ฐานเศรษฐกิจ: มองอินเดียใหม่ (ตอนที่ 90 กระแสโฆษณาออนไลน์กำลังมาแรงในอินเดีย)
ปัจจุบัน แม้สื่อโทรทัศน์ยังคงถือสัดส่วนสูงที่สุดของการโฆษณาในอินเดีย โดยคิดเป็นมูลค่า165,250 ล้านรูปีต่อปี รองลงมาคือ สื่อสิ่งพิมพ์ 152,500 ล้านรูปีต่อปี และสื่อออนไลน์ 22,600 ล้านรูปีต่อปี
อย่างไรก็ตาม คาดว่า สื่อออนไลน์กำลังมาแรงและจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น เช่นในปี 2557 ประมาณ 29,380 ล้านรูปี โดยมีการโฆษณาผ่านทางวิดีโอบนอินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นถึง 40% ในช่วงปีที่ผ่านมาและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 60% ในเร็วๆ นี้
แนวโน้มของความนิยมในการโฆษณาออนไลน์ในอินเดียปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2554 โดยมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในอินเดียมากกว่า 100 ล้านคน และมีผู้ชมวิดีโอบนอินเตอร์เน็ตถึง 43 ล้านคนต่อเดือน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 ชาวอินเดียนิยมชมวิดีโอบนอินเตอร์เน็ตนานถึง 8,100 ล้านนาที และคาดว่าจะมีจำนวนผู้ชมวิดีโอบนอินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่าในปี 2559 ดังนั้น จึงเป็นยุคทองของ YouTube ที่บริษัทต่าง ๆ ของอินเดียหันมาใช้บริการสื่อโฆษณาเพิ่มขึ้นจน Youtube สามารถเรียกเก็บค่าบริการเพิ่มขึ้นถึงปีละ 10% ทีเดียว
บริษัททั้งต่างชาติและบริษัทอินเดียเองต่างหันมาเลือกใช้ยุทธศาสตร์การโฆษณาผลิตภัณฑ์ของตนผ่านอินเตอร์เน็ตมากยิ่งขึ้นในอินเดีย อาทิ บริษัท L’Oreal Paris India ซึ่งได้ว่าจ้างบริษัท Foxymoron วางแผนการโฆษณาผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ล่าสุด L’Oreal Paris Fall Repair ได้ upload มิวสิกวิดีโอเพลง Jad Se Judein ซึ่งผลิตขึ้นมาเฉพาะสำหรับสื่อออนไลน์ และปัจจุบันมียอดผู้ชมวิดีโอดังกล่าว ประมาณ 2.6 ล้านคนในช่วงเวลาเพียง 3 สัปดาห์ หรือบริษัท Amul ซึ่งเป็นสหกรณ์โคนมรายใหญ่ที่สุดในอินเดียก็ใช้การโฆษณาแบบออนไลน์ผ่าน Facebook ควบคู่ไปกับการโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์
ปัจจุบัน อินเดียมีผู้ใช้ Google 125 ล้านคน และ Facebook 75 ล้านคน ในขณะที่มีผู้อ่านหนังสือพิมพ์ Times of India ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับใหญ่ที่สุดในอินเดีย เพียงแค่ 7 ล้านคน และมีผู้รับชมโทรทัศน์ช่องภาษาอังกฤษเพียงไม่ถึง 1 ล้านคนปัจจัยของแนวโน้มที่บริษัทต่าง ๆ หันมาใช้โฆษณาแบบออนไลน์เพิ่มขึ้นในอินเดียแทนช่องทางโฆษณาแบบเดิม ได้แก่ข้อจำกัดของสื่อโทรทัศน์มีเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดของหน่วยงานกำกับกิจการโทรคมนาคมของอินเดีย (Telecom Regulatory Authority of India-TRAI) ที่ออกกฎบังคับให้รายการโทรทัศน์ 1 ชั่วโมงสามารถมีโฆษณาได้เพียง 12 นาที ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 เป็นต้นไป ซึ่งทำให้ราคาค่าโฆษณาสูงขึ้นเนื่องจากระยะเวลาที่สามารถขายโฆษณาได้ลดลง
นอกจากนี้ ผู้ชมรายการโทรทัศน์ก็มักจะเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ระหว่างโฆษณา แถมยังมีเทคโนโลยี Digital video recorders ซึ่งสามารถบันทึกรายการโทรทัศน์ไว้ล่วงหน้า เมื่อผู้ชมชมรายการก็จะข้ามช่วงที่เป็นโฆษณาเพื่อชมเฉพาะรายการที่ตนอยากรับชมเท่านั้น ทำให้โอกาสในการโฆษณาหดหายไป
เหตุผลที่ชัดๆ ที่ทำให้โฆษณาออนไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้นก็คือความคุ้มค่าของสื่อออนไลน์ที่มีมากกว่าสื่อโทรทัศน์ เพราะสำหรับโฆษณาทางโทรทัศน์บริษัทต้องจ่ายค่าโฆษณาในแต่ละครั้งที่ออกอากาศ ในขณะที่หากเป็นการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตสามารถรับชมและแบ่งปันโฆษณาดังกล่าวผ่าน social media (Facebook และ Twitter) อื่น ๆ ได้อีกนับครั้งไม่ถ้วน
ยิ่งกว่านั้น การนำเสนอโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจนมากกว่าสื่อโทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ และยังสามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้อย่างกว้างขวางกว่า ปัจจุบัน อินเดียมีผู้ใช้ Google 125 ล้านคน และ Facebook 75 ล้านคน ในขณะที่มีผู้อ่านหนังสือพิมพ์ Times of India ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับใหญ่ที่สุดในอินเดีย เพียงแค่ 7 ล้านคนและมีผู้รับชมโทรทัศน์ช่องภาษาอังกฤษเพียงไม่ถึง 1 ล้านคน
การใช้สื่อออนไลน์มิได้จำกัดเพียงบริษัทเอกชนเท่านั้น แม้แต่พรรคการเมืองอินเดียเองก็ต่างหันมาใช้สื่อออนไลน์กันเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น หากมีการวางแผนการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม สื่อออนไลน์จะสามารถเป็นเครื่องมือในการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูงมาก คุ้มค่าและเหมาะสมสำหรับการสื่อสารถึงกลุ่มคนจำนวนมากอย่างเช่นในประเทศอินเดีย
โดย กนกภรณ์ คุณาวัฒน์
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,873 วันที่ 25 -28 สิงหาคม พ.ศ. 2556