ข่าวเด่นรายสัปดาห์ 19-25 พ.ย. 59
1. เมืองอัจฉริยะ: Guwahati กำลังมีการดำเนินการยกระดับรถไฟระยะทางกว่า 12 กิโลเมตร
Smart City: 12-km elevated railway corridor to come up in Guwahati
รัฐอัสสัมมีการประกาศถึงตัวเลขการลงทุนเกี่ยวกับการยกระดับรถไฟถึง 5 หมื่นล้านรูปี ภายในเมือง Guwahati เมืองหลวงของรัฐ ระยะทางกว่า 12 กิโลเมตร ซึ่งช่วยเอื้อต่อโครงการเมืองอัจฉริยะตามแผนของรัฐบาลกลาง ทั้งนี้การรถไฟของอินเดียจะสร้างความร่วมมือกับรัฐบาลระดับรัฐเพื่อก่อตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นในการดูแลการก่อสร้างโครงการนี้ ซึ่งจะมีการแบ่งสัดส่วนการถือหุ้นภายในโครงการที่ชัดเจนภายหลังจากมีการตกลงกันอย่างเป็นที่แน่นอนเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ในระยะทางการก่อสร้าง 12 กิโลเมตรนั้นจะประกอบไปด้วย 7 ชานชาลา และภายในตัวอาคารผู้โดยสารจะได้รับการปรับปรุงเพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้าและการพาณิชย์เพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งในหลายสถานีรถไฟที่กำลังจะได้รับการพัฒนานั้นจะทำการเชื่อมต่อเข้ากับระบบรถไฟฟ้าของเมืองด้วย สอดคล้องกับแผนงานเมืองอัจฉริยะ
ทั้งนี้ภายใต้โครงการดังกล่าวมีการก่อสร้างรถไฟฟ้ายกระดับเพื่อข้ามทางเชื่อมต่างๆ ทั้งสิ้น 4 สาย ซึ่งประกอบด้วย 3 โครงการใหญ่ๆ คือการสร้างรถไฟฟ้ายกระดับเป็น 2 เท่าที่ New Bongaigaon การก่อสร้างรถไฟฟ้าให้ตัดกันระหว่างสาย Kamakhya กับ Goalparaและ Digaru-Hojai และสุดท้าย การสร้างรถไฟฟ้าระหว่างเมืองJalpaiguri และ Guwahati โดยมูลค่าทั้ง 3 โครงการคิดเป็นจำนวนเงินกว่า 3.76 หมื่นล้านรูปี โดยมีกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2021
การลงทุนระบบรางในครั้งนี้ระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลอัสสัม จะช่วยให้เครือข่ายรถไฟของอินเดียขยายตัวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับรถไฟของประเทศบังคลาเทศ ซึ่งจะเชื่อมต่อเข้าสู่ภูมิภาคต่างๆของเอเชียได้ด้วย
บทวิเคราะห์:จากรายงานข่าวข้างต้น อินเดียกำลังมีการขยายโครงข่ายของรถไฟเพิ่มเติมไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งเป็นประโยชน์สำคัญกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนและไทย เนื่องจากการติดต่อค้าขายมากยังประเทศอินเดียในปัจจุบันยังถูกจำกัดเฉพาะทางเครื่องบิน หากอินเดียสามารถขยายโครงข่ายทางรางไปจรดสหภาพเมียนมาร์ได้ก็จะทำให้การขนส่งสินค้าระหว่างสองภูมิภาคสะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำคัญสำหรับประเทศไทยด้วย
The Economic Times November 10, 2016
2. แคชเมียร์กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลังจากการปิดเมืองกว่า 4 เดือน
Kashmir bursts into life after four months of closure
หุบเขาแคชเมียร์กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง หลังจากการปิดเมือง 132 วัน โดยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พาหนะต่างๆ กลับมาวิ่งบนถนนอีกครั้ง ตลอดจนตลาด โรงเรียน ออฟฟิศ และธุรกิจต่างๆ ก็เปิดทำการเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 4 เดือน จากการที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนปิดเมือง และประท้วงรัฐบาลอินเดีย
ประชาชนจำนวนมากออกมาจับจ่ายซื้อของในตลาดเมืองศรีนาการ์ แม้จะอยู่ในช่วงที่รัฐบาลอินเดียยกเลิกธนบัตร 500 และ 1,000 รูปีพาหนะต่างๆ ก็เริ่มให้บริการตั้งแต่เช้าตรู่ เนื่องจากผู้คนต่างก็ต้องกลับเข้าไปทำงาน เปิดร้านรวง และไปธนาคารเพื่อถอนเงิน
เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ผู้คนต่างมาใช้บริการที่ศูนย์ราชการ ธนาคาร และสำนักงานไปรษณีย์อย่างเนืองแน่น ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดเหตุความไม่สงบที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 คน โดยเริ่มตั้งแต่กลุ่ม Hizbul Mujahideen ที่นำโดย Burhan Wani ถูกสังหารระหว่างการปะทะกับเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2559
ทั้งนี้ ผู้นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ซึ่งเป็นผู้นำในการก่อความวุ่นวายครั้งนี้ ได้ประกาศยกเลิกการปิดเมืองสองวัน เพื่อให้ประชาชนได้ทำกิจกรรมตามปกติในช่วงสุดสัปดาห์ รัฐบาลเองก็ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ในช่วงวันเสาร์เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน
มาตรการดังกล่าวจากทั้งสองฝ่าย ทำให้เมืองศรีนาการ์เกิดปัญหาจราจรติดขัดจากการที่ประชาชนออกมาตามท้องถนนเพื่อใช้ชีวิตตามปกติ
บทวิเคราะห์: แคชเมียร์ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก แต่ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เต็มไปความรุนแรง อย่างไรก็ตาม มาตรการผ่อนคลายของจากทั้งฝ่ายผู้แบ่งแยกดินแดน และรัฐบาลเอง เป็นสัญญาณที่ดีของสันติภาพ แม้จะเป็นมาตรการในช่วงสั้นๆ ก็ตาม
The Economic Times November 19, 2016
3. อินเดียจะหารือเกี่ยวกับการค้าภาคสินค้าและภาคบริการในการประชุม RCEP
India for parallel talks on goods, services at RCEP: Nirmala Sitharaman
อินเดียกำลังร่างข้อเสนอในการเจรจาเพื่อเปิดเสรีทางการค้าในภาคสินค้าและภาคบริการ โดยจะเสนอในการประชุม RCEP
Nirmala Sitharaman รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมกล่าวว่า “อินเดียได้เน้นถึงความจำเป็นคู่ขนานระหว่างการเจรจาในประเด็นการค้าภาคสินค้าและภาคบริการในการประชุม RCEP”
การเจรจา RCEP เริ่มครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ที่กรุงพนมเปญ โดยมีประเทศเข้าร่วม 16 ประเทศที่มีมูลค่ากว่า 1 ใน 4 ของมูลค่าเศรษฐกิจโลก หรือประมาณ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สมาชิกกลุ่มประเทศ RCEP ประกอบด้วย 10 ประเทศจากกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย เวียดนาม ลาว พม่า ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ และอีกหกประเทศคู่ค้า ได้แก่ อินเดีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
Nirmala กล่าวว่าข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมการค้าภาคสินค้าและภาคบริการ ตลอดจนภาคการลงทุนให้มีมากขึ้น
ทั้งนี้ รมว.พาณิชย์ฯ อินเดียยังได้ตอบคำถามเกี่ยวกับ WTO ว่า อินเดียกำลังทำงานร่วมกับประเทศกำลังพัฒนาหรือ กลุ่ม G33 ที่ WTO ในประเด็นเกี่ยวกับการเกษตรกรรม ตลอดจนประเด็นที่อินเดียใช้มาตรการเพื่อลดการนำเข้าสินค้าประเภทเหล็กและอลูมิเนียม ซึ่งเป็นไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ภายในประเทศ
และได้ตอบคำถามในประเด็นอื่นๆ ซึ่งเกี่ยวกับการส่งออกของอินเดียในกลุ่มประเทศ SARCC ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.42 ในช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคมที่ผ่านมาเช่นเดียวกันกับการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.73 ในช่วงเวลาเดียวกัน
The Economic Times November 21, 2016
4. การนำเข้าเหล็กของอินเดียลดต่ำลงระหว่างเมษายนถึงตุลาคมกว่าร้อยละ 39 คิดเป็นจำนวน 4.5 ล้านตัน
Steel imports drop 39% to 4.5 million tonnes in April-October 2016
นิวเดลี: จากมาตรการช่วยเหลืออุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศของรัฐบาลส่งผลให้การนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศลดลงกว่าร้อยละ 39 คิดเป็นจำนวนกว่า 4.5 ล้านตัน ในช่วงระหว่างเดือนเมษายนถึงตุลาคม 2559 โดยเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านี้
การนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเหล็ก นาย Chaudhary Birender Singh ได้กล่าวว่า “รัฐบาลมีการดำเนินการตามขั้นตอนที่จะรักษาผลประโยชน์ให้กับอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศจากการแข่งขันทางการค้าที่ไม่ยุติธรรม ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้รับผลดี ผลักดันให้ราคากลางของเหล็กเพิ่มสูงขึ้น”
ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2014-2015 อุตสาหกรรมเหล็กของอินเดียได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากปริมาณการนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้อุตสาหกรรมเหล็กต้องแบกรับต้นทุนเป็นจำนวนมาก ราคาตกต่ำลงจากราคาเหล็กม้วนที่สูงถึง 47,000 รูปีในช่วงเดือนเมษายนของปี 2014 ตกลงไปอยู่ที่ 30,000 รูปีในช่วงเดือนมกราคมปี 2016
โดยปริมาณตัวเลขการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นกว่า 2 เท่า โดยในช่วงปี 2013 – 2014 ปริมาณการนำเข้าเหล็กมีอยู่เพียง 5.45 ล้านตัน แต่ในช่วงปี 2015-2016 ปริมาณกลับเพิ่มสูงขึ้นเป็น 11.71 ล้านตัน ส่งผลให้ราคาเหล็กภายในประเทศลดต่ำลง
จากสภาพการลดลงของราคาเหล็กภายในประเทศเช่นนี้ส่งผลให้อุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศอินเดียประสบปัญหาจำนวนมากจากการขายสินค้า และการทำกำไรจากตลาดภายในประเทศ บริษัทเหล็กจำนวนมากในประเทศประกาศขายกิจกรรม ส่งผลให้ตัวเลขของบริษัทผู้ผลิตเหล็กลดต่ำลงอย่างมีนัยยะสำคัญ รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้ของหลายบริษัทก็เริ่มมีปัญหามากยิ่งขึ้นด้วย
สุดท้ายนี้รัฐบาลอินเดียมีแผนการสำหรับการส่งเสริมอุตสาหกรรมวัสดุภายในประเทศให้สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้ ภายใต้ชื่อ Merchandise Exports from India Scheme ซึ่งสนับสนุนการส่งออกสินค้าในนามของประเทศอินเดีย โครงการยกเว้นภาษีการส่งออก โครงการสนับสนุนการสร้างความเสมอภาคและการเท่าเทียมทางการค้า และโครงการอื่นๆอีกมากมาย ภายใต้นโยบายการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศปี 2015-2020 ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมการส่งออกแร่เหล็กและเหล็กสำเร็จรูปด้วย
บทวิเคราะห์:จากรายงานข่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่ารัฐบาลอินเดียมีแนวนโยบายที่จะปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบสำคัญต่อบริษัทส่งออกไทยที่ทำการติดต่อค้าขายกับประเทศอินเดียในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้ ในขณะเดียวกันการส่งเสริมการส่งออกเหล็กผ่านมาตรการช่วยเหลือต่างๆของรัฐบาลก็อาจส่งผลดีต่อธุรกิจไทยที่นำเข้าเหล็กจากอินเดียด้วยเช่นกัน
ข้อเสนอแนะ:รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรทำการศึกษา ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ควรให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศอินเดีย แก่ภาคธุรกิจไทยที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ทันท่วงที และสามารถแสวงหาช่องทางใหม่ๆได้
The Economic Times November 21, 2016
5. บริษัทด้านไอทีจะสูญเสียงานไปกว่าครึ่งภายหลังอินเดียมีแนวโน้มการใช้ Digital Automation มากขึ้น
50 per cent of IT companies will lose part of their work: Digital automation may take bulk of deals
จะมีการตกลงสัญญาด้านไอทีใหม่ปี 2017 - 2018 ที่มีมูลค่ามากกว่า 200 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยหนึ่งในสามของสัญญาระบบดิจิตอลและระบบอัตโนมัติจะมีการปรับเปลี่ยน และเกือบครึ่งหนึ่งในผู้ให้บริการด้านไอทีจะสูญเสียงานไปส่วนหนึ่ง โดยความท้าทายที่เกิดขึ้นจะเกิดกับบริษัทด้านไอทีของอินเดีย
การแข่งขันที่รุนแรง
Dinesh Goel ประธานบริษัท ISG ของอินเดีย กล่าวว่า การต่ออายุสัญญาทำให้เห็นการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างผู้ประกอบการเดิมที่กำลังพยายามพัฒนานวัตกรรมและระบบอัตโนมัติที่ให้เกิดประโยชน์กับลูกค้ามากขึ้นแม้กระทั่งก่อนที่หมดสัญญา และผู้ให้บริการรายใหม่ที่เจาะตลาดไปที่การแก้ปัญหาธุรกิจ นอกจากนี้อีก 5,500 สัญญาจะหมดอายุในอีก 2 ปีข้างหน้า และการต่ออายุสัญญาเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในอีก 3-5 ปีข้างหน้า โดยสัญญาเหล่านี้ต่ออยู่ใน EMEA ร้อยละ48 อยู่ที่อเมริการ้อยละ 41 และอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกร้อยละ 11
สถานการณ์ที่ซับซ้อน
ธุรกิจภาคไอทีของอินเดียได้รับผลกระทบจากการโหวตออกจาก EU ของสหราชอาณาจักร(Brexit) โดยในปีที่ผ่านได้มีการปรับลดเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจไปแล้ว 3 ครั้ง โดย Infosys ได้ปรับไปก่อนหน้านี้แล้ว 2 ครั้ง และ Tata Consultancy Service ได้ปรับได้แล้วหนึ่งครั้ง โดยทางสมาคมซอฟต์แวร์และบริษัทให้บริการด้านซอฟต์แวร์แห่งชาติ(Nasscom) ยังได้ปรับลดเป้าหมายการเติบโตของ บริษัท สำหรับปีนี้จากร้อยละ 10-12 ก่อนหน้านี้ เหลือเพียงร้อยละ 8-10 ISG กล่าวว่าสถานการณ์ซับซ้อนสำหรับผู้ครอบครองตลาด เนื่องจากข้อตกลงที่มีขนาดเล็กลง
สำหรับข้อเสนอที่มีขนาดใหญ่
โดยจะมีการเปิดการตกลงขนาดใหญ่ถึงร้อยละ 65 ของทั้งหมด ให้เกิดการแข่งขันและส่วนใหญ่จะหายไปเนื่องจากการเสนอดีกว่าหรือได้เปรียบในเรื่องราคา เขากล่าวว่าร้อยละ 20-30 ของมูลค่าการจัดการที่จะหายไปกับเทคโนโลยีดิจิตอล และตอนนี้ แม้แต่บริษัทขนาดเล็ก อย่าง Mindtree และ Hexaware ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงนี้
The Economic Times November 21, 2016