พฤติกรรมการบริโภคของชาวอินเดียชั้นสูงในปัจจุบัน
พฤติกรรมการบริโภคของชาวอินเดียชั้นสูงในปัจจุบัน
Source: Twitter/coldplay
สำนักข่าวในอินเดียหลายสำนักรายงานข่าวการจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตของศิลปินวง Coldplayจำนวน 3 รอบ ที่จะจัดขึ้นในเดือนมกราคม 2568 ที่เมืองมุมไบ ว่าคอนเสิร์ตดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างสูง โดยบัตรคอนเสิร์ตสองรอบแรกในวันที่ 18 และ 19 มกราคม จำหน่ายหมดภายในไม่กี่นาที ทำให้ผู้จัดต้องเพิ่มรอบการแสดงอีกหนึ่งรอบในวันที่ 21 มกราคม 2568 มีราคาบัตรเริ่มต้นที่ 2,500 รูปี และสูงสุดถึง 35,000 รูปี มีผู้ลงทะเบียนรอซื้อบัตรคอนเสิร์ตทางออนไลน์ทั้ง 3 รอบถึง 13 ล้านคนภายในวันเดียว อย่างไรก็ดี พบว่ามีการนำบัตรคอนเสิร์ตดังกล่าวมาขายต่อในตลาดมืดและ platform ตลาดออนไลน์ต่าง ๆ ในราคาที่สูงมากถึงราว 3 แสนรูปี (ประมาณ 116,000 บาท)
เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นว่า ปัจจุบันคนอินเดียที่มีรายได้ดีสามารถเข้าถึงความหรูหราได้มากขึ้น และมีกำลังซื้อบริการและประสบการณ์ระดับ high-end ประเภทอาหาร ที่พัก และการเดินทางได้ นอกเหนือจากคอนเสิร์ตแล้ว กิจกรรมบันเทิงอื่น ๆ เช่น เทศกาลศิลปะ ดนตรี และการแสดงสด กลายเป็นความนิยมหลักในสังคมอินเดีย โดยเว็บไซต์ BookMyShow ผู้ให้บริการจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตและอีเวนต์รายงานว่า กิจกรรมความบันเทิงของอินเดียเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในปี 2566-2567เนื่องจากมีผู้ที่พร้อมซื้อประสบการณ์พรีเมียมเพิ่มขึ้นร้อยละ 82 โดยเฉพาะงานอีเวนต์จากต่างประเทศ โดยในปี 2567 มีผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z (อายุ 11-26 ปี) มากกว่าร้อยละ 45 ซื้อบัตรเข้าร่วมงานดนตรีสดผ่าน BookMyShow นอกจากนี้ ด้านการท่องเที่ยว พฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปจะเห็นได้ชัดเจนจากราคาห้องพักในโรงแรมหรูช่วงวันหยุดยาวของอินเดียในปี 2566 ที่สูงขึ้นแตะหลักแสนรูปี แต่ถึงกระนั้นที่พักก็ยังเต็มจนไม่สามารถจองได้ และตามข้อมูลของ MakeMyTripบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ชั้นนำของอินเดียที่ให้บริการจองตั๋วโดยสารเครื่องบิน โรงแรมและแพ็กเกจท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ แสดงให้เห็นว่าการจองห้องพักในโรงแรมราคาแพงเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 90 หลังจากเกิดการระบาดของ COVID-19 ระลอกแรก และร้อยละ 40 หลังจากระลอกที่สอง เป็นเครื่องบ่งชี้ความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการของอินเดีย ที่ประสบการณ์หรูหราและน่าจดจำกลายเป็นบรรทัดฐานในปัจจุบัน
รายงานของ Global Wealth Report โดย Credit Suisse ให้ข้อมูลว่า ในช่วงปี 2565-2567 ชาวอินเดียที่มีฐานะ “ร่ำรวย” หรือผู้มีสินทรัพย์สภาพคล่อง 5 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป มีจำนวนราวร้อยละ 2-4 ของประชากรอินเดียทั้งหมด เท่ากับประมาณ 30-60 ล้านคน (ร้อยละ 1 ในจำนวนนั้นเป็น “อภิมหาเศรษฐี” ที่มีสินทรัพย์สภาพคล่อง 10 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป) โดยชาวอินเดียกลุ่มนี้เริ่มเปลี่ยนความสนใจจากสินค้าหรูที่เป็นวัตถุมาเป็นการซื้อประสบการณ์ตรงต่าง ๆ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มไลฟ์สไตล์ทั่วโลกที่เรียกว่า "experience economy" ที่มีการเอ่ยถึงครั้งแรกในปี 2541ในหนังสือ The Experience Economy ของ Joseph Pine และ James Gilmore ว่า ธุรกิจต่าง ๆ ไม่สามารถแข่งขันได้เพียงแค่การเสนอสินค้าหรือบริการคุณภาพดีเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ต้องสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและมีความหมายให้กับผู้บริโภคด้วย โดยมีปัจจัยผลักดันสำคัญคือ (1) พฤติกรรมการบริโภคของรุ่น Millennials และ Gen Z (2) เทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์ที่ทำให้ผู้บริโภค “กลัวตกกระแส” (3) ความคาดหวังที่จะได้รับประสบการณ์ที่ออกแบบเฉพาะบุคคล (customized experiences) และ (4) การแสวงหาสุขภาพที่ดีและการพัฒนาตนเอง ที่ผู้บริโภคมองว่าเป็นการลงทุนในตัวเอง โดยในอินเดีย พฤติกรรมแสวงหาประสบการณ์พิเศษเริ่มชัดเจนขึ้นในช่วงปี 2553 เมื่อชาวอินเดียรุ่น Millennials (อายุ 25-40 ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มคนทำงานที่มีกำลังซื้อราวร้อยละ 78 หันมาให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่น่าจดจำมากกว่าการซื้อสินค้า ประกอบกับภายหลังการระบาดของ COVID-19 ชาวอินเดียต่างก็กระตือรือร้นที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อทดแทนช่วงเวลาที่ถูกล็อคดาวน์ และพร้อมจะจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อสัมผัสกับประสบการณ์ที่ทำให้เกิดความสุขทางใจและความทรงจำมีคุณค่าซึ่งเติมเต็มจิตใจมากกว่าวัตถุ
สำหรับประเทศไทย ภาครัฐสามารถใช้ประโยชน์จากกระแสความนิยม Experience Economy ในอินเดียในด้านการท่องเที่ยวและการส่งเสริม soft power ของไทยที่เชื่อมโยงกับความต้องการประสบการณ์ราคาแพง เช่น Luxury Travel: การท่องเที่ยวแบบส่วนตัวและการพักผ่อนในสถานที่พิเศษ Curated Experiences: ประสบการณ์ที่ออกแบบเฉพาะบุคคล Wellness Tourism: การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่เน้นการดูแลตัวเองและสุขภาพจิตใจ Exclusive Adventure: การท่องเที่ยวเชิงผจญภัยที่เข้าถึงได้ยาก นอกจากนี้ การจัดอีเวนต์ระดับโลก เช่น คอนเสิร์ต ศิลปะการแสดง หรืองานกีฬาแบบครบวงจรในประเทศไทย จะสามารถดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวอินเดียที่มีฐานะจำนวนมาก ช่วยสร้างรายได้แก่ท้องถิ่น และช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของไทยได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชนของไทย ก็ควรที่จะเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของนักท่องเที่ยวคุณภาพของอินเดียเหล่านี้ เมื่อพิจารณาว่าประเทศไทยมีภาพลักษณ์และพื้นฐานทรัพยากรทางด้านการท่องเที่ยวที่ดีอยู่แล้ว สำหรับนักท่องเที่ยวอินเดีย การยกระดับคุณภาพการให้บริการ หรือการสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์และน่าจดจำแก่นักท่องเที่ยวคุณภาพสูงเหล่านี้ จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวอินเดียนิยมกลับมาท่องเที่ยวซ้ำ และยังสามารถเพิ่มปริมาณการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเหล่านี้ในประเทศไทยได้อีกทางหนึ่งด้วย
สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ
ตุลาคม 2567