ฐานเศรษฐกิจ (มองอินเดียใหม่ ตอนที่ 124: อินเดียฝั่งตะวันออก: ขุมทองค้าปลีก)
ถ้ายังจำกันได้ ผมได้เริ่มเปิดประเด็นพูดถึงเรื่องเปิดเสรีค้าปลีกในอินเดียมาตั้งแต่ตอนย้ายมาประจำอยู่ประเทศอินเดียใหม่ๆ ด้วยความตื่นเต้นดีใจที่จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีของเศรษฐกิจอินเดียและวิถีชีวิตของคนอินเดีย
แต่จนแล้วจนรอด นี่ก็ปาเข้าไปกว่า 2 ปีแล้วครับที่ยังไม่เห็นความคืบหน้าอะไรเกิดขึ้นในวงการค้าปลีกของอินเดียภายใต้นโยบายการเปิดเสรีค้าปลีกเลยสักนิด ที่ผ่านมาก็มีแต่ข่าวที่ออกมาเป็นระยะๆว่ายักษ์ใหญ่ค้าปลีกอย่าง IKEA หรือ Walmart กำลังจะเข้าไปบุกตลาดอินเดียแล้ว เพียงแต่รอการอนุมัติจากรัฐบาลอะไรประมาณนี้แต่ยังติดเงื่อนไขต่างๆภายใต้การเปิดเสรีค้าปลีกอยู่ ก็เลยยังไม่มีอะไรในกอไผ่ในวงการค้าปลีกของอินเดีย
แต่ในทางกลับกัน ปรากฏว่าบรรดาค้าปลีกเจ้าถิ่นของอินเดียเองที่เป็นบริษัทค้าปลีกสมัยใหม่หรือที่เราเรียกกันว่าโมเดิร์นเทรดอย่าง Pantaloons หรือ Big Bazaar กลับดี๊ด๊าฮาเฮกันขนานใหญ่เพราะยังไม่มียักษ์ใหญ่ค้าปลีกระดับโลกเข้าไปก่อกวน ก็เลยขยายตลาดกันอย่างสนุกสนานโดยเฉพาะตลาดทางฝั่งตะวันออกของอินเดียที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นตลาดที่พัฒนาน้อยกว่าตลาดทางด้านเหนือและฝั่งตะวันตกซึ่งมีเมืองเศรษฐกิจสำคัญอย่างนิวเดลี และมุมไบเป็นศูนย์กลาง
อินเดียฝั่งตะวันออกประกอบไปด้วยรัฐสำคัญๆ คือ อัสสัม พิหาร ฉัตติสครห์ ฌาร์ขัณฑ์ โอริสสา และเบงกอลตะวันตก ซึ่งนักธุรกิจในวงการค้าปลีกของอินเดียเรียกว่า "ตลาดสำหรับวันพรุ่งนี้" แถมยังบอกอีกว่าตลาดทางฝั่งนี้เปรียบเสมือนเหมืองทองคำที่ยังไม่มีคนค้นพบ ถ้าใครเข้าไปขุดก่อนก็ย่อมรวยก่อนเป็นธรรมดาอะไรประมาณนั้น ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะ
ขณะนี้ประเทศอินเดียได้พัฒนาไปมากกว่าที่เราคิด โดยมีการขยายตัวของเมืองใหม่ๆมากขึ้น ประชาชนมีรายได้ที่จับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น ผู้คนทันสมัยขึ้น และมีรสนิยมที่เป็นสากลมากขึ้น ซึ่งถ้าดูจากอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแล้วจะพบว่ารัฐทางฝั่งตะวันออกของอินเดียมีอัตราการขยายตัวอยู่ในระดับสูงเลยทีเดียวโดยเฉพาะรัฐพิหารที่ใครๆมองว่าเป็นรัฐที่ยากจนที่สุด แต่กลับมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีงบประมาณ 2554-55 ที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงที่สุดถึง 13.13% เลยทีเดียว ในขณะที่รัฐอื่นๆทางฝั่งตะวันออกก็มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูงเช่นกัน
ตลาดค้าปลีกทางฝั่งตะวันออกของอินเดียมีลักษณะตลาดที่มีความแตกต่างหลากหลายมากกว่าตลาดทางด้านเหนือและฝั่งตะวันตก อันเป็นผลมาจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมของผู้คนที่แตกต่างหลากหลายมากกว่า ซึ่งผู้รู้ในแวดวงค้าปลีกของอินเดียได้เสนอแนวคิดว่าถ้าจะเข้าตลาดค้าปลีกทางฝั่งตะวันออกของอินเดียจะต้องแบ่งตลาดออกเป็น 4 ส่วน
ตลาดส่วนแรก คือ ตลาดด้านตะวันออกเฉียงเหนือที่จะให้ความสนใจสินค้าเสื้อผ้าแฟชั่นและเน้นแบรนด์เนมเป็นหลัก ตลาดส่วนที่ 2 คือ รัฐพิหารกับรัฐฉัตติสครห์ ซึ่งเป็นส่วนตลาดที่มีกำลังซื้อสูง ตลาดส่วนที่ 3 คือ รัฐเบงกอลตะวันตกและรัฐโอริสสา ซึ่งเป็นส่วนตลาดที่มีรสนิยมแบบอนุรักษนิยม คือ ไม่หวือหวาฟู่ฟ่า และตลาดส่วนที่ 4 คือ รัฐฌาร์ขัณฑ์ ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้น นักธุรกิจที่สนใจจะเข้าไปบุกตลาดค้าปลีกทางฝั่งตะวันออกของอินเดียจำเป็นจะต้องเข้าใจส่วนตลาดย่อย 4 ส่วนข้างต้นก่อน จึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น
ตอนนี้ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกเจ้าถิ่นของอินเดียก็ได้เข้าไปลุยตลาดกันอย่างหนัก อาทิ Titan Eye+ ได้เปิดสาขาในฝั่งตะวันออกของอินเดียไปแล้ว 48 สาขา และมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 50 สาขาภายในปี 2558 ในขณะที่ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกตัวจริงอย่าง Future Group ซึ่งเป็นเจ้าของไฮเปอร์มาร์เก็ต Big Bazaar และซูเปอร์มาร์เก็ตระดับหรู Food Hall ก็มีแผนจะเปิดสาขาในฝั่งตะวันออกนี้ประมาณ 18-20 สาขา
อินเดียฝั่งตะวันออกจึงเป็นขุมทองสำหรับธุรกิจค้าปลีกที่นักธุรกิจไทยจะมองข้ามไปเสียไม่ได้
โดย อดุลย์ โชตินิสากรณ์
ผอ.สำนักงานส่งเสริมการค้าระห่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,945 วันที่ 4 - 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557