ฐานเศรษฐกิจ : มองอินเดียใหม่ (ตอนที่ 42)
ธุรกิจค้าปลีกของอินเดีย
ในช่วงนี้ มีข่าวว่ารัฐบาลอินดียกำลังพิจารณาเปิดเสรีธุรกิจค้าปลีกภายในประเทศ ซึ่งก็มีกระแสต่อต้านจากนักการเมืองของอินเดียบางคน โดยอ้างว่าจะเป็นการทำลายร้านค้าปลีกและกระทบคนจน นโยบายนี้เคยมีการถกเถียงกันมาก่อนในไทย แต่เราก็ได้ก้าวข้ามประเด็นนี้มาแล้ว เมื่อปรากฎว่าส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม อีกทั้งผู้บริโภคสามารถหาซื้อสินค้าที่หลากหลายในราคาถูกลง ผมเห็นว่าเรื่องนี้น่าสนใจก็เลยขอนำมาเล่าสู่กันฟัง
อินเดียจัดได้ว่าเป็นประเทศที่มีการปกป้องตลาดภายในประเทศค่อนข้างมาก แต่เมื่อเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกเมื่อปี พ.ศ. 2538 ก็ต้องลดกำแพงภาษีและอุปสรรคทางการค้าลง สำหรับการเปิดเสรีธุรกิจค้าปลีกนั้นอินเดียมีพัฒนาการช้ากว่าไทยประมาณ 10 ปี โดยรัฐบาลไทยอนุญาตให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 เมื่อห้าง Makro ของเนเธอร์แลนด์มาเปิดสาขาแรกในไทย ต่อมาก็มีบริษัทต่างชาติอื่น ๆ เช่น Carrefour และ Tesco Lotus เข้ามา
สำหรับอินเดียนั้น รัฐบาลยอมให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจค้าปลีกได้เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2540 โดยสามารถถือหุ้นได้ 100 % เฉพาะธุรกิจค้าส่ง (Wholesale Cash and Carry Trade) ซึ่งก็มีหลายบริษัท เช่น Metro ของเยอรมัน Carrefour ของฝรั่งเศส และ Walmart ของสหรัฐฯ เข้ามาเปิดร้านค้าส่งตามเมืองใหญ่ ๆ ต่อมาในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลอินเดียได้ผ่อนปรนให้นักลงทุนต่างชาติสามารถถือหุ้น 100 % ในธุรกิจค้าปลีกสินค้าที่ตนเองเป็นเจ้าของแบนด์ (Single-Brand Retail) เช่นร้านขายรองเท้ากีฬายี่ห้อดังต่าง ๆ โดยมีเงื่อนไขว่า ขายได้เฉพาะสินค้าที่ตนเองเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ยี่ห้อสินค้านั้น
ขณะนี้รัฐสภาอินเดียกำลังพิจารณาร่างกฎหมายที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนในธุรกิจค้าปลีกที่จำน่ายสินค้าหลากหลายยี่ห้อ (Multi-Brand Retail) ได้เต็มที่ 100 % โดย สหพันธ์อุตสาหกรรมของอินเดีย (Confederation of Indian Industry – CII)CII ก็ได้ออกมาประกาศสนับสนุนนโยบายดังกล่าว โดยเชื่อว่าจะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจอินเดียที่เริ่มเติบโตช้าลงในขณะนี้
ทำไมธุรกิจค้าปลีกของอินเดียจึงน่าสนใจ และการเปิดเสรีภาคการค้าปลีกจะเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของไทยอย่างไร?
ธุรกิจค้าปลีกของอินเดียมีความสำคัญอันดับ 2 รองจากภาคการเกษตร เป็นแหล่งจ้างงานโดยตรงกว่า 25 ล้านคน CII ประเมินว่า ในปัจจุบันธุรกิจค้าปลีกของอินเดียน่าจะมีมูลค่าอยู่ราว ๆ 3.96 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 20 % ของ GDP) และน่าจะโตขึ้นปีละ 20 %เป็น 5.74 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. 2558 ในจำนวนนี้ธุรกิจค้าปลีกที่เป็นระบบ (organized retail) มีเพียง 6-8 % โดยสัดส่วนการตลาดของธุรกิจค้าปลีกหลัก ๆ ได้แก่ เสื้อผ้าและเครื่องประดับ (36 %) สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า (14 %) อาหารและเครื่องดื่ม (12 %) รองเท้า (9%) เป็นต้น แม้เศรษฐกิจอินเดียโดยรวมอาจจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติหนี้ยูโรโซน แต่ผมก็เชื่อมั่นว่าภาคเศรษฐกิจภายในของอินเดียยังคงแข็งแรง จะยังเติบโตได้ดี โดยแรงขับเคลื่อนหลักคือภาคการค้าปลีก เพราะประชากรอินเดียกว่า 1.3 พันล้านคนอย่างไรเสียก็ต้องใช้เงินจับจ่ายซื้อของกินของใช้ทุกวัน
สิ่งที่ยังเป็นที่ต้องการในธุรกิจค้าปลีกคือ นักลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความสามารถทางการเงิน และสามารถพัฒนาโครงการศูนย์การค้า (แต่ปัญหาหลักคือ การหาซื้อหรือเช่าที่ดินขนาดใหญ่ ซึ่งจะต้องเลือกเมืองที่ผู้บริหารให้การสนับสนุน) และการหาพันธมิตรเพื่อจัดการในเรื่องห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) หรือที่เรียกว่าเป็นบริการหลังบ้าน (Back-end infrastructure) ซึ่งในอินเดียจะขาดผู้ประกอบการที่มีความพร้อมในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการสโตร์ การจัดการคลังสินค้า การขนส่งและกระจายสินค้า บริการห้องเย็นและรถบรรทุกสินค้าเน่าเสียง่าย ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนพัฒนาศูนย์การค้าชาวอินเดียยังไม่มีความสามารถพอเพียง และเป็นโอกาสทองของผู้ประกอบการชาวไทยที่สนใจจะมาลงทุนเพื่อปูทางให้บริการเสริมเหล่านี้ หากไม่มีเงินพอหรือยังไม่กล้าที่จะลงทุนพัฒนาศูนย์การค้าแบบเบ็ดเสร็จของตนเอง
แม้จะยังเป็นที่ถกเถียงกันในสภาผู้แทนราษฎรอินเดีย แต่เชื่อว่าแนวนโยบายการเปิดเสรีธุรกิจค้าปลีกแบบหลากหลายยี่ห้อ (Multi-brand Retail) น่าจะเป็นจริงได้ในเร็ว ๆ นี้ โดยในขณะนี้ก็มีบริษัท IKEA ซึ่งเป็นห้างขายเฟอร์นิเจอร์ชั้นนำของสวีเดนกำลังเจรจากับรัฐบาลอินเดียและรัฐบาลของรัฐต่าง ๆ เพื่อจะเข้ามาเปิดสาขา และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศและประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ออกมากล่าวผลักดันให้อินเดียเปิดเสรีธุริกจค้าปลีกมากขึ้น
ในขณะนี้ไทยและอินเดียมีความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ระหว่างกันซึ่งครอบคลุมสินค้า 83 รายการ และยังมีความตกลงเขตการค้าเสรีภายใต้กรอบอาเซียน-อินเดียด้วย มูลค่าการค้าระหว่างไทย-อินเดียเมื่อปีที่แล้วมีเพียง 8,194 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ไทยส่งออกมาอินเดีย 5,181 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 3,102 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ดังนั้นจึงยังมีโอกาสที่จะเข้ามาบุกเบิกในธุรกิจค้าปลีกในอินเดียก่อนที่พื้นที่นี้จะถูกจับจองจนเต็มเสียก่อน
ก่อนจบรายงาน ขอฝากข่าวประชาสัมพันธ์ว่า ในวันที่ 14 กันยายน 2555 สถานทูตไทย ณ กรุงนิวเดลีร่วมกับสถานทูตอินเดียในไทยจะจัดการสัมมนาที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ โดยนำเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอินเดียไปบรรยายและตอบคำถามแก่นักธุรกิจของไทยที่ตั้งใจจะมาลงทุนทำธุรกิจในอินเดีย โดยเฉพาะในรัฐคุชราต (Gujarat) ซึ่งเป็นรัฐที่กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติเพราะมีความพร้อมหลาย ๆ ด้าน หากท่านใดสนใจสามารถติดต่อขอเข้าร่วมงานได้ที่ e-mail: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
สุนทร ชัยยินดีภูมิ
กรุงนิวเดลี
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ หน้า 10 ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,761 วันที่ 29 ก.ค. - 1 ส.ค. พ.ศ. 2555