ความต้องการยางพาราในตลาดโลกจะยังคงขยายตัวสูงแบบก้าวกระโดดในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดยตลาดหลักสำคัญเป็นจีนและอินเดียที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ขณะที่ประเทศไทยจะเป็นผู้นำตลาดแบบไร้คู่แข่ง
จากการเข้าร่วมประชุม Kerala Rubber Convention 2011 ที่รัฐเกรละ แหล่งปลูกยางพาราสำคัญของอินเดีย ในปี 2554 นี้คาดว่าผลผลิตยางพาราอินเดียจะไม่พอเพียงกับความต้องการ และต้องนำเข้าไม่น้อยกว่า 144,000 ตัน โดยจะมีการนำเข้าจากไทยและอินโดนีเซียเป็นหลัก
สาเหตุสำคัญเนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์อินเดียมีการเติบโตสูง โดยในปี 2553 ขยายตัว 26% มียอดการผลิตถึง 15.5 ล้านคัน ขณะที่ผลผลิตยางพาราในประเทศเพิ่มขึ้นไม่มากนัก สำหรับแนวโน้มความต้องการยางพาราในตลาดโลกจะยังคงขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่องต่อไปในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยในปี 2558 คาดว่าจะมีความต้องการ 13.1 ล้านตัน และ ในปี 2563 จะเพิ่มเป็น 15.4 ล้านตัน จากปัจจุบันที่มีความต้องการ 11 ล้านตัน
สำหรับสถานการณ์ตลาดยางพาราโลกที่สำคัญ มีดังนี้
๑. การบริโภคยางในตลาดโลก ความต้องการยางพาราในตลาดโลกในปี 2554 มีราว 10.97 ล้านตัน ขยายตัว 4.6% ผู้บริโภครายใหญ่ ได้แก่ จีน (3.75 ล้านตัน) อินเดีย (1.06 ล้านตัน ) สหรัฐ (879,000ตัน) และญี่ปุ่น (769,000 ตัน) โดยปัจจัยเกื้อหนุนที่สำคัญ คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ที่เติบโตสูงในจีนและอินเดีย แนวโน้มความต้องการยางพาราในตลาดโลกจะยังคงขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่องใน 10 ปีข้างหน้า โดยในปี 2558 คาดว่าจะมีความต้องการ 13.1 ล้านตัน และ ในปี 2563 จะเพิ่มเป็น 15.4 ล้านตัน ขณะที่ผลผลิตจะมีเพียง13.8 ตัน จึงเป็นที่เกรงกันว่าอาจเกิดการขาดแคลนยางพาราในอนาคตอันใกล้
ในส่วนของจีน ในปี 2553 จีนมีการบริโภคยางพารา 3.75 ล้านตัน แต่กลับมีผลผลิตในประเทศเพียง 20% ของความต้องการ และมีแนวโน้มลดต่ำกว่าความต้องการสูงยิ่งขึ้น จีนจึงต้องนำเข้ายางพาราเป็นหลัก และต้องเข้าไปลงทุนปลูกยางในเวียดนามด้วย ผู้บริโภคสำคัญในจีนเป็นอุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์คิดเป็น 70% ของการบริโภครวม ปัจจุบันจีนมีพื้นที่ปลูกยางรวมทั้งสิ้นกว่า 6 .5 ล้านไร่ ผลิตยางพาราได้ 687,000 ตันต่อปี สมาคมยางธรรมชาติของจีน (CNRA) คาดว่าอุปสงค์ยางพาราของในจีนปี 2558 จะพุ่งสูงเกิน 4.8 ล้านตัน เฉพาะอุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์เพียงอุตสาหกรรมเดียวจะต้องการยางพารากว่า 3.3 ล้านตันในปี 2558
![](/images/stories/rubber01.jpg)
๒. ผลผลิตยางพาราโลก สถาบัน International Rubber Productivity รายงานว่า ผลผลิตยางพาราโลก ในปี 2554 จะมีราว 10.99 ล้านตัน โดยผู้ผลิตสำคัญ ได้แก่ ไทย (3.44 ล้านตัน) อินโดนิเซีย (2.86 ล้านตัน) มาเลเซีย (1.11 ล้านตัน) อินเดีย (916,000 ตัน) และเวียดนาม (795,000 ตัน -เป็นการลงทุนโดยจีน) ไทยยังคงครองความเป็นผู้นำในการผลิตยางพาราไว้ได้อย่างเหนียวแน่น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศโลก ทำให้ภาคอีสานของไทยมีความชื้นสูงขึ้น เหมาะแก่การปลูกยางพารา กล่าวโดยสรุป ประเทศไทย ณ ปัจจุบันสามารถปลูกยางพาราได้ทุกพื้นที่ของประเทศในทุกๆ จังหวัด
๓. พื้นที่เพาะปลูกยางอินเดีย อินเดียมีพื้นที่ปลูกยาง 4.3 ล้านไร่ (ไทย 16 ล้านไร่) ผลผลิตต่อไร่ของอินเดีย 285.44 กิโลกรัม/ไร่ (ไทย ประมาณ 280 กิโลกรัม/ไร่) อย่างไรก็ตามพื้นที่เพาะปลูกยางของอินเดียส่วนใหญ่ 76% กระจุกตัวอยู่ที่รัฐเกรละเป็นหลัก โดยเป็นรัฐที่ผลิตยางพาราได้ถึง 92%
ของอินเดียแม้ว่าจะมีความพยายามปลูกที่รัฐอื่นเพิ่มเติม แต่ผลผลิตต่อไร่ก็ไม่สูงเท่าเกรละ (ฤดูฝนของเกรละเป็นช่วง มิย.-ส.ค.) ซึ่งเป็นรัฐเดียวที่มีภูมิประเทศและฝนตกชุกคล้ายภาคใต้ของไทย แม้จะมีความพยายามพัฒนาสายพันธุ์ยางฯ ให้ทนอากาศร้อนและสามารถปลูกนอกเกรละแต่ก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร อินเดียกำลังพิจารณาลงทุนปลูกยางพาราในแอฟริกาเพื่อตอบรับกับปัญหายางพาราที่จะขาดแคลนในอนาคต
๔. อุตสาหกรรมยานยนต์อินเดียเป็นผู้บริโภคยางพารารายใหญ่ โดยมีสัดส่วนถึง 62%
ในปี 2553 อินเดียมีการผลิตยานยนต์ 15.5 ล้านคัน ขยายตัว 26% (จีน 18.1 ล้านคัน ขยายตัว 32% สำหรับในปี 2554 คาดว่าจะขยายตัว 15%) ทั้งนี้การผลิตยานยนต์อินเดียแบ่งเป็น จักรยานยนต์ 76% รถยนต์นั่งส่วนบุคคล 16.25% รถบัสและรถบรรทุก 4.36% รถสามล้อเครื่อง 3.39%
อุตสากรรมหลักที่มีการบริโภคยางพารา ได้แก่ ยางรถยนต์/จักรยานยนต์ (55%)ยางจักรยาน/ยางใน (11%) รองเท้า (10%) สายยาง (5%) และอื่นๆ (19%)
๕. อุปสงค์-อุปทานยางพาราในอินเดีย
ในปี 2554 คาดว่าอินเดียจะบริโภคยางพารา 1.06 ล้านตัน (ขยายตัว 5.2%) ขณะที่คาดว่าจะมีผลผลิตเพียง 916,000 ตัน จึงต้องมีการนำเข้าประมาณ 144,000 ตัน (เพิ่มขึ้น 105%) อินเดียมีแนวโน้มต้องนำเข้ายางพาราเพิ่มมากขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยปี 2553 อินเดียมีการนำเข้ายางจากต่างประเทศเป็นปริมาณมากกว่า 70,000 ตัน เพิ่มขึ้น 42% แหล่งนำเข้าสำคัญอันดับ 1 คือ อินโดนีเซีย(48%) รองลงมาเป็น ไทย (37%) และศรีลังกา (7%) ตามลำดับ โดยเป็นการนำเข้าจากไทย 196 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นสูงถึง 78% ทั้งนี้สมาคมผู้ผลิตยางรถยนต์ (Atma) ให้ความเห็นว่าความต้องการนำเข้ายางพาราที่แท้จริงของอินเดียมีสูงถึง 200,000 ตันต่อปี ทั้งนี้รัฐบาลสนับสนุนให้มีการรีไซเคิลยางมากขึ้น แต่นั่นไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริงในขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์มีการเติบโตสูงถึง 26% ต่อปี
![](/images/stories/rubber02.jpg)
๖. การเปิดตลาดยางพาราในอินเดีย อินเดียมีผู้ผลิตยางรถยนต์ รายใหญ่ 7 ราย มีส่วนแบ่งตลาด 85% ของตลาดยางรถยนต์ ประกอบด้วยยี่ห้อ MRF, Apollo, JK Inds, CEAT, Goodyear, Bridgestone และ Falcon ซึ่งบริษัทดังกล่าวได้เข้าร่วมพบปะกับผู้ประกอบการยางพาราและไม้ยางพาราจากจังหวัดตรังนำโดยพาณิชย์จังหวัด นายสุรัตน์ธาดา พิชยาภรณ์ ที่เยือนเมืองเจนใน ระหว่างวันที่ 10-12 กรกฎาคม 2554 ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง คาดว่าในปี 2554 นี้ยอดการส่งออกไม้ยางพาราจะเพิ่มขึ้นเป็น 20,000 ล้านบาท หรือขยายตัว หรือขยายตัว 20% เมื่อเทียบกับปี 2553 อันเป็นผลโดยตรงจากการเปิดตลาดยางในอินเดียในครั้งนี้ ในส่วนของยางแผ่น ก็ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการยางรถยนต์กันอย่างคับคั่งไม่แพ้กัน เนื่องจากปัจจุบันอินเดียผลิตยานยนต์ได้ถึงปีละ 15 ล้านคัน ขยายตัวปีละ 25% ขณะที่การผลิตยางพาราในประเทศกลับไม่พอกับกับความต้องการของอุตสาหกรรมยานยนต์ จึงนับเป็นโอกาสดีที่จะสามารถขยายช่องทางตลาดสำคัญอย่างอินเดียเพื่อรองรับการขยายพื้นที่ปลูกยางเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านไร่ของไทยในปัจจุบัน
กล่าวโดยสรุป ประเทศไทยมีความได้เปรียบในการแข่งขันสูงในตลาดยางพาราโลก ในขณะที่ความต้องการยางพารายังคงทะยานสูงขึ้นอย่างไม่มีท่าทีจะลดลงในอนาคตอันใกล้ จึงกล่าวได้ว่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า หากสถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก จะยังคงเป็นปีทองของผู้ประกอบการยางพาราไทยอย่างแน่นอน
ดร. ไพศาล มะระพฤกษ์วรรณ
ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าฯ
ณ เมืองเจนไน
สไลด์ประกอบ
บทความเกี่ยวข้อง: ขุมทองยางไทยกับตลาดกำลังโตในอินเดีย