังกล่าว ได้แก่ ผู้บริโภคระดับกลางขึ้นไปที่มีรายได้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ยของคนอินเดียทั่วไป และต้องการทางเลือกในการบริโภคเพิ่มขึ้น ควรเน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ และตัวแทนห้างสรรพสินค้าที่มีศักยภาพในการทำการตลาดให้กับสินค้า เมืองเป้าหมายควรเป็นเมืองใหญ่ที่มีความสำคัญทางธุรกิจ อาทิ มุมไบ นิวเดลี เจนไน บังกาลอร์ ไฮเดอราบัด เป็นต้น เนื่องจากในเมืองเหล่านี้ผู้บริโภคจะมีกำลังซื้อสูงกว่าเมืองอื่นทั่วไป
11. ในเบื้องต้นเสนอให้เน้นการส่งออกสินค้าแปรรูปที่สามารถเก็บไว้ได้นานและทนทานต่อการขนส่ง เนื่องจากระบบโลจิสติกส์และการกระจายสินค้าในประเทศอินเดียยังไม่ได้มาตรฐาน ขั้นตอนการตรวจสอบสินค้า ใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน หากเป็นสินค้าประเภทเน่าเสียง่ายอาจเกิดปัญหาได้
12. หากมีโอกาสผู้ประกอบการไทยควรเข้าร่วมงานแสดงสินค้าอาหารที่จัดขึ้นในเมืองใหญ่ๆ ของอินเดีย อาทิ มุมไบ นิวเดลี และเจนไน รวมทั้งงานแสดงสินค้าประเภททั่วไปขนาดใหญ่ซึ่งมีสินค้าอาหารร่วมจัดแสดงด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการได้พบกับผู้นำเข้าและนักธุรกิจอินเดียที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมอาหาร รวมทั้งเป็นโอกาสในการประชาสัมพันธ์ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้าต่อผู้บริโภคชาวอินเดียโดยตรงอีกด้วย
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ
มกราคม 2554
การส่งออกกล้วยไม้มายังประเทศอินเดีย
1. ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีกล้วยไม้ขึ้นตามธรรมชาติหลากหลายมากกว่า 1,000 สายพันธุ์ กระจายอยู่ทั่วทั้งประเทศ แต่จะมีมากที่สุดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ โดยรัฐที่มีการเพาะปลูกกล้วยไม้เพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์มากที่สุด คือ รัฐเคราละ (Kerala) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังไม่มีระบบการทำฟาร์มเพาะเลี้ยงกล้วยไม้อย่างเป็นระบบมากนัก แต่จะใช้วิธีการรวบรวมสินค้าจากเกษตรกรรายย่อยให้ได้ปริมาณตามความต้องการ ของตลาด จึงทำให้คุณภาพของกล้วยไม้แตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน
2. ศูนย์กลางการจำหน่ายกล้วยไม้ที่สาคัญของอินเดีย นอกจากที่เมืองโคชิน (Cochin) และเมืองติรุวันนันทะปูรัม (Trivannapuram) ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐเคราละดังที่กล่าวมาแล้ว ยังมีการจำหน่ายในเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจอีกหลายเมือง อาทิ เมืองเจนไน เมืองบังกาลอร์ เมืองมุมไบ กรุงนิวเดลี และเมืองไฮเดอราบัด เป็นต้น ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นที่รวมของกลุ่มผู้ซื้อที่สำคัญ ได้แก่ โรงแรมขนาดใหญ่ ศาสนสถาน และบริษัทรับจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ (Fair Organizer) โดยกลุ่มผู้ซื้อเหล่านี้จะสั่งซื้อดอกไม้จากผู้จำหน่ายในท้องถิ่น (Local Retailers and Distributors) เป็นหลัก
3. ในเมืองมุมไบมีตลาดที่นับว่าเป็นศูนย์กลางการจำหน่ายดอกไม้ คือ Dadar’s Old Flower Market เปิดทำการตั้งแต่เวลา 04.00 น. ของทุกวัน เป็นที่รวมของดอกไม้จากพื้นที่รอบเมืองมุมไบ (ซึ่งใช้เวลาขนส่งไม่เกิน 4-6 ชั่วโมง) ผู้ซื้อรายใหญ่รวมทั้งผู้ค้าปลีกในเมืองมุมไบและเมืองใกล้เคียงจะเดินทางมาสั่งซื้อดอกไม้ที่ตลาดดังกล่าวเพื่อนำไปจำหน่ายต่อและใช้งาน
4. จากการศึกษาข้อมูลในเบื้องต้น สินค้าดอกไม้จากต่างประเทศจะต้องเสียภาษีนำเข้าและภาษีอื่นๆ ในอัตราประมาณร้อยละ 28.3 ทั้งนี้ ผู้ส่งออกกล้วยไม้ไทยที่ต้องการจะขยายตลาดส่งออกในประเทศอินเดีย ควรนำเสนอจุดแข็งของกล้วยไม้ไทยในเรื่องของการควบคุมคุณภาพสินค้าให้มีมาตรฐานเดียวกันได้อย่างสมำ่เสมอ รวมทั้งมีกระบวนการผลิตอย่างเป็นระบบที่จะสามารถทำให้มีผลผลิตส่งมอบให้กับลูกค้าได้ตามความต้องการตลอดทั้งปีโดยไม่ผันผวนตามฤดูกาลมากนัก อย่างไรก็ตาม อินเดียเป็นประเทศที่มีระบบการขนส่งและกระจายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานสากลมากนัก ผู้ส่งออกไทยควรระมัดระวังในเรื่องของความเสียหายของสินค้าที่จะเกิดขึ้นในขั้นตอนการขนส่งด้วย
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ
มีนาคม 2554
ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจสปาในประเทศอินเดีย
1. ธุรกิจสปาในประเทศอินเดียนับเป็นธุรกิจที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่เมื่อเทียบกับธุรกิจสปาในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยในอินเดียเพิ่งจะเริ่มมีการดำเนินการอย่างจริงจังในช่วงระยะเวลาประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานี้เท่านั้น ทำให้ยังไม่มีการพัฒนารูปแบบวิธีการและมีมาตรฐานตามแบบอย่างสากลมากนัก อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ความนิยมในธุรกิจสปาได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่เฉพาะในด้านปริมาณของสถานประกอบการที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีรูปแบบการพัฒนาที่หลากหลายเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากอีกด้วย
2. ในปัจจุบันธุรกิจสปาในประเทศอินเดียเริ่มได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากคนอินเดียจำนวนมากที่นิยมเดินทางท่องเที่ยว หรือไปศึกษา และไปทำงานในต่างประเทศ ได้เคยใช้บริการสปาจากประเทศอื่นๆ เมื่อกลับมาแล้วก็ยังคงมีความต้องการที่จะได้ใช้บริการแบบเดียวกันในประเทศอินเดียเองอีก แต่ธุรกิจสปาที่ได้มาตรฐานในประเทศอินเดียนั้นส่วนมากจะมีให้บริการในโรงแรมระดับห้าดาวตามเมืองใหญ่ๆ เท่านั้นและมีราคาค่าบริการที่สูงมาก จึงเริ่มมีผู้ประกอบการอินเดียที่เห็นช่องทางการตลาดดังกล่าวเริ่มดาเนินกิจการสปาของตนเองมากขึ้น ทำให้ในปัจจุบันมีธุรกิจสปาขนาดย่อยๆ เกิดขึ้นในเมืองใหญ่เป็นจำนวนมาก แต่ธุรกิจสปาเหล่านี้มักจะมีรูปแบบวิธีการที่ไม่ได้มาตรฐานนัก
3. การเริ่มต้นประกอบธุรกิจสปาในอินเดียมีขั้นตอนและหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ คือ จะต้องไปขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเพื่อประกอบธุรกิจดังกล่าว (ในกรณีคนต่างชาติจะต้องขออนุญาตจากหน่วยงาน Reserve Bank of India ในการประกอบธุรกิจด้วย) ขึ้นทะเบียนและขอหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (PAN Number) รวมทั้งจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าด้วย ทั้งนี้ อินเดียกำหนดอัตราภาษีเงินได้สำหรับธุรกิจต่างชาติมีอัตราสูงถึงร้อยละ 40 ของรายได้สุทธิ
4. อุปสรรคสำคัญอีกประการหนึ่งที่จะต้องคำนึงถึงหากผู้ประกอบการไทยสนใจจะประกอบธุรกิจสปาในประเทศอินเดีย คือ ปัญหาเรื่องแรงงาน เนื่องจากนโยบายเรื่องแรงงานของอินเดียค่อนข้างกีดกันแรงงานต่างชาติ หากตั้งใจจะใช้พนักงานจากประเทศไทยเป็นหลักอาจมีปัญหาในการดำเนินการได้
5. ในอินเดียมีสมาคมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสปา คือ Spa & Wellness Association of India ตั้งขึ้นเมื่อปี 2549 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะยกระดับมาตรฐานธุรกิจสปาในประเทศอินเดีย รวมทั้งให้คำแนะนาเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจดังกล่าว โดยรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่เว็บไซด์ของสมาคมฯ http://www.spaandwellnessassociation.com
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ
มกราคม 2554