สิงคโปร์แอร์ไลน์สยายปีก เปิดสายการบินวิสตาราในอินเดีย
เมื่อวันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา สิงคโปร์ได้ตอกย้ำให้ทั้งโลกได้ทราบกันอีกครั้งว่า อินเดียคือประเทศที่นักลงทุนต่างชาติจะมองข้ามไม่ได้ เมื่อสายการบินวิสตารา (Vistara) ที่เกิดจาการร่วมทุนระหว่างสิงคโปร์แอร์ไลนส์กับกลุ่มบริษัททาทาของอินเดีย ได้ทำการบินเที่ยวบินปฐมฤกษ์เส้นทางนิวเดลี-มุมไบ ทำให้วิสตารากลายเป็นสายการบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (full service) รายที่สามของอินเดีย ต่อจากสายการบินแห่งชาติอย่างแอร์อินเดียและเจ็ทแอร์เวยส์
การเปิดตัวสายการบินวิสตาราในครั้งนี้ถือเป็นความเคลื่อนไหวทางธุรกิจที่สวนกระแสธุรกิจการบินของอินเดียโดยสิ้นเชิง เพราะที่ผ่านมาธุรกิจการบินเชิงพาณิชย์ของอินเดียประสบปัญหาขาดทุนมหาศาล เนื่องจากการบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพของสายการบินและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของสายการบินแอร์อินเดียที่เป็นสายการบินของรัฐซึ่งได้รับการอุดหนุนให้ผูกขาดตลาดจนเกินควร จนราคาบัตรโดยสารทั้งตลาดแพงลิบลิ่ว ในบรรดาสายการบินในอินเดีย มีเพียงสายการบินอินดิโก (Indigo) สายการบินต้นทุนต่ำที่เน้นความแตกต่างและความมีประสิทธิภาพในการทำการบินเพียงรายเดียวที่ทำกำไรได้ในขณะนี้
เหตุผลที่สิงคโปร์แอร์ไลน์ตัดสินใจเข้าไปลงทุนในตลาดที่ดูเหมือนจะยังมีปัญหาแสดงให้เห็นว่า สิงคโปร์แอร์ไลนส์มองการณ์ไกลจนเห็นโอกาสที่จะเข้าไปแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดขนาดมหึมา ที่ปัจจุบันมีผู้โดยสารเครื่องบินภายในประเทศปีละ 121 ล้านคนและไปต่างประเทศ 41 ล้านคน และตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 336 ล้านคนและ 85 ล้านคน ตามลำดับ ทำให้อินเดียกลายเป็นตลาดการบินที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกภายในปี ค.ศ. 2020
แต่แน่นอนกว่าที่วิสตาราจะมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย สิงคโปร์แอร์ไลน์และหุ้นส่วนทาทาต้องฝ่าด่านอรหันต์มายาวนานกว่า 20 ปี ตั้งแต่สมัยนายกฯ นรสิงห์ ราวกับนายโก๊ะ จ๊ก ตง ทั้งการต่อต้านสารพัดของสายการบินคู่แข่งและจากฝ่ายการเมืองที่ลงมาเล่นด้วย ต้องปรบมือให้รัฐบาลปัจจุบันภายใต้นายนเรนทร โมดี ที่เป็นมิตรกับนักลงทุนมากถึงมากที่สุด ช่วยสนับสนุนจนดีลระหว่างทั้งสองฝ่ายสำเร็จได้ภายในเวลา 7 เดือนที่รัฐบาลนี้เข้ามาปกครองประเทศ
แต่หนทางจากนี้ของวิสตาราก็คงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสียทีเดียว วิสตาราเข้าใจดีว่าการแข่งขันที่ดุเดือดทำให้วิสตาราจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่เด็ดขาดเพื่อมัดใจผู้โดยสารให้อยู่หมัด โดยนาย Phee Teik Yeoh ซีอีโอคนแรกของวิสตาราเผยกับสื่อท้องถิ่นว่า สายการบินวิสตาราจะเน้นการบริการที่คุ้มค่าเงิน (value for money) จะทำให้ผู้โดยสารรู้ว่า สายการบินแบบ full service มีมากกว่าการเสิร์ฟอาหารบนเครื่อง โดยสิ่งที่วิสตาราจะบุกเบิกเป็นครั้งแรกในอินเดียคือการขายที่นั่ง 3 ระดับ ได้แต่ ชั้นธุรกิจ ชั้นประหยัดแบบพรีเมี่ยม และชั้นประหยัด เพื่อจับตลาดผู้โดยสารระดับกลาง ที่พร้อมจ่ายเพิ่มเล็กน้อยเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง
นาย Yeoh ยังบอกอีกว่า อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดอินเดียมีความน่าสนใจคือการที่สายการบินแบบ full service และ low cost มีความแตกต่างกันน้อยมากในอินเดียในทางปฏิบัติ ดังนั้น วิสตาราจะพยายามใช้ช่องว่างนี้เพื่อชี้ให้ผู้โดยสารเห็นว่า ด้วยเงินค่าโดยสารที่จ่ายในปัจจุบัน ผู้โดยสารสามารถได้รับบริการระดับเดียวกับสายการบินชั้นพรีเมี่ยมอย่างสิงคโปร์แอร์ไลนส์ การที่มีกลุ่มบริษัททาทาเป็นหุ้นส่วนก็จะช่วยให้วิสตาราเข้าถึงตลาดได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวางขึ้น
ณ วันนี้ วิสตาราทำการบิน 3 เส้นทาง ได้แก่ นิวเดลี-มุมไบ นิวเดลี-อาห์เมดาบัด และมุมไบ-อาห์เมดาบัด ด้วยเครื่อง A320 จำนวน 5 ลำ และมีแผนที่จะค่อยๆ เพิ่มเส้นทางบินและขนาดฝูงบินไปเรื่อยๆ และกำลังรอการแก้ไขกฎ 5/20 ซึ่งกำหนดให้สายการบินใหม่ต้องทำการบินมาแล้ว 5 ปี และมีเครื่อง 20 ลำ จึงจะเริ่มบินไปต่างประเทศได้ เพื่อทำการบินไปจุดหมายในต่างประเทศต่อไป ซึ่งคาดว่ารัฐบาลอินเดียน่าจะตอบสนองได้ในไม่ช้า
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ชี้ให้เราเห็นว่า ตลาดการบินอินเดียหรือตลาดธุรกิจอินเดียในภาพรวมมีช่องว่างอีกมากมายให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปทำธุรกิจ และการที่อินเดียมีรัฐบาลที่เป็นมิตรกับนักลงทุนต่างชาติก็จะช่วยได้อีกมาก แต่สิ่งที่นักลงทุนจะต้องมีก็คือ หนึ่ง วิสัยทัศน์ มองการณ์ไกล มองให้ข้ามสิ่งไม่ดีหรืออคติที่เห็นในปัจจุบัน มองให้ทะลุถึงโอกาสและผลกำไรที่ปลายอุโมงค์ สอง แผนธุรกิจที่เกิดจากการศึกษาตลาดอย่างลึกซึ้ง มีกลยุทธ์ที่แตกต่าง เพราะอินเดียเป็นตลาดที่ใหญ่และมีความหลากหลายมาก ไม่มีใครหรือกลวิธีใดวิธีหนึ่งที่ครอบครองตลาดได้ทั้งหมด และสามมีหุ้นส่วนที่ไว้ใจได้เพื่อช่วยให้การทำงานในพื้นที่เป็นไปได้อย่างราบรื่น
เอกชนไทยที่ยังไม่มองอินเดียเป็นเป้าหมายการลงทุนอันดับต้นๆ ก็ขอให้รีบคิดใหม่ ทำธุรกิจที่ใดเล่าที่จะไม่มีอุปสรรค แต่สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ปลายทางว่าผลกำไรที่ได้คุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่
โดย ประพันธ์ สามพายวรกิจ
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,019 วันที่ 18 - 21 มกราคม พ.ศ. 2558
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,019 วันที่ 18 - 21 มกราคม พ.ศ. 2558