สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์ 13 - 19 กุมภาพันธ์ 2559 (อินเดีย)
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศณกรุงนิวเดลี
สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์
13 - 19 กุมภาพันธ์ 2559 (อินเดีย)
1. รัฐบาลอินเดียเล็งยกเว้นเก็บภาษีสำหรับอุตสาหกรรมเพชรในเขตพิเศษของอินเดีย
Budget 2016 : Government may look at tax benefits for diamond sector in special notified zone
นิวเดลี : รัฐบาลอินเดียกำลังอยู่ระหว่างวางแผนเสนอการยกเว้นภาษีธุรกิจสำหรับอุตสาหกรรมเจียระไนเพชรในเขตอุตสาหกรรมพิเศษ (Special Notified Zone, SNZ) เพื่อส่งเสริมให้อินเดียเป็นฮับสำหรับการค้าเพชรระหว่างประเทศ โดยร้อยละ 90 ของการค้าเพชรของโลกต้องนำมาเจียระไนในอินเดียและส่งกลับไปยังประเทศต้นทางเช่น เบลเยี่ยม อีกครั้ง.
ในเรื่องนี้
อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของอินเดียได้แนะนำให้รัฐบาลอินเดียเก็บภาษีการค้า (Turnover tax) สำหรับการค้าเพชรในเขต SNZ ไม่เกินร้อยละ 0.25 เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ ข้อเสนอดังกล่าวได้ถูกยื่นต่อกระทรวงการคลังเพื่อให้พิจารณาบรรจุแนวคิดดังกล่าวไว้ในการจัดสรรงบประมาณปี 2016-17 เพื่อช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมเจียระไนและค้าเพชรในประเทศที่กำลังซบเซาอยู่ สำหรับเขต SNZ เป็นเขตอุตสาหกรรมพิเศษที่ถูกจัดตั้งขึ้นในเขตเมืองมุมไบเพื่อขยายช่องทางการอำนวยความสะดวกสำหรับนักธุรกิจชาวอินเดีย โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันให้ทัดเทียมกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญได้แก่ เบลเยี่ยม และดูไบ ทำให้นักธุรกิจชาวอินเดียไม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศและสามารถดำเนินธุรกิจภายในอินเดียได้สะดวก อนึ่งมูลค่าการส่งออกเพชรที่เจียระไนแล้วได้ลดลงเหลือ 14.78 พันล้านเหรียญสหรัฐในช่วงระหว่างเดือนเมษายน - ธันวาคม 2558 จากยอดส่งออกระดับ 17.32 พันล้านเหรียญฯ ในช่วงปีก่อนหน้า
Source: The Economic Times, 14 February, 2016
2.ในปีงบประมาณหน้าอุตสาหกรรมยานยนต์ร้องขอลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ขนาดใหญ่ลงเหลือร้อยละ 20
Budget 2016 : Automobile industry wants excise on large cars to be reduced to 20%
นิวเดลี : สมาคมผู้ผลิตยานยนต์the Society of Indian Automobile Manufactures
(SIAM)ของอินเดียต้องการให้รัฐบาลลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์นั่งขนาดใหญ่และรถตรวจการณ์ SUV ลงเหลือร้อยละ 20 จากอัตราที่เก็บในปัจจุบันร้อยละ 24/27/30 เพื่อให้มีผลบังคับใช้ในปีงบประมาณ 2015-16 นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังได้ขอให้ รมว.การคลังอินเดียพิจารณาให้สนับสนุนสำหรับการเปลี่ยนรถยนต์เก่าเพื่อนำซากมาทำเป็นเศษวัสดุอีกด้วย
ในเรื่องดังกล่าวนี้ Director General ของสมาคม SIAM ได้เหตุผลของการขอลดภาษีสรรพสามิตว่าในปัจจุบันมีอัตราภาษีรถยนต์สรรพสามิตหลายอัตรา ซึ่งทางผู้ผลิตต้องการขอให้มีเพียงอัตราสำหรับรถเล็กและรถใหญ่เท่านั้น
ในปัจจุบัน รถยนต์ขนาดเล็กที่ยาวน้อยกว่า 4.0 เมตรมีอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 12.5 ในขณะที่รถยนต์นั่งที่มีความยาวเกิน 4.0 เมตรแต่ขนาดกระบอกสูบน้อยกว่า 1,500 ซีซีจะต้องเสียภาษีฯ ร้อยละ 24 ส่วนรถยนต์ที่นั่งที่มีขนาดกระบอกสูบเกิน 1,500 ซีซีจะต้องเสียภาษีฯ ร้อยละ 27 รวมทั้งหากมีระยะสูงจากพื้นมากกว่า 170 มิลลิเมตรจะต้องเสียภาษีเพิ่มเป็นร้อยละ 30
สำหรับการใช้ประโยชน์จากรถยนต์เก่า ทางสมาคมฯ ต้องการให้มีการส่งเสริมการนำรถเก่ามาแปลงเป็นเศษวัสดุซึ่งจะช่วยลดปริมาณรถเก่าที่วิ่งอยู่ตามท้องถนนได้จำนวนหนึ่งเพื่อลดปัญหามลภาวะในปัจจุบัน รวมทั้งเป็นการสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลอีกด้วย
Source: The Economic Times, 14 February, 2016
3.เดือนมกราคมส่งออกอินเดียติดลบร้อยละ 13.6 นับเป็นการติดลบต่อเนื่องเดือนที่ 14
India’s exports drop 13.6% in January to $21 billion in 14th straight all
นิวเดลี :
ตัวเลขการส่งออกของอินเดียในเดือนมกราคมที่ผ่านมาติดลบร้อยละ 13.6 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปี 2558 โดยมีมูลค่าส่งออกในเดือนมกราคมอยู่ในระดับ 21.07 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 14
ในขณะที่มูลการนำเข้าของอินเดียก็ลดลงตามไปด้วยโดยลดลงร้อยละ 11 คงเหลือ 28.71 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้มีตัวเลขขาดดุลการค้าเท่ากับ 7.63 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ในขณะที่มีมูลค่าการนำเข้าทองคำเพิ่มขึ้นร้อยละ 85 คิดเป็นมูลค่า 2.91 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่เดือนธันวาคม มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 179
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกที่สำคัญส่วนใหญ่มีแนวโน้มส่งออกที่ลดลง ซึ่งเป็นไปในแนวทิศทางเดียวกันกับการส่งออกของตลาดโลก
สำหรับในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2015-16 (เมษายน 2558 - มกราคม 2559) อินเดียส่งออกแล้วจำนวน 217.67 พันล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบกับจำนวน 264.32 พันล้านเหรียญในช่วงปีที่ผ่านมา) สาเหตุที่ทำให้ความสามารถในการแข่งขันเพื่อการส่งออกลดลง ได้แก่ ค่าเงินอินเดียรูปีที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง
โดยเฉพาะสินค้าด้านวิศวกรรมต่างๆ ที่มีมูลค่าการส่งออกที่ลดลงร้อยละ 27 ในเดือนมกราคม ซึ่งจะส่งผลต่อการจ้างงานในประเทศตามมา โดยเฉพาะการจ้างงานในกลุ่ม SMEs
อย่างไรก็ตาม อินเดียมีมูลค่าการนำเข้านำมันจากต่างประเทศลดลงร้อยละ 39 หรือเทียบเท่า 5.02 พันล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมันลดลงร้อยละ 1.4 เทียบเท่า 23.68 พันล้านเหรียญ
Source: The Economic Times, 15 February, 2016
4. อินเดียหวังเพิ่มส่งออกข้าวไปตลาดอินโดนีเซียเป็น 1 ล้านตันมูลค่าราว 33,000 ล้านรูปี
India may export 10 lakh tonnes rice to Indonesia, valued at Rs 3,300 crore
นิวเดลี:อินเดียได้เจรจากับอินโดนีเซียเพื่อส่งออกข้าวจำนวน 1 ล้านตันมูลค่าราว 33,000 ล้านรูปี (ประมาณ 482.9 ล้านเหรียญสหรัฐ) สาเหตุเนื่องจากอินโดนีเซียมีการผลิตข้าวที่ลดลง อย่างไรก็ตามการเจรจายังไม่ได้ดำเนินการถึงขั้นตกลงราคาสุดท้ายที่ชัดเจน
ทั้งนี้ อินเดียมีข้าวในสต็อคจำนวน 16 ล้านตัน ในขณะที่มีความต้องการบริโภคประมาณ 7.6 ล้านตัน ณ วันที่ 1 มกราคม 2559 นอกจากนี้ยังมีข้าวเปลือกอีกจำนวน 12.7 ล้านตัน
สำหรับการคาดการณ์โดยกระทรวงเกษตรของอินเดีย ซึ่งประเมินว่าจะมีการปลูกข้าวลดลงเล็กน้อยเหลือจำนวน 103.61 ล้านตันในปี 2015-16 (กรกฎาคม 2558 – มิถุนายน 2559)
ซึ่งจะลดลงจากปีที่แล้วที่มีปริมาณ 105.48 ล้านตันในช่วงเดียวกัน
ทั้งนี้ในช่วงฤดูเพาะปลูก Kharif crop 2015-16(กรกฎาคม – ตุลาคม 2559) มีการเก็บเกี่ยวแล้วจำนวน 26.13 ล้านตัน สูงกว่าจำนวน 21.54 ล้านตันในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
Source: The Economic Times,15February, 2016
5.รัฐบาลอินเดียอนุมัติโครงการสร้างทางรถไฟมูลค่า 107,000 ล้านรูปี
Railway projects worth Rs 10,700 crore get Cabinet green signal
นิวเดลี :
คณะรัฐมนตรีของอินเดียอนุมัติโครงการก่อสร้างรถไฟจำนวน 6 สายและสะพานข้ามรถไฟเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าในอินเดีย ทั้งนี้มูลค่าในการก่อสร้างที่อนุมัติราว 107,000 ล้านรูปี (60,990 ล้านบาท) ซึ่งรัฐบาลอินเดียจะต้องดำเนินการจัดหางบประมาณเพิ่มเติมเพื่อก่อสร้างโครงการดังกล่าว
สำหรับแผนการดังกล่าว รัฐบาลคาดการณ์ว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการขนส่งจากทางถนนเป็นทางรางมากขึ้น ในปัจจุบันอินเดียกำลังดำเนินการก่อสร้างเส้นทางรถไฟมูลค่าราว 81,459 ล้านรูปี (46,300 ล้านบาท) เพื่อพัฒนาเส้นทางรถไฟยาว 3,342 กิโลเมตร
สำหรับเงินงบประมาณที่เพิ่งได้รับอนุมัติเพิ่มเติมนี้จะสนับสนุนการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ Hubli-Chickajur ระยะทาง 190 กิโลเมตร ซึ่งจะช่วยขนส่งผู้โดยสารระหว่างเมืองมุมไบและเมืองบังกาลอร์ รวมทั้งขนส่งสินค้าไปสู่ท่าเรือ Mangalore ได้
Source: The Economic Times, 17February, 2016
6. ในการประชุม Delhi Dialogue จะมีการหยิบยกประเด็นเส้นทางถนนอินเดีย-อาเซียนมาหารือ
India-ASEAN highway to be discussed at Delhi Dialogue
นิวเดลี : ในการสัมมนาDelhi Dialogue VIII ที่จัดขึ้น ณ กรุงนิวเดลี ภายใต้หัวข้อ ASEAN-India Relations : A New Paradigm
โดยได้มีการเสวนาในเรื่องเกี่ยวกับการขนส่งข้ามแดนระหว่างอินเดีย-อาเซียน (Promoting Cross Border Trade with ASEAN : Capitalising on Comparative Advantage) โดยทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกันถึงความสำคัญในการก่อสร้างเส้นทางและพัฒนาการอำนวยความสะดวกระหว่างอินเดีย – เมียนมา - ไทย - ลาว - กัมพูชา – เวียดนาม ต่อไป
ทั้งนี้เส้นทางหลักที่มีการกล่าวถึงได้แก่ เมือง Moreh (อินเดีย) รัฐมณีปุระ - มัณฑะเลย์ (เมียนมา) - แม่สอด จ.ตาก (ไทย) ระยะทาง 3,200 กิโลเมตรโดยมีกำหนดการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2018 โดยทุกฝ่ายทั้งอินเดียและกลุ่มอาเซียนหวังร่วมกันที่จะให้เป็นเส้นทางการขนส่งและเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจการค้าที่สำคัญในอนาคต นอกจากนี้ ยังได้ให้ความสำคัญในประเด็นการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้าและขนส่ง เช่น พิธีการศุลกากรและผ่านแดน เป็นต้น
อนึ่ง การพัฒนาเส้นทางคมนาคมด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียดังกล่าวจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาพื้นที่ของรัฐต่างๆ ในแถบภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียที่จะสามารถพัฒนารัฐของตนได้มากขึ้น
Source: The Financial Express, 17 February, 2016
สคร.นิวเดลี
มกราคม 2559
Disclaimer: การเผยแพร่ข้อมูลใน “สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์” มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้ข้อมูลแก่ผู้สนใจเท่านั้น สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดียจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการนาข้อมูลนี้ไปใช้