สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์ 21-27พฤษภาคม 2559 (อินเดีย)
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงนิวเดลี
สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์
21-27พฤษภาคม 2559 (อินเดีย)
1. อินเดียหวังติดหนึ่งในสามสิบของ Ease of Doing Business
India aims to be among top 30 in ‘ease of doing biz’: Amitabh Kant.
นิวเดลี : ในงานที่จัดโดย Internet and Mobile Association (IAMAI)CEO ของ NITI Ayog
ได้เปิดเผยว่ารัฐบาลอินเดียกำลังอยู่ระหว่างการเร่งรัดการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและระบบต่างๆ ให้รองรับนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจและการค้าของประเทศ โดยเฉพาะในด้าน Ease of Doing Business หรือความยากง่ายในการประกอบธุรกิจให้อยู่ในระดับหนึ่งในสามสิบของโลกภายในช่วงระยะเวลา 3-4 ปีข้างหน้า
จากการเปิดเผยของ Amitabh Kant, CEO ของ National Institute for Transforming India (NITI Ayog)ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ประสานนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล (State government) ของรัฐต่างๆ ได้กล่าวถึงแนวทางและความมุ่งมั่นของรัฐบาลอินเดียที่จะยกระดับความสามารถในการให้บริการสำหรับการประกอบธุรกิจในมิติต่างๆ ของอินเดีย โดยในช่วงที่ผ่านมาการจัดระดับ Ease of Doing Business ของอินเดียได้ขยับขึ้นมา 12 อันดับหลังจากที่มีการปรับปรุงกฎหมายด้านการล้มละลาย แพลทฟอร์มการทำธุรกิจออนไลน์ เป็นต้น ทั้งนี้ CEO ของ NITI Ayog แสดงความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มระดับด้าน Ease of Doing Business ให้ติดอันดับ 1 ใน 30 ประเทศแรก โดยในปี 2016 จากรายงานของ World Bank’s Doing Business Report 2016 พบว่าอินเดียถูกจัดอันดับในลำดับที่ 130 จากประเทศที่มีการจัดอันดับทั้งหมด 189 ประเทศ
อนึ่ง ในการจัดงานของ Internet and Mobile Association of India (IAMAI) ในครั้งนี้รัฐบาลอินเดียต้องการส่งเสริมให้มีการเสริมสร้างขีดความสามารถพื้นฐานด้านโครงสร้างของประเทศควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม รวมถึงพลังงาน โดยอินเดียตั้งเป้าจะเป็นศูนย์โครงสร้างพื้นฐานด้าน data centre ขนาดใหญ่อันดับสองของเอเชียแปซิฟิกภายในปี 2020 ต่อไป
Source: The Economic Times, 24 May, 2016
2. รมว.พาณิชย์อินเดียเผยสองปีรัฐบาล Modi มุ่งยกระดับระบบการค้าของประเทศ
Two years of Modi govt have been intense work committed to cleansing the system: Nirmala Sitharaman
รมว.พาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดียNirmala Sitharaman ได้กล่าวความสำเร็จและแนวทางการดำเนินการในช่วงต่อไปของอินเดียในด้านการค้าของประเทศ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
1. ในช่วงสองปีที่ผ่านมาได้เกิดความโปร่งใสในระบบการค้าและภาคอุตสาหกรรมของประเทศมากขึ้น เป็นรัฐบาลที่ปราศจากการทุจริต เนื่องจากมีผู้นำที่มีแนวคิดที่ชัดเจนในเรื่องดังกล่าวและเข้าใจปัญหาในแต่ละประเด็นอย่างแท้จริง
2. ความคืบหน้าในการใช้ภาษี GST รัฐบาลของรัฐส่วนใหญ่เห็นด้วยยกเว้นรัฐทมิฬนาฑูซึ่งเป็นฐานการผลิตของภาคอุตสาหกรรมจึงยังไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้
3. นโยบาย Make in India ช่วยส่งเสริมภาคการผลิตอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อทำให้เกิดการจ้างงานและดึงแรงงานจากภาคเกษตรที่มีอย่างล้นเหลือมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการเพิ่มการจ้างงานในภาคบริการซึ่งมีความสำคัญต่อ GDP ของประเทศถึงร้อยละ 52 ทั้งนี้ นโยบาย Startup India ยังช่วงกระตุ้นให้เกิดการประกอบธุรกิจในวงกว้างของประเทศ นอกจากนี้การส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จะเป็นใบเบิกทางสำคัญในการเชื่อมโยงเมืองและพื้นที่ต่างๆ เข้าด้วยกันทำให้เกิดการจ้างงานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม
4. รัฐบาลกำลังส่งเสริมนโยบายปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อให้เกิดผลในการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยต้องการให้มีการจดทะเบียนสิทธิบัตรในด้านการพาณิชย์เพิ่ม รวมทั้งการส่งเสริมการคุ้มครองนวัตกรรมใหม่ๆ และการคุ้มครองลิขสิทธิ์ด้านภาพยนตร์และเพลงของอินเดีย
5. การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ รัฐบาลจะเปิดช่องให้มีการเพิ่มการลงทุนจากต่างประเทศในสาขาหลักต่างๆ ได้มากขึ้น โดยจะช่วยส่งเสริมให้มีการลงทุน พัฒนา และจ้างงานในท้องถิ่นต่างๆ รวมทั้งเกิดการส่งออกไปยังตลาดส่งออกใหม่ๆ โดยเฉพาะสินค้าในอุตสาหกรรมหลักของอินเดีย เช่น ยาและเวชภัณฑ์ สินค้าเกษตร เป็นต้น
Source: The Economic Times, 25May, 2016
3.ผลสำรวจคนเมืองของอินเดียเผยร้อยละ 62 ยกนิ้วให้ผลการบริหารประเทศช่วงสองปีที่ผ่านมา
After 2 years, 62% give Narendra Modi government a thumbs up
ในระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาของการบริหารประเทศอินเดียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี Narendra Modi จากผลการสำรวจโดย ISPOSP บริษัทวิจัยการตลาด ซึ่งได้ข้อมูลจากผู้อาศัยในเมืองใหญ่ของอินเดีย 1,348 ราย ได้แก่ เดลี มุมไบ กัลกัตตา เจนไน บังกาลอร์ ไฮเดอราบัด ปูเน่ และอาเมดาบัต พบข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้
1. ภาพรวมผลงานรัฐบาล ส่วนใหญ่ร้อยละ 45 เห็นว่าค่อนข้างดี ร้อยละ 17 เห็นว่าดีมาก ร้อยละ 21 เฉยๆ ซึ่งนับรวมแล้ว ร้อยละ 62 มีความพึงพอใจต่อภาพรวมผลงานรัฐบาล Modi
2. ร้อยละ 52 ไม่เห็นว่าการตั้งเป้าความคาดหวังในรัฐบาล Modi ในช่วงที่เริ่มทำงานเป็นเรื่องเกินที่จำทำได้จริง ส่วนอีกร้อยละ 35 เห็นว่าเป็นเรื่องเกินที่จะทำได้จริง
3. ร้อยละ 40 ไม่เห็นความแตกต่างในเรื่องการปราบปรามด้านทุจริตคอร์รัปชัน ส่วนร้อยละ 27 เห็นว่าลดลง ร้อยละ 23 เห็นว่ามีการทุจริตคอร์รัปชันมากขึ้น
4. ร้อยละ 40 ไม่เห็นว่ารัฐบาล Modi รักษาคำมั่นในการจัดการปัญหาเงินนอกระบบ ส่วนร้อยละ 34 เห็นว่ามีการเริ่มต้นที่ดี และร้อยละ 15 เห็นว่ามีการทำจริง
5. ร้อยละ 47 เห็นนายกรัฐมนตรี Modi เป็นผู้นำที่มีความมุ่งมั่นแต่คนรอบข้างไม่สามารถตอบสนองได้ ส่วนร้อยละ 29 เห็นว่าเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง มีความมุ่งมั่นและมีความสามารถในการนำไปสู่การปฏิบัติจริง ในขณะที่ร้อยละ 16 ยังสงสัยในความตั้งใจจริงของนายกรัฐมนตรี Modi
6.ร้อยละ 51 เห็นว่าภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรี Modi เริ่มถดถอยลงกว่าในปี 2014 ส่วนร้อยละ 27 เห็นว่ายังคงเดิม ส่วนร้อยละ 22 เห็นว่ามีภาพลักษณ์ที่ดีเพิ่มขึ้นกว่าในปี 2014
7. นโยบายที่คนอินเดียชื่นชอบ ร้อยละ 42 นิยมนโยบาย Swachh Bharat (ภาษีที่เก็บจากกิจกรรมด้านการให้บริการต่างๆ ร้อยละ 0.5 เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านสุขอนามัยและความสะอาด) ร้อยละ 13 ชื่นชอบนโยบาย Make in India ร้อยละ 10 ชื่นชอบนโยบาย Digital India และอีกร้อยละ 10 ชื่นชอบนโยบาย Smart Cities
8. ร้อยละ 45 เห็นว่านโยบายด้านการต่างประเทศอยู่ในระดับที่ดี ร้อยละ 24 เห็นว่าปานกลาง ส่วนร้อยละ 23 เห็นว่าดีมาก
9. ร้อยละ 39 เห็นว่านโยบายที่มีต่อปากีสถานมีความกล้าหาญ ร้อยละ 40 เห็นว่าเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ส่วนร้อยละ 21 เห็นว่าเป็นจุดเริ่มต้นทางนโยบายในอุดมคติ
10. ร้อยละ 42 เห็นว่านโยบายที่มีต่อจีนเป็นไปได้ในทางปฏิบัติมีความสมเหตุสมผล ส่วนร้อยละ 35 เห็นว่ามีความกล้าหาญ และร้อยละ 23 เห็นว่าเป็นจุดเริ่มต้นทางนโยบายในอุดมคติ
11. ร้อยละ 35 เห็นว่าสถานการณ์โลกมีผลต่อระดับเงินเฟ้อในประเทศที่ต่ำลง ส่วนร้อยละ 24 เห็นว่ารัฐบาลมีส่วนทำให้เงินเฟ้อต่ำ และร้อยละ 22 เห็นว่าทั้งรัฐบาลและสถานการณ์โลกช่วยทำให้ต่ำลง ส่วนอีกร้อยละ 19 เห็นว่าเงินเฟ้อไม่ได้ลดต่ำลง
12. ข้อผิดพลาดสำคัญของรัฐบาล Modi ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ร้อยละ 43 เห็นว่าคือการสร้างงาน ร้อยละ 19 เห็นว่าการมีทัศนคติเผชิญหน้ากับฝ่ายไม่เห็นด้วยมากจนเกินไป
13. สำหรับความคาดหวังที่มีต่อรัฐบาล Modi ร้อยละ 56 คาดหวังต่อการพัฒนาและความเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ ร้อยละ 10 คาดหวังการส่งเสริมสนับสนุนฮินดูให้มากขึ้น ส่วนร้อยละ 34 คาดหวังที่จะเห็นทั้งสองเรื่อง
14. ในปีที่สามของการทำงานรัฐบาล Modi คนอินเดียต้องการให้ยึดประเด็นหลักดังนี้ ร้อยละ 32 ต้องการให้เน้นด้านการสร้างงาน ร้อยละ 19 ต้องการให้แก้ปัญหาภัยแล้ง ร้อยละ 16 ต้องการให้ลดเงินเฟ้อ ร้อยละ 16 ต้องการให้กระตุ้นเศรษฐกิจ ร้อยละ 9 ต้องการให้ลดการก่อการร้ายบริเวณชายแดน ส่วนอีกร้อยละ 8 ให้ความสำคัญต่อการผ่านร่างกฎหมาย GST
Source: The Economic Times, 26 May, 2016
สคร.นิวเดลี
มกราคม 2559
Disclaimer: การเผยแพร่ข้อมูลใน “สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์” มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้ข้อมูลแก่ผู้สนใจเท่านั้น สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดียจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการนาข้อมูลนี้ไปใช้