ฐานเศรษฐกิจ (มองอินเดียใหม่: ตอนที่ 102 (วิกฤตทองคำอินเดียกับผลกระทบต่อวัฒนธรรม)
รัฐบาลอินเดียกำลังพยายามสวนกระแสการบริโภคทองและสินค้านำเข้าฟุ่มเฟือย อย่างทีวีจอแบน ด้วยมาตรการจำกัดการนำเข้าทองและสินค้าฟุ่มเฟือย สำหรับทองคำสินทรัพย์มีค่าที่คนอินเดียนิยม รัฐบาลไม่เพียงแต่พยายามสวนกระแสความต้องการของคนในประเทศเท่านั้นแต่กำลังสวนกระแสความเชื่อและวัฒนธรรมรากเหง้าของคนกว่า 1,200 ล้านคน ความนิยมทองของอินเดียที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนรัฐบาลต้องออกโรงมาตั้งกำแพงภาษีที่ปัจจุบันสูงถึง 10% และมีผลกระทบต่อสินค้าทองรูปพรรณภายใต้ FTA ไทย-อินเดีย นั้น เกิดจากความนิยมทองคำที่ฝังรากลึกในสายเลือดชาวอินเดียและระบบการธนาคารและการลงทุนที่ยังไม่พัฒนา
มีการคาดการณ์ว่า ทองคำในอินเดียที่สะสมไว้ตามภาคต่างๆ รวมถึงครัวเรือนมีสูงถึง 20,000 ตัน เป็นมูลค่ากว่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปี 2555 อินเดียนำเข้าทอง 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสัดส่วนกว่า 1 ใน 4 ของมูลค่าทองคำที่ตลาดโลกผลิตออกมาในปีเดียวกัน คือ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปริมาณทองนำเข้าในปีก่อนของอินเดีย คือ 1,017 ตัน
จำนวนทองมากมายเหล่านี้นำเข้าอินเดียแล้วไปไหน นักวิเคราะห์กล่าวว่า เกือบครึ่งจะนำไปใช้เป็นสินสอดของขวัญและเครื่องประดับในงานแต่งงานอินเดีย ที่อลังการอย่างที่เห็นในภาพยนตร์บอลลีวูด
ทองยังเป็นการออมที่คนอินเดียยังให้ความนิยม ครัวเรือนเกือบครึ่งหรือ 40% ของประเทศ ยังไม่มีบัญชีธนาคารและเก็บออมด้วยการซื้อทองตุนไว้ ไม่ได้นำเงินออมไปลงทุนให้งอกเงยใดๆ คนอินเดียโดยเฉพาะในชนบทยังเชื่อว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ซื้อง่ายขายสะดวก และคล่องตัว การซื้อทองเก็บไว้ถือว่าเป็นความปลอดภัย ยิ่งรายได้ครัวเรือนมีมากขึ้น ความต้องการทองก็ยิ่งมีมากขึ้นด้วย
คนอินเดียยังนิยมบริจาคและทำบุญให้วัดฮินดูด้วยทองคำ ทองคำรวมถึงเพชรพลอยอัญมณีจะถูกมอบเป็นเครื่องสักการะตามวัดใหญ่ๆ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะวัดพระลักษมี เทพแห่งความมั่งมี มีการประเมินว่า วัดใหญ่ที่สุดในอินเดีย 3 แห่ง มีคลังทองคำมูลค่ารวมกันกว่า 3,500 ตัน จากสถิติในปี 2554 ที่วัด Sri Padmanabhaswa ในรัฐเกรละ มูลค่าทองคำที่วัดได้รับบริจาคมีมากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เศรษฐกิจแบบบริโภคนิยมที่อินเดียปรับใช้และความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของประชาชนก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ความต้องการทองพุ่งสูงขึ้นจนรัฐบาลต้องเข้ามาติดเบรก
แม้การเพิ่มภาษีนำเข้าทองคำในอินเดียจะทำให้อัตราการนำเข้าทองระหว่าง มกราคม-กันยายน ในปีนี้ลดลงกว่า 83% และรัฐบาลอาจจะดีใจที่มาตรการนี้จะไม่ทำให้ค่าเงินรูปีอ่อนตัวลงไปอีก ที่จากเดิมอ่อนตัวลง 15 % แต่ภาระหนักอกก็มาตกอยู่ที่เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรตามด่านและสนามบินต่างๆ ที่ต้องคอยระแวดระวังและเข้มงวดเรื่องการลักลอบนำเข้าทองให้มากขึ้น กลวิธีสารพัดถูกคิดเพื่อหลบหลีกการตรวจสอบ แม้กระทั่งการใช้ทองทาสีเงินหลอกตาเป็นลวดเย็บกล่องกระดาษ
นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า วิกฤติด้านการเงินที่มีผลจากความต้องการนำเข้าทองคำมหาศาลมายังอินเดีย ประเทศที่ไม่มีเหมืองทองเป็นของตัวเองครั้งนี้ จะเป็นความท้าทายอย่างยิ่งต่อระบบคลังและการควบคุมกลไกเศรษฐกิจอินเดีย เมื่อคนอินเดียมุ่งแต่จะลงทุนและออมในรูปแบบของทองคำ แทนที่จะเป็นหุ้นหรือหลักทรัพย์ต่างๆ Goldman Sachs วิเคราะห์ว่า หากความต้องการทองคำอินเดียลดลงน้อยกว่า 1% เท่ากับอัตราก่อนที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ มูลค่าการลงทุนกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอินเดีย
รัฐบาลอินเดียจึงไม่ได้งัดข้อกับเพียงปัญหาเรื่องบัญชีประเทศขาดดุลเพราะทองคำนำเข้าที่ฉุดการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงเท่านั้น แต่ยังงัดข้อกับความเชื่อดั้งเดิมที่ฝังรากในสังคมอินเดีย ผู้ค้าทองอาจจะได้รับผลกระทบเต็มๆ ในวันนี้ แต่ในวันข้างหน้า นักลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อาจจะมีโอกาส เมื่อพ่อแม่เจ้าสาวเปลี่ยนมอบสินสอดของขวัญวันแต่งงานเป็นใบรับรองการลงทุน กองทุนรวมอีทีเอฟทองคำ ไม่ใช่ทองคำแท่งหรือรูปพรรณเช่นในวันวาน
โดย คณิน บุญญะโสภัต
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,897 วันที่ 17 - 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556