ข่าวเด่นรายสัปดาห์ 12-18 พ.ย. 59
1. ธุรกิจร้านค้าปลีกซบเซาจากมาตรการยกเลิกใช้ธนบัตรใบละ 500 รูปี และ 1,000 รูปีของอินเดีย
Demonetisation: As currency dries up, business withers at kirana stores
มุมไบ/กัลกัตตา: ร้านค้าปลีก Kirana กว่าสองในสามกำลังประสบปัญหาการซื้อสินค้ามาเก็บไว้ในคลังสินค้าจากผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องจากไม่สามารถใช้ธนบัตร 500 และ 1,000 รูปีแบบเก่า ทำให้การค้าขายลดลงถึง 70% ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้
ปัญหานี้เกิดจากการที่ผู้ค้าส่งและผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคหลายรายหลีกเลี่ยงการส่งสินค้าไปยังเมืองเล็ก ๆ และพื้นที่ชนบท จากรายงานของ Nielsenบริษัทวิจัยด้านการตลาดและสื่อ ซึ่งได้ทำการสำรวจร้านค้า 750 ร้านทั่วอินเดียทั้งในเมืองและชนบท ระบุถึงผลกระทบของการยกเลิกธนบัตร 500 และ 1,000 รูปีในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคของประเทศการจับจ่ายใช้สอยแบบเดิมด้วยเงินสดและการซื้อขายของชำในท้องถิ่นคิดเป็น 72% ของยอดขายทั้งหมด
เพียง 1% ของร้านค้าสามารถตอบรับการชำระเงินในรูปแบบที่ไม่ใช่เงินสดเช่นบัตรเครดิตและเดบิต e-Wallets หรือคูปองอาหารประมาณ 12% ของร้านค้ายังคงรับธนบัตรแบบเก่าPrasun Basu ผู้อำนวยการบริษัท Nielsen กลุ่มประเทศเอเชียใต้ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่สำรวจร้านค้าปลีก กลุ่มผู้จัดทำรายงานมีความเห็นว่า นโยบายการยกเลิกธนบัตร 500 และ 1,000 รูปี จะส่งผลกระทบต่อบริษัทผู้ผลิตสินค้าที่มีการอุปโภคบริโภคในอัตราสูงในระยะสั้น และอาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขึ้นอยู่กับเสถียรภาพของระบบการเงิน
อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวเล็กน้อย 1% ของปริมาณในไตรมาสเดือนกันยายนบริษัทส่วนใหญ่ได้นำเสนอโปรโมชั่นและข้อเสนอที่ชักชวนให้ผู้บริโภคกลับมาจับจ่ายใช้สอยบริษัทต่าง ๆ กล่าวว่ามาตรการของรัฐบาลในการต่อต้านเงินผิดกฎหมายจะส่งผลดีทางเศรษฐกิจในระยะกลางและยาวต่อไป แต่รัฐบาลจะต้องเผชิญกับปัญหาระยะสั้นที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในช่วงนี้ก่อน“ในระยะแรกเราจะได้รับผลกระทบจากการที่ผู้ค้าส่งซื้อขายสินค้าด้วยการใช้เงินสด ทั้งนี้จะเป็นอีกทางหนึ่งที่จะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของการซื้อขายสินค้าและบริการที่ทันสมัยการทำธุรกรรมออนไลน์รวมไปถึงการใช้บัตรเครดิตและบัตรเดบิตของผู้บริโภค” Vivek Gambhirกรรมการผู้จัดการบริษัท Godrej Consumer Products กล่าว
Krishna Rao รองผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัท Parle Products กล่าวเสริมว่าผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและผู้ค้าส่งไม่สามารถจัดส่งสินค้าตามคำสั่งซื้อใหม่ได้ เนื่องจากผู้ค้าปลีกรายเก่ามียอดค้างชำระทำให้สินค้าค้างสต็อกเพิ่มขึ้นอีก “เราหวังว่าสถานการณ์จะดำเนินไปในทางที่ดีขึ้นภายในสัปดาห์หน้า เมื่อธนบัตร 500 รูปีแบบใหม่เข้ามาหมุนเวียนในระบบ”
ร้านค้าปลีก Kirana ที่มีขนาดใหญ่บางร้านในหลายเมืองได้ยกเลิกการชำระเงินผ่านบัตร หรือเพิ่มยอดชำระขั้นต่ำที่สามารถจ่ายด้วยบัตร อันเนื่องมาจากการที่ผู้ค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคจะรับเงินสดเพียงอย่างเดียว ซึ่งโดยปกติจะเรียกเก็บเงินเป็นรายสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม สินค้าบางประเภท เช่น ผัก ผลไม้ ไข่ และขนมปัง ซึ่งจะต้องจ่ายเงินให้ผู้ค้าส่งเป็นรายวันนั้น ร้าน Kirana ไม่รับชำระเงินผ่านบัตร “ไม่มีผู้ค้าส่งรายใดยอมรับชำระเงินด้วยเช็ค ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมจะยังคงชะลอตัว หากการซื้อขายสินค้าอุปโภคบริโภคไม่กลับสู่ภาวะปกติ” Harsh Agrawal เจ้าของร้าน Mangalam ในเมืองกัลกัตตา
ผลกระทบในเขตชนบท
ในเขตชนบทมีการซื้อขายสินค้าอุปโภคบริโภคคิดเป็น35% ของทั้งประเทศ บริษัท Nielsen คาดว่า ผู้จัดจำหน่ายมีความเห็นว่าการเพิ่มขึ้นของสินค้าในสต็อกเป็นผลมาจากการที่ผู้ค้าปลีกและผู้ค้าส่งซื้อสินค้าลดลง
รายงานของ Nielsen ระบุว่า “บริษัทผู้ให้บริการเครดิตต่าง ๆ จะขยายวงเงินบัตรเครดิตเพื่อรักษายอดขายและให้ธุรกิจดำเนินไปได้ อย่างไรก็ตาม เครดิตดังกล่าวจะอำนวยความสะดวกทางธุรกิจเฉพาะกับร้านค้าที่ให้บริการโดยตรง ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มของร้านค้าปลีกทั่วประเทศที่ซื้อสินค้าจากผู้ค้าส่งซึ่งมีอยู่กว่า 9 ล้านแห่งในอินเดียซึ่งหมายความว่าตลาดขายส่งมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบมากขึ้นอีกในอนาคต”
นักวิเคราะห์กล่าวว่า บริษัทที่มีขนาดเล็กได้พยายามที่จะสร้างส่วนแบ่งการตลาดโดยการเพิ่มเครดิตให้กับตัวแทนจำหน่ายในขณะที่ผู้จัดจำหน่ายคาดว่าผลกระทบจากมาตรการของรัฐบาลจะคงอยู่ในเวลาอันสั้น บางบริษัทเชื่อว่าอาจคงอยู่หนึ่งหรือสองไตรมาส “ผลกระทบหลักจะเกิดกับผู้ค้าส่งที่รับชำระเงินด้วยเงินสด”Abneesh Roy รองประธานอาวุโสบริษัทEdelweiss กล่าว
มีรายงานว่าไฮเปอร์มาร์เก็ตอาหารและของชำ รวมถึงกลุ่มผู้ค้าปลีกส่วนใหญ่ ลดงบประมาณรายจ่ายลง เนื่องจากยอดขายลดลงถึง 15% ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า ในขณะที่ผู้บริโภคก็เริ่มซื้อสินค้าในปริมาณที่น้อยลงเช่นเดียวกัน“ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง ผู้คนซื้อเพียงแค่ของจำเป็น การซื้อสินค้าบริโภคประเภทอาหารจึงไม่ลดลง อย่างไรก็ตาม การขายสินค้าแบบแพ็คใหญ่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากคนเลือกที่จะซื้อสินค้าแพ็คเล็กแล้วกลับมาซื้อเพิ่มในภายหลัง” Shashwat Goenka ผู้บริหาร RP-Sanjiv Goenka Groupซึ่งเป็นเจ้าของ Spencer’s Retail
การซื้อขายของสด
ผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มบริษัทซุปเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำในมุมไบกล่าวว่าการซื้อขายของสดเช่นผักผลไม้ ปลาและเนื้อสัตว์นม และวัตถุดิบประกอบอาหารอื่น ๆ ยังเป็นไปตามปกติ “ยอดขายลดลงเพียงเล็กน้อยในช่วงสองถึงสามวันแรกหลังรัฐบาลประกาศยกเลิกธนบัตร 500 และ 1,000 รูปี แต่ก็ฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา”
ผลกระทบต่อการตัดสินใจใช้จ่ายของผู้บริโภคจะมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมุ่งเน้นการกักตุนเงินสด เพื่อใช้จ่ายเฉพาะของที่จำเป็นเท่านั้น
กลุ่มผู้ค้าปลีกกล่าวว่า ขณะที่ผู้บริโภคจะเลือกซื้อวัตถุดิบแพ็คใหญ่สำหรับสินค้าบริโภค อาทิแป้งอัตต้าและข้าวแต่ยอดขายผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารประเภทอื่น ๆ เช่น น้ำมันขนมปังเครื่องเทศกลับลดลง นอกจากนี้ ความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์กลุ่มของใช้ส่วนตัวเช่นแชมพูสบู่น้ำมันบำรุงผม ค่อย ๆ ลดลง ส่วนรายการสินค้าที่ใช้ในครัวเรือนเช่นช้อนส้อมผ้าลินินและผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีความต้องการซื้อเกือบจะเป็นศูนย์
ราว 60-65% ของยอดขายในเครือข่ายค้าปลีกเป็นการชำระด้วยเงินสดส่วนที่เหลือเป็นการชำระเงินผ่านระบบดิจิตอลเช่นบัตรและe-walletแต่การชำระเงินด้วย e-wallet คิดเป็นเพียง 1% ส่วนการชำระเงินผ่านบัตรเพิ่มสูงขึ้นถึงกว่า 90% ของการทำธุรกรรมทั้งหมด
The Economic Times November 17,2016
2. Gross NPAs อุตสาหกรรมเหล็กโต 1.15 ล้านล้านรูปี
Steel industry’s gross NPAs at mammoth Rs 1.15 trillion
รัฐสภาได้รับแจ้งเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า Gross NPAs
ของอตุสาหกรรมเหล็กภายในประเทศซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2 ของ GDP ของอินเดีย โตราว 1.15 ล้านล้านรูปีNPAถูกกำหนดให้เป็นวงเงินสินเชื่อในแง่ที่ดอกเบี้ยและ/หรือการผ่อนชำระเงินต้น 'เกิดกำหนดชำระ' จากระยะเวลาที่กำหนด
ทรัพย์สินจะถูกกำหนดให้เป็นทรัพย์สินด้อยคุณภาพ เมื่อทรัพย์สินนั้น ๆ สิ้นสุดการสร้างรายได้ให้ผู้ให้กู้NPA เป็นปัญหาต่อสถาบันการเงิน เนื่องจากมันขึ้นต่อการชำระดอกเบี้ยจากรายได้ แรงกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจสามารถนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของการให้สินเชื่อด้อยคุณภาพและมักจะส่งผลให้เกิดการลดมูลค่าทางบัญชีของทรัพย์สินขนาดใหญ่
มูลค่าเงินกู้รวมในอุตสาหกรรมเหล็กของอินเดียซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลกมีมูลค่ามากกว่า 1แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.13 ล้านล้านรูปี “มูลค่าเงินกู้รวมของอุตสาหกรรมเหล็กมีมูลค่าประมาณ 3.13 ล้านล้านรูปี ในขณะที่ Gross NPA มีมูลค่าประมาณ 1.15 ล้านล้านรูปี ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 36.94 ของมูลค่าเงินกู้คงเหลือใน ณ เดือนมีนาคม 2559” Vishnu Deo Sai รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเหล็กกล้ากล่าว
เขายังกล่าวเสริมด้วยว่า ในกรณีของรัฐบาล เมื่อไม่นานมานี้ธนาคารกลางอินเดีย (RBI)ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยรวมที่คาดว่าจะนำไปสู่การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เกิดขึ้นจริงธนาคารกลางRBI ถือว่าเป็นตัวเลือกของการชำระหนี้การรีไฟแนนซ์ เพราะมีความยืดหยุ่นเรียกกันว่าเป็นแผน 5:25 สำหรับโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว ซึ่งรวมอุตสาหกรรมเหล็กที่มีมูลค่าธุรกรรมรวมของธนาคารมากกว่า 5 พันล้านรูปี และธนาคารกลางยังได้นำแผนยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างหนี้ (SDR) มาใช้โดยแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะช่วยทำให้หนี้ของบริษัทต่าง ๆ รวมถึงบริษัทผู้ประกอบการเหล็กหมดไปด้วย
นอกจากนี้ในเดือนมิถุนายน 2559 ธนาคารกลางได้ประกาศใช้มาตรการรูปแบบอื่นที่เรียกว่าScheme for Sustainable Structuring of Stressed Assets หรือแผน S4A ซึ่งมีวัตถุประสงค์เดียวกัน มาตรการของรัฐบาลดำเนินไปเพื่อเพิ่มบทบาทของผู้ประกอบการเหล็กในประเทศ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเหล็กกล้ากล่าวว่า “พวกเขาได้รวมมาตรการการจัดเก็บภาษีเพื่อตอบโต้การทุ่มตลาดและมาตรการปกป้องในผลิตภัณฑ์กลุ่มเหล็กที่มีวัตถุประสงค์ในการกำจัด/ลดการตั้งราคาอย่างไม่ยุติธรรมในสินค้าประเภทเหล็กขยี้จากประเทศคู่แข่งอย่างจีนซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำกำไรของผู้ผลิตเหล็กในประเทศและการสูญเสียส่วนแบ่งการตลาด”ในขณะเดียวกันรัฐบาลยังได้ริเริ่มแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานซึ่งคาดว่าจะเพิ่มความต้องการซื้อเหล็กและเหล็กกล้าด้วย
ผลผลิตแร่เหล็ก H1 สูงขึ้น 25.8% เป็น 84 ล้านตัน
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลกล่าวว่า เมื่อวันพุธที่ผ่านมากลุ่มอตุสาหกรรมภาคเหมืองแร่ได้เห็นการเติบโตที่เป็นไปในทางที่ดีในปีงบประมาณปัจจุบัน “การผลิตแร่เหล็กในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณปัจจุบัน (เดือนเมษายนถึงเดือนกันยายน 2560) เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.8 อยู่ที่ 84 ล้านตัน” Balvinder Kumarเลขานุการสมาคมเหมืองแร่กล่าวในนามของ CII ที่การประชุมการทำเหมืองแร่IMME & Mining Conclaveเขากล่าวเสริมว่าการส่งออกยังเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 7.5 ล้านตัน ระหว่างเดือนเมษายนถึงสิงหาคม 2560 เมื่อเทียบกับ 5.45 ล้านตันในปีที่ผ่านมา
ในส่วนของการนำเข้าในช่วงห้าเดือนแรกของปีงบประมาณลดลง 1.59 ล้านตันเมื่อเทียบกับ 7.09 ล้านตันในปี 2558-59เขากล่าว นอกจากนี้ Tata Hitachi กรรมการผู้จัดการบริษัทSandeep Singh ผู้ผลิตเครื่องจักรกลหนักและอุปกรณ์ในการก่อสร้างยังกล่าวถึงการเจริญเติบโตกว่าร้อยละ 40 ของยอดขายในปีงบประมาณปัจจุบันด้วย
Kumarเลขานุการสมาคมเหมืองแร่กล่าวว่าสมาคมต้องการทำเหมืองแร่อย่างยั่งยืนและจะมีการเปิดตัวระบบการจัดอันดับต่อไปในอนาคต และเหมืองแร่ต่าง ๆ จะต้องกรอกข้อมูลออนไลน์ลงในแบบฟอร์มสำหรับการจัดอันดับภายในปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ สำหรับการประมูลการทำเหมืองแร่Kumar กล่าวว่า ในขณะนี้มีเหมืองแร่ 17 แห่งได้รับการประมูล ซึ่งจะมีการประมูลเพิ่มเติมต่อไป
Millennium Post November 17,2016
3. ถนนในอินเดียยาวขึ้น 4.2% ในช่วงปี 1951-2015
India's road length increased by 4.2% from 1951-2015: Minister
นิวเดลี: ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมารัฐบาลกล่าวว่าความยาวของถนนในประเทศโดยรวมเพิ่มขึ้นตามอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปี(CAGR) เพียงร้อยละ 4.2ในช่วงปี 1951-2015
“ความหนาแน่นของถนนในอินเดียอยู่ที่ 1.66 กิโลเมตรต่อตารางกิโลเมตรของซึ่งสูงกว่าถนนในญี่ปุ่นสหรัฐอเมริกาจีนบราซิลและรัสเซีย” Pon.Radhakrishnan รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการขนส่งทางบกและทางหลวงรายงานต่อโลกสภา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกล่าวว่า ขณะนี้ทางหลวงแห่งชาติ (NH) มีความยาวรวมประมาณ 103,613 กม. และถนนหลวงประมาณ 47,890 กม. ซึ่งได้รับการอนุมัติในหลักการที่จะเพิ่มให้เป็นทางหลวงแห่งชาติแล้วตามรายละเอียดโครงการที่ออกมาในรายงาน DPR
“ทางหลวงแห่งชาติ (NH) ในปัจจุบันอยู่ในเครือข่ายของถนนทั้งหมดร้อยละ 1.9 แต่ครอบคลุมประมาณร้อยละ 40 การจราจรบนถนนโดยรวมจำนวนยานพาหนะทั้งหมดที่จดทะเบียนในประเทศเพิ่มสูงขึ้นจากประมาณ 176 ล้านคันในเดือนมีนาคม 2013 เป็นประมาณ 210 ล้านในเดือนมีนาคม 2015” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการขนส่งทางบกและทางหลวงกล่าวเสริม
ในช่วงปี 2013-14, 2014-15 และ 2015-16 ความยาวของ NHsประมาณ 4,260 กม., 4,410 กม. และ6,061 กม. ได้รับการพัฒนาตามลำดับตามตัวเลขจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
The Economic Times November 17,2016
4. ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในอินเดีย นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในอินเดีย ไม่สามารถพกเงินรูปีออกจากอินเดียExpats, foreigners can’t carry Indian rupee while leaving
ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในอินเดียและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเที่ยวอินเดียจำเป็นจะต้องแลกธนบัตรรูปีที่มีไว้ในครอบครองก่อนที่จะออกจากประเทศอินเดีย แม้ว่าโดยปกติแล้วชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในอินเดียจะไม่แลกเงินรูปีเมื่อออกนอกประเทศอินเดีย เพื่อความสะดวกเมื่อกลับเข้ามาในอินเดียจะได้ไม่ต้องแลกเป็นเงินรูปีอีกครั้ง แต่ตั้งแต่วันนี้ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในอินเดียจะไม่สามารถพกเงินรูปีออกนอกประเทศอินเดียได้
การปฏิบัติดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกฎ Foreign Exchange Management Act (FEMA) ซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่เพิ่งมาบังคับใช้โดยธนาคารกลางแห่งอินเดีย (RBI) โดย RBI จะอำนวยความสะดวกให้แก่ชาวต่างชาติที่กำลังจะออกจากอินเดียโดยการตั้งซุ้มแลกเปลี่ยนเงินตราบริเวณจุดตรวจคนเข้าเมืองตามสนามบินต่างๆ ทั้งนี้ หากชาวต่างชาติ/ผู้ที่กำลังเดินทางออกนอกอินเดียมีเงินรูปีไว้ในครอบครองก่อนกว่ากำหนด ก่อนที่จะขึ้นเครื่อง เจ้าหน้าที่ศุลกากรสามารถดำเนินการตามกฎหมายได้
RBI อนุญาตให้ผู้ที่เดินทางออกจากอินเดียสามารถพกเงินสดจำนวน 10,000 รูปี สำหรับใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดระหว่างรอการเดินทาง และจะมีการแจ้งเตือนผู้เดินทางในแต่ละจุดว่าจุดไหนจะเป็นจุดสุดท้ายที่สามารถครอบครองเงินรูปี
RBI ยังอำนวยความสะดวกสำหรับชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในอินเดีย โดยได้ตั้งจุดรับแลกเงินไว้ตามจุดต่างๆ ในอาคารผู้โดยสารขาเข้าอีกด้วย
บทวิเคราะห์:ข้อบังคับดังกล่าว แม้จะเป็นไปเพื่อการกำจัดคอร์รัปชันภายในอินเดีย แต่ก็ทำให้ชาวต่างชาติทั้งที่อาศัยและท่องเที่ยวเกิดความยุ่งยากในการเดินทางเข้า/ออกนอกอินเดียมากขึ้น
Asian Voice November 10, 2016
5. เว็บอีคอมเมอร์ซของต่างชาติจะต้องจ่ายภาษีภาคบริการเกี่ยวกับเพลงและหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่วางขายในอินเดียเพิ่มขึ้น 15 %
Now, 15% service tax on music, e-books sold on foreign portals
มุมไบ: นับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมเป็นต้นไปการดาวน์โหลดเพลงและหนังสืออิเล็กทรอนิกส์จากเว็บไซด์อีคอมเมิร์ซต่างประเทศจะถูกคิดภาษีบริการที่เพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าเป็นร้อยละ 15 ทั้งนี้กฎระเบียบนี้จะมีผลบังคับใช้กับซัพพลายเออร์ในประเทศ และลูกค้าที่ทำการดาวน์โหลดจากภายในประเทศอินเดีย แต่ในส่วนของซัพพลายเออร์ในต่างประเทศ ภาษีนี้จะไม่ถูกคิดคำนวณ หากคู่บริการเป็นหน่วยงานของรัฐ ทั้งรัฐบาลท้องถิ่นและองค์กรภายใต้อำนาจของรัฐบาลกลาง
ซัพพลายเออร์ในต่างประเทศจะต้องชำระภาษีในกรณีที่เป็นการทำการค้าระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ (Business to Business) ประเด็นการเก็บภาษีนี้สอดคล้องกับแนวนโยบายของThe Central Board of Excise and Customs ที่มีการออกกฎระเบียบว่าด้วย Place of Provisions of Services Rules สำหรับการเข้าถึงฐานข้อมูลออนไลน์หรือการเข้าถึงข้อมูลด้านบริการต่างๆ ซึ่งจะมีผลในการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมได้
โดยกฎระเบียบดังกล่าวได้แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนิยามความหมายของพื้นที่บริการให้ขยายครอบคลุมนอกประเทศอินเดียด้วย เนื่องจากปัจจุบันกฎระเบียบดังกล่าวเรียกเก็บภาษีได้เพียงผู้ให้บริการที่มีฐานอยู่ในประเทศเท่านั้น ดังนั้นการแก้ไขกฎระเบียบดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลอินเดียสามารถเรียกเก็บภาษีจากการใช้บริการจากต่างประเทศได้ด้วย ฉะนั้นนับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2559 การดาวน์โหลดทุกชนิดที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดียจะถูกคิดคำนวณภาษีบริการทั้งหมด ยกเว้นแต่จะเป็นไปเพื่อการใช้บริการของภาครัฐ ที่กฎระเบียบนี้ให้ความคุ้มครองและให้การยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี โดยคาดว่าการเรียกเก็บภาษีนี้จะส่งผลให้ต้นทุนของผู้บริโภคเพิ่มสูงยิ่งขึ้นในการใช้บริการดังกล่าว
ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเรื่องนี้มองว่ารัฐบาลจะมีความยากลำบากในการเรียกเก็บภาษีในลักษณะเช่นนี้หากผู้ให้บริการที่อยู่ต่างประเทศไม่ได้มีฐานหรือตัวตนอยู่ในประเทศอินเดีย
บทวิเคราะห์ จากการข้อมูลข่าวจะเห็นได้ว่ารัฐบาลอินเดียมีแนวโน้มที่จะเพิ่มช่องทางในการจัดเก็บภาษีให้มากยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นถึงสถานะทางการคลังที่ยังขาดเสถียรภาพ หรือในทางหนึ่งอาจแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลอินเดียไม่สามารถเก็บภาษีได้ตามเป้าหมายที่ต้องการ ทำให้มีความจำเป็นต้องหาแนวทางเพิ่มเติมในการแสวงหาภาษีเพื่อใช้ในการส่งเสริมความเจริญเติบโตของประเทศที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว
ข้อเสนอแนะ หน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องควรมีการติดตามประเด็นดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ถึงแม้ว่ายังไม่มีธุรกิจไทยรายใดทำการค้าผ่านทางออนไลน์หรือให้บริการการดาวโหลดต่างๆ แต่กฎระเบียบเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลก็มีผลบังคับใช้กับภาคธุรกิจไทยที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศอินเดียเช่นเดียวกัน
The Economic Times November 12, 2016
6. ATM withdrawal limit increased to Rs 2,500/day; Exchange limit Rs 4500
เพิ่มวงเงินในการถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มเป็น 2,500 รูปีต่อวัน และแลกเงินเป็น 4,500 รูปี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวในวันอาทิตย์ที่ผ่านว่า หลังจากการตรวจสอบสถานการณ์รัฐบาลได้ประกาศมาตรการใหม่เพื่อรองรับการถอนเงินและฝากเงินของธนาคาร และการใช้ธนบัตรใหม่มูลค่า 500 รูปีที่จะมีการใช้กับตู้เอทีเอ็ม ให้เป็นไปอย่างราบรื่น โดยธนาคารได้รับการแนะนำให้เพิ่มวงเงินการถอนเงินจากบัญชีธนาคารเป็น 2,500 รูปี การแลกเปลี่ยนผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารจาก 4,000 รูปี เป็น 4,500 รูปี และการถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มจาก 2,000 รูปี เป็น 2,500 รูปีต่อวัน และเพิ่มวงเงินการถอนเงินจากบัญชีธนาคารจาก 20,000 รูปีต่อสัปดาห์ เป็น 24,000 รูปี และได้ยกเลิกข้อกำจัดการถอนเงิน 10,000 รูปีต่อวันออกไป นอกจากนี้ยังได้มีการกำหนดให้ธนาคารและที่ทำการไปรษณีย์อำนวยความสะดวกในการกระจายธนบัตรไปยังพื้นที่ต่างๆให้ทั่วถึง และมีการให้ผู้พิพากษาหรือผู้บริหารท้องถิ่นดำเนินการกับสถานประกอบการที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ โรงพยาบาล ธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร และบ้านเช่า ฯลฯ ที่ไม่รับเช็คเงินสด การจ่ายผ่านระบบออนไลน์
ทุกธนาคารได้มีการแนะนำให้ใช้ธนาคารบนมือถือแทนในโรงพยาบาล และการดำเนินการทำธุรกรรมในกรณีฉุกเฉินสำหรับผู้ป่วย นอกจากนี้ธนาคารได้รับการแนะนำให้มีการแยกการรอคิวสำหรับผู้สูงอายุและผู้ที่มีความพิการโดยคิวเฉพาะในการแลกเงินสดและการทำธุรกรรมกับบัญชีเงินฝากธนาคาร
ในช่วง 4 วันแรก ระหว่างวันที่ 10 -13 พฤศจิกายน ธนาคารได้ขยายเวลาทำการถึง 5 โมงเย็น โดยธนบัตรมูลค่า 500 และ 1,000 รูปีเก่า ได้ถูกฝากเข้าไปในบัญชีธนาคารสูงถึง 3 ล้านล้านรูปี และได้มีการถอนเงินออกจากบัญชีธนาคารจากตู้เอทีเอ็ม และแลกเงินสูงถึง 500,000 ล้านรูปี สำหรับใน 3 - 4 วันนี้ ธนาคารได้มีการเตรีมเงินสำหรับการทำธุรกรรมต่างๆสูงถึง 2.1 ล้านล้านรูปี โดยกระทรวงการคลัง ธนาคารกลางและไปรษณีย์ ได้มีการร่วมมือกันเพื่ออำนวยความสะดวกในการแลกเงินในพื้นที่ต่างๆ
และได้มีการขายวันการยื่นใบรับรองชีวิตประจำปีสำหรับผู้รับบำนาญของรัฐบาล ซึ่งปกติจะอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ได้มีการขยายการยื่นได้ถึงวันที่ 15 มกราคม 2017 ธนาคารได้รับการแนะนำให้เพิ่มการใช้งานกระเป๋าสตางค์บนโทรศัพท์มือถือและบัตรเดบิต / บัตรเครดิต เป็นให้กับลูกค้าและสถานประกอบการที่ไม่ได้มีการเข้าถึง สามารถที่จะไม่ใช่เงินสดในการชำระเงินมันเพิ่มขึ้น
ข้อเสนอแนะ: ถือเป็นมาตรการดีที่สำหรับการรองรับความคล่องตัวของประชาชนในการดำเนินธุรกรรมกับธนาคาร ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น
The Economic Times November 14, 2016
7. การส่งออกสินค้าของอินเดียเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.59 คิดเป็นมูลค่า 23.5 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่การขาดดุลทางการค้าอยู่ที่ 10 พันล้านดอลลาร์
Exports up 9.59 per cent at $23.5 billion in October; trade deficit at $10 billion
การส่งออกสินค้าของอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยจากข้อมูลที่ถูกบันทึกเกี่ยวกับการส่งออกพบว่า 18 ภาคการส่งออกในจำนวน 30 ภาคส่วน มีการส่งออกที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นไปยังต่างประเทศ ทั้งนี้จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 9.6 คิดเป็นมูลค่า 23.5 พันล้านดอลลาร์ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาพบว่าการส่งออกมีมูลค่าเพียง 21.4 พันล้านดอลลาร์
ในอีกทางหนึ่งการนำเข้าสินค้าของอินเดียมีจำนวนเพิ่มมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกันโดยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 8.1 คิดเป็นมูลค่าถึง 33.7 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมีมูลค่าเพียง 31.1 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาอินเดียขาดดุลทางการค้ากว่า 10. พันล้านดอลลาร์
เมื่อลงรายละเอียดไปในสินค้านำเข้าพบว่าการนำเข้าสินค้าประเภททองคำมีอัตราเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว โดยมีมูลค่าถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่ช่วงเดือนเดียวกันนี้ของปีที่แล้วมีมูลค่าเพียง 1.7 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น
โดยแรงผลักสำคัญที่ทำให้อัตราการส่งออกของประเทศอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น เป็นผลมาจากอัตราการส่งออกสินค้าของประเทศจีนที่มีแนวโน้มลดต่ำลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 ส่งผลให้อินเดียสามารถส่งออกสินค้าได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามโดยภาพรวมถือว่าสมดุลทางการค้ามีแนวโน้มเพิ่มมากยิ่งขึ้นจากในอดีตเนื่องจากอินเดียมีอัตราการขาดดุลอย่างต่อเนื่องที่ค่อนข้างสูง
บทวิเคราะห์ จากการข้อมูลข่าวจะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจของอินเดียมีแนวโน้มที่จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และเริ่มผันตัวเองไปเป็นผู้ผลิตเพื่อส่งออกมากยิ่งขึ้น ตามอัตราการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่ถือเป็นโอกาสสำคัญที่นักธุรกิจไทยจะเข้าไปลงทุนในตลาดขนาดใหญ่อย่างอินเดีย ที่สามารถเชื่อมต่อและค้าขายสินค้าไปยังภูมิภาคอื่นๆของโลกได้อาทิ ภูมิภาคเอเชียกลาง ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป
The Economic Times November 15, 2016
8. คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษสำหรับการเชื่อมโยงระหว่างกันของแม่น้ำ
Cabinet approves constitution of special committee for inter- linking of rivers
นิวเดลี: ในวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีของประเทศอินเดียมีมติในการจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษสำหรับการเชื่อมโยงระหว่างกันของแม่น้ำ เพื่อให้เป็นไปตามคำตัดสินของศาลสูง โดยหน่วยงานดังกล่าวมีอิสระและแยกขาดออกมาจากรัฐบาลในการกำกับดูแลเรื่องค่าต่างๆ เกี่ยวกับแม่น้ำ ซึ่งเป็นโครงการที่มีพื้นฐานอยู่บนความต้องการของ National Perspective Plan ในปี 1980
โดยการประชุมคณะรัฐมนตรีดังกล่าวมีนาย Narendra Modi นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการประชุม ซึ่งการประชุมให้การเห็นชอบเกี่ยวกับรายงานความคืบหน้ากิจกรรมต่างๆ รวมถึงการจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษสำหรับการเชื่อมโยงระหว่างกันของแม่น้ำ ให้เป็นไปตามคำตัดสินของศาลสูง เกี่ยวกับโครงการที่รัฐบาลพยายามเชื่อมโยงแม่น้ำต่างๆเป็นเครือข่ายเดียวกัน
ทั้งนี้คณะกรรมการดังกล่าวจะมีอิสระในการตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาซึ่งจะทำให้การแก้ไขปัญหาต่างๆรวดเร็วยิ่งขึ้น
โดยโครงการดังกล่าวเป็นแผนงานของรัฐบาลตั้งแต่ปี 1980 เพื่อผันน้ำจากพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำมากเกินความจำเป็นไปยัง พื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ โดยโครงการดังกล่าวถูกนำขึ้นสูงศาลเนื่องจากปัญหาในการบริหารจัดการโครงการ ศาลจึงมีคำตัดสินในปี 2012 ให้รัฐบาลจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติในการจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษนี้ตามที่กล่าวมาข้างต้น
บทวิเคราะห์ จากการข้อมูลข่าวจะเห็นได้ว่าโครงการพัฒนาเรื่องน้ำของอินเดียกำลังจะเริ่มมีการดำเนินงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในไม่ช้านี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคการเกษตรของอินเดีย การผันน้ำดังกล่าวจะช่วยให้เกษตรกรมีน้ำเพียงพอในการเพาะปลูก ซึ่งเรื่องนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสินค้าเกษตรไทย เพราะอินเดียถือเป็นคู่แข็งสำคัญของประเทศไทยเช่นเดียวกันในการค้าเรื่องสินค้าเกษตร
ข้อเสนอแนะ หน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องควรมีการติดตามประเด็นดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และวางแผนไว้ในอนาคตเพื่อรับมือกับสินค้าเกษตรจำนวนมากที่จะสามารถผลิตได้เพิ่มมากยิ่งขึ้นภายในประเทศอินเดีย ภายหลังจากโครงการผันน้ำของประเทศอินเดสามารถดำเนินการได้จนแล้วเสร็จ
The Economic Times November 15, 2016
9. CPI inflation may fall below 4 per cent in Nov-Dec period: Citigroup
อัตราเงินเฟ้ออาจจะลดลงต่ำกว่าร้อยละ 4 ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงธันวาคมนี้ : Citigroup
ซิตี้กรุ๊ป รายงานว่าอัตราเงินเฟ้อหรือ CPI จะปรับตัวลดลงต่ำกว่าร้อยละ 4 ในช่วงเวลาเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ก่อนจะปรับตัวกลับไปที่ร้อยละ 4.5 ในเดือนมีนาคม และเนื่องจากมาตรการการผ่อนคลายนโยบายการเงิน
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง) เสนอปรับลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรจากร้อยละ 6.50 เป็นร้อยละ 6.25 ในวันที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่าน โดยการประชุมครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 6 - 7 ธันวาคม 2559 ซึ่งจะยังคงพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง โดยพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อ แนวโน้มสภาพคล่องของธนาคารกลาง และความผันผวนของตลาดการเงินโลก
สำหรับในเดือนที่ตุลาคมที่ผ่านมา ราคาอาหาร และเชื้อเพลิง เป็นตัวช่วยสำคัญที่ดึงอัตราเงินเฟ้อของภาคค้าปลีกให้อยู่ในระดับต่ำที่หรือร้อยละ 4.20 ก่อนที่ธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรในเดือนถัดไป โดยนี้เป็นเดือนที่สามของการลดลงของอัตราเงินเฟ้อและจะมีโอกาสลดลงมากขึ้นในอีก 2 เดือนข้างหน้า สำหรับปัจจัยสำคัญของการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อ คือ การลดลงของอัตราเงินเฟ้อใน 3 ภาคส่วนสำคัญ ที่ประกอบไปด้วย อัตราเงินเฟ้อในภาคอาหาร ที่ปรับตัวลดลงจากร้อยละ 3.7 ในเดือนที่แล้ว เป็นร้อยละ 2.8 ในเดือนนี้ อัตราเงินเฟ้อในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงที่ปรับตัวลดลงจากร้อยละ 3.1 ในเดือนที่แล้ว เป็นร้อยละ 3 ในเดือนนี้ และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับตัวลดลงจากร้อยละ 5.2 ในเดือนที่แล้ว เป็นร้อยละ 5.1 ในเดือนนี้
โดยธนาคารกลางของอินเดียจะพิจารณานโยบายการเงิน ครั้งที่ 5 ในวันที่ 7 ธันวาคมนี้ ซึ่งธนาคารกลางของอินเดียตั้งเป้าหมายที่จะให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 4 ในเดือนมีนาคม 2017
ข้อเสนอแนะ: อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำของอินเดีย ถือเป็นผลดีของประชาชนในประเทศที่จะสามารถจับจ่ายซื้อของได้ในราคาที่ถูก และเป็นผลดีที่สินค้าส่งออกจากไทยที่สามารถจำหน่ายสินค้าให้กับอินเดียได้มากขึ้น
The Economic Times November 16, 2016
10. บังคับให้ใช้บัญชีเงินฝากถาวร(PAN) ถ้ามีการฝากเงินสดเกิน 2.5 แสนรูปี จนถึงวันที่ 30 ธันวาคมนี้Demonetisation: PAN card required if combined cash deposits exceed Rs 2.5 lakh till Dec 30
รัฐบาลได้ประกาศกฎใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนฝากเงินเข้าบัญชีธนาคารโดยปราศจากบัญชีถาวรของธนาคาร โดยขณะนี้วงเงินการฝากเงินสดโดยไม่ต้องใช้บัญชีถาวรของธนาคาร สามารถฝากเงินได้ไม่เกิน 50,000 รูปีต่อรายการ โดยคนจำนวนมากนำเงินฝากเข้าไปในบัญชีน้อยกว่า 50,000 รูปีต่อวัน เพื่อที่จะหลบหนีการให้เปิดบัญชีถาวรกับธนาคาร โดยในวันอังคารที่ผ่านมามีการประกาศกฎใหม่ โดยมีการระบุว่า เงินฝากที่ฝากระหว่างวันที่ 9 พฤศจิกายน ถึง 30 ธันวาคม 2016 นี้ ถ้ามียอดรวมของเงินในบัญชีเกิน 2.5 แสนรูปี ผู้ฝากจะต้องมีบัญชีถาวรกับธนาคารนั้นด้วย เพื่อป้องกันการหลบหนีโดยการเปิดบัญชีถาวรกับธนาคารโดยฝากเงินที่น้อยกว่า 50,000 รูปี
คณะกรรมการกลางภาษีทางตรง หรือ CBDT ยังได้ทำการเปลี่ยนแปลงในกฎ โดยให้ธนาคารและไปรษณีย์ทำการรายงานบุคคลที่มีเงินฝากเงินในระหว่างวันที่ 9 พฤศจิกายน - 30 ธันวาคมนี้เกิน 2.5 แสนรูปี มีเงินฝากในรอบปีที่ผ่านมาเกินหนึ่งล้านรูปีไปยังกรมสรรพากร โดยปัจจุบันระหว่างวันที่ 9 พฤศจิกายน ถึง 30 ธันวาคม มีการจำกัดโควตาเงินฝากต่อหนึ่งบัญชีธนาคาiฝากได้ไม่เกิน 1.25 ล้านรูปี โดยกฎนี้จะบังคับใช้กับทุกบัญชีธนาคารของแต่ละบุคคลถึงแม้จะไม่ชัดเจนว่าธนาคารจะสามารถที่จะเก็บข้อมูลของเงินสดในบัญชีธนาคารอื่นๆ
ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีกล่าวนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการป้องกันการรั่วไหลของการจัดเก็บภาษีหลังจากมีการยกเลิกใช้ธนบัตรมูลค่า 500 และ 1,000 รูปี
ข้อเสนอแนะ: ถือเป็นขั้นตอนและมาตรการสำคัญในการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลอินเดีย เพื่อให้รัฐบาลได้จัดเก็บภาษีอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต
The Economic Times November 16, 2016
11. รัฐบาลอินเดียจำกัดการแลกเปลี่ยนเงินจากเดิม 4,500 รูปีเหลือเพียง 2,000 รูปี
Delhi government applies more curbs, limits bank exchange from Rs 4,500 to Rs 2,000
รัฐบาลได้แก้ไขแนวทางการถอนเงินและจำกัดการแลกธนบัตรเก่า มูลค่า 500 และ 1,000 รูปี จากเดิมที่สามารถถอนเงินหรือแลกเงินได้ 4,500 รูปี เหลือเพียง 2,000 รูปี โดยจะเริ่มในวันพรุ่งนี้ (18 พฤศจิกายน 2016)
รัฐบาลยังคงอนุญาตเกษตรกรให้สามารถถอนเงิน เพื่อให้เกษตรกรมีเงินสำหรับซื้อเมล็ดพันธุ์พืช และปุ๋ย ในช่วงฤดูการหว่านเมล็ดพันธุ์ เกษตรกรจะสามารถถอนเงินได้ 25,000 รูปีขึ้นไปต่อสัปดาห์ โดย Shaktikanta Dos เลขานุการกิจการเศรษฐกิจกล่าวกับนักข่าว และเสริมว่ารัฐบาลได้ขยายระยะเวลาการจ่ายเงินคืนการประกันภัยพืชผล เพิ่มอีก 15 วัน
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรชาวอินเดียกว่าล้านคนไม่มีบัญชีธนาคาร และพึ่งพาการกู้เงินนอกระบบในท้องถิ่น เพื่อเป็นงบประมาณในฤดูกาลหว่านเมล็ดพันธุ์
ประเด็นสำคัญในการแถลงข่าวคือ
- รัฐบาลได้ตัดสินใจขยายเวลาจ่ายเงินคืนประกันภัยพืชผลเพิ่มขึ้น 15 วัน
- รัฐบาลได้ตัดสินใจให้เกษตรกรสามารถถอนเงินได้มากกว่า 25,000 รูปี ต่อสัปดาห์ จากบัญชีธนาคารที่เกษตรกรมีบัญชีอยู่ โดยสามารถรับได้ทั้งเช็คเงินสด หรือเครดิตจาก RTGS
- สำหรับการแลกธนบัตร 500 และ 1,000 รูปี รูปแบบเก่าที่ถูกยกเลิกไปเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน จะถูกจำกัดลงจากเดิมที่สามารถแลก 4,500 รูปี เหลือเพียง 2,000 รูปี
- สำหรับกรณีการจัดงานแต่งงาน ตัวแทนครอบครัวสามารถถอนเงินได้ 2.5 แสนรูปี
- คณะทำงานเฉพาะกิจได้จัดประชุมเพื่อเตรียมแผนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของตู้ ATM ซึ่งจะสำเร็จในเร็วๆ นี้
- ข้าราชการของรัฐบาลกลางที่อยู่ในกลุ่ม C ขึ้นไป สามารถถอนเงินเดือนล่วงหน้าของเดือนพฤศจิกายน ตั้งแต่ 10,000 รูปี
- Kisan Credit Cards (บัตรเครดิตสำหรับเกษตรกร) ยังคงใช้ได้ในวงเงินเท่าเดิม
- รัฐบาลมีเงินสดอยู่เพียงพอ ไม่ได้ประสบวิกฤติเงินสด
- ศักยภาพการพิมพ์ธนบัตรมีมากกว่าร้อยละ 100
- ผู้ค้าขายใน Mandi (การค้าขายสินค้าเกษตรในรูปแบบออนไลน์) สามารถถอนเงิน 50,000 รูปีต่อสัปดาห์
บทวิเคราะห์:การที่รัฐบาลยิ่งจำกัดการถอนและการแลกเปลี่ยนธนบัตรน้อยลงจะยิ่งทำให้ประชาชนเดือดร้อนจากการขาดสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโดยรวม
The Economic Times November 17, 2016