กรุงเทพธุรกิจ: Inside India (มองอินเดีย : ไทยควรเห็นอะไรบ้าง)
อินเดียเป็นประเทศใหญ่ ขนาด 6 เท่าของไทย มีคนกว่า 1,200 ล้านคน เฉพาะที่เป็นมุสลิมก็กว่า 170 ล้านคน ความแตกต่างภายในประเทศ ทั้งสภาพอากาศ ภูมิศาสตร์ ผู้คน ภาษา ขนบธรรมเนียมจึงมากมาย จนมีนักวิชาการอังกฤษคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า ไม่ว่าเราจะพูดถึงอินเดียอย่างถูกต้องว่าอย่างไร สิ่งที่เป็นเรื่องตรงข้ามก็มักจะเป็นความจริงด้วยเช่นกัน
เมื่อพูดถึงอินเดียแล้วนึกถึงอะไรบ้าง คนไทยแทบทุกคนจะมีคำตอบของตนในใจ
หากเป็นคนไทยทั่วไป เรื่องที่มักเห็นจากการมองอินเดียในปัจจุบันคือการท่องเที่ยวแสวงบุญในเขตสังเวชนียสถาน ไทยโชคดีที่คณะพระธรรมทูตสายอินเดีย-เนปาลมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาทั้งคนและสถานที่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้แสวงบุญสามารถน้อมนำจิตใจและเน้นการปฏิบัติบูชาในสถานที่จริงของพุทธประวัติได้ วิสัยทัศน์พระธรรมทูตยังทอดยาวไปถึงดำริที่จะสร้างชาวพุทธอินเดียให้มีความเข้มแข็ง เพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในพุทธภูมิอีกครั้ง
เพื่อเป็นพุทธบูชาอย่างแท้จริง รัฐบาลและชาวไทยจึงควรสนับสนุนภารกิจข้างต้น และยึดการปฏิบัติบูชามากกว่าการบูชาด้วยวัตถุของมีค่าในเขตสังเวชนียสถาน
ถ้าเป็นพ่อค้าวาณิชย์ก็มักมองเห็นอินเดียในแง่โอกาสทางธุรกิจ การค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว
เอกชนรายเล็ก รายย่อย ที่ทำมาค้าขายกับอินเดียต่างมองอินเดียว่าเป็นตลาดสำคัญ โดยเฉพาะข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน เสื้อผ้า เครื่องประดับตกแต่งนำไปขายเท่าไรก็หมด อยากให้ภาครัฐช่วยสนับสนุน ให้ได้ร่วมงานแสดงสินค้าตามรัฐต่างๆ
เอกชนรายใหญ่ นักลงทุนไทยที่พร้อมแข่งขันนอกบ้าน เมื่อมองข้ามประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ติดไทยแล้วก็เห็นอินเดีย เพราะได้ยินมาชินแล้วว่า อินเดียสำคัญและเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลกก็เพราะขนาดตลาด และการลดต้นทุนจากค่าแรงงานในสังคมที่บ้านเมืองมีขื่อมีแป ถึงแม้จะต้องเผชิญอุปสรรคและความล่าช้าในการทำธุรกิจจากระบบราชการและความเป็นประชาธิปไตยของอินเดีย
เท่าที่เห็นในช่วงสองปีกว่า บริษัทชั้นนำของไทยเหล่านี้ แม้ยังเป็นส่วนน้อย ก็ยังคงคิดจะขยายธุรกิจเพิ่มเติม แต่เอกชนไทยส่วนใหญ่ยังมีความกลัวๆ กล้าๆ บวกอคติดั้งเดิม ประกอบกับการรักสบายไม่อยากปวดหัวกับแขก ก็ยังคงเลือกนั่งมองต่อไป สำหรับกลุ่มนี้ ขอแนะนำให้ติดตามข่าวคราว ช่องทางโอกาสจากเว็บไซต์ thaiindia.net ซึ่งจัดทำเพื่อนักธุรกิจไทยที่สนใจอินเดียโดยเฉพาะ
ที่น่าประทับใจคือ ประสบการณ์ที่เคยพบพูดคุยกับคนไทยนักออกแบบจัดดอกไม้ระดับโลก ที่รับงานแต่งงานเศรษฐีอินเดียแบบค่าจัดและดอกไม้เป็นหลักล้านบาท สถาปนิกสาวไทยที่เดินทางคนเดียวไปกำกับงานออกแบบภายในของโรงแรมชั้นนำในอินเดีย หรือสาวไทยที่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสปาของโรงแรมชั้นนำในอินเดีย อันที่จริงโอกาสเหล่านี้ยังมีอีกมาก ขอเพียงคนไทยฝึกการใช้ภาษาอังกฤษให้มั่นใจยิ่งขึ้น ลู่ทางก็จะกว้างไกล
พูดถึงความนิยมไทย ก็คงต้องกล่าวถึงโอกาสการท่องเที่ยวไทยว่า ในระยะหลายปีที่ผ่านมา คนไทยในธุรกิจท่องเที่ยวได้มองอินเดียเป็นลูกค้าสำคัญและมีค่าอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว โดยเฉพาะงานแต่งงาน ยิ่งคนอินเดียมองไทยเป็นประเทศน่าท่องเที่ยวอันดับหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยกับอินเดียจะยิ่งมีความใกล้ชิดมากขึ้น ในอินเดียเองก็มีที่น่าท่องเที่ยวที่จะตื่นตาตื่นใจคนไทยอีกมาก
เรื่องที่สามคือการมองเห็นโอกาสทางการศึกษา อินเดียเป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอน มีการศึกษาที่นับว่าเป็นของดี ราคาย่อมเยา แต่ผู้ซื้อคือผู้ปกครอง ตัวนักเรียน นักศึกษาต้องรู้จักเลือก สิ่งที่สถานทูต สถานกงสุลใหญ่ทั้ง 3 แห่ง ที่เจนไน มุมไบและกัลกัตตา ประสบพบเห็นเสมอคือ พ่อแม่ผู้ปกครองส่งลูกหลานไปเรียนที่อินเดียด้วยเชื่อตามคำบอกกล่าวของเอเย่นต์หรือคนรู้จัก จึงขอวิงวอนให้ผู้ปกครองตามไปส่งบุตรหลานด้วยตัวเองสักครั้ง
อินเดียมีนักเรียนทุนประเภทต่างๆ ไปเรียนมากขึ้น สำนักงาน ก.พ. จึงน่าจะพิจารณาส่งตัวแทนไปประจำการ อาทิ ที่บังคาลอร์ เพื่อให้ความช่วยเหลือนักเรียนเหล่านี้ ซึ่งประสบปัญหาสารพัดมากกว่านักเรียนไทยในประเทศฝรั่งที่ ก.พ. มีสำนักงานตั้งอยู่หลายแห่ง อีกทั้ง ก.พ. ก็จะได้ประโยชน์จากการติดตามการสร้างทรัพยากรกำลังบุคคลของอินเดีย และการรับรองคุณภาพของสถาบันอุดมศึกษา
นอกจากนี้ อินเดียยังมีสถาบันการศึกษาชั้นนำที่อ้าแขนต้อนรับนักศึกษาไทยมุสลิมได้เล่าเรียนวิชาชีพสายสามัญเป็นภาษาอังกฤษอย่างกว้างขวาง เป็นที่น่ายินดีว่า เยาวชนไทยจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เริ่มตื่นตัวที่จะหันไปเลือกเรียนต่อในวิชาชีพสายสามัญในอินเดียกันมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ สถานทูตและพระธรรมทูตก็ได้เริ่มตั้งกองทุนเล็กๆ ขึ้นมาสนับสนุนนักเรียนไทยมุสลิมจากสามจังหวัดชายแดนฯ โดยเฉพาะด้วยแล้ว
เรื่องที่สี่ที่มองอินเดียแล้วควรเห็นคือมิติด้านความมั่นคง
ด้านการทหาร จุดเด่นของอินเดียคือการมีกองทัพอาชีพ ไม่ยุ่งการเมือง การซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ใช้หลักถ่ายโอนเทคโนโลยีทุกขั้นตอน อินเดียจึงมีอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่มีภาคเอกชนมีส่วนร่วมสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการต่อเรือ สร้างอากาศยาน จรวดส่งดาวเทียม ขีปนาวุธนิวเคลียร์
ด้านข่าวกรอง การต่อต้านการก่อการร้าย อินเดียพร้อมจะเป็นหุ้นส่วนไทยทุกด้านอยู่แล้ว อยู่ที่ไทยพร้อมจะเรียนรู้ร่วมกับอินเดียมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้อินเดียยังมีความเป็นตัวของตัวเองในท่าทีการต่างประเทศที่น่าเรียนรู้ อาทิ ไม่เคยต้องการจะเป็นไม้คานอำนาจใคร ไม่เคยสนใจหรือให้ความสำคัญกับองค์การโอไอซีที่เคยวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติต่อชาวมุสลิมในรัฐจัมมูและแคชเมียร์ จนองค์การโอไอซีเลิกตอแยรัฐบาลอินเดียไปเอง
เรื่องสุดท้ายที่ควรจะได้จากการมองอินเดีย คือความนอบน้อมต่อศาสนา ธรรมชาติ ชีวิตมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย การไม่ย่อท้อต่อชะตากรรม ความพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้ชีวิตที่ดีกว่าเดิม จนถึงสัจธรรมของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน สมกับเป็นแผ่นดินแห่งพุทธภูมิอย่างแท้จริง
โดย พิศาล มาณวพัฒน์
เอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจประจำวันที่ 28 สิงหาคม 2556