ทูตไทยนำทีมบริษัทการบินไทยสำรวจไวแซ็ก พบโอกาสนำนักไอทีอินเดียบินเข้าซิลิคอนแวลเลย์ รัฐบาลท้องถิ่นและเอกชนไวแซ็กเรียกร้องบินตรงกรุงเทพฯ เชื่อผู้โดยสารเลือกบินผ่านกรุงเทพฯ แน่นอน
เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ที่ผ่านมา นายพิศาล มาณวพัฒน์ ทูตไทยประจำอินเดีย พร้อมด้วยนายกรกฏ ชาตะสิงห์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัทการบินไทยประจำอินเดีย ได้เดินทางไปยังเมืองวิศาขาปัฏฏนัม หรือ ไวแซ็ก รัฐอานธรประเทศ ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย เพื่อเข้าร่วมรับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับโอกาสทางการบินที่เมืองไวแซ็ก
การบรรยายครั้งนี้ จัดโดย Vizag Development Council (VDC) ตามความประสงค์ของนาง Daggubati Purandeswari รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมอินเดีย ซึ่งเป็น ส.ส. จากไวแซ็ก และภาคเอกชนไวแซ็ก โดยนอกจากนาง Purandeswari และข้าราชการระดับสูงของเมือง ยังมีผู้แทนจากภาคธุรกิจท่องเที่ยวและเอกชนไวแซ็กเข้าร่วมรับฟังประมาณ 200 คน
นาย Naresh Kumar รองประธาน VDC กล่าวระหว่างการบรรยายสรุปว่า ไวแซ็กซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของรัฐอานธรประเทศ รองจากไฮเดอราบาด มีระยะห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 1,905 กม. ซึ่งถือว่าใกล้มาก จะใช้เวลาบินประมาณ 2.5 ชม. เมื่อเทียบกับไฮเดอราบาด (2,400) และเจนไน (2,254) ซึ่งเป็นเมืองที่ปัจจุบันผู้โดยสารมักจะใช้ต่อเครื่องไปไทย นอกเหนือจากกัลกัตตา (1,518) ซึ่งเป็นจุดที่ใกล้ไทยที่สุดจากอินเดีย
ไวแซ็กเป็นเมืองชายหาดที่ขึ้นชื่อทั้งด้านอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว
ไวแซ็กยังเป็นเมืองชายฝั่งที่เป็นที่ตั้งของฐานทัพเรืออินเดีย Eastern Navy Command มีท่าเรือขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของอินเดีย ขนส่งสินค้าปริมาณ 65 ล้านตันต่อปี อุตสาหกรรมที่สำคัญของเมือง ได้แก่ อุตสาหกรรมด้านไอทีและการท่องเที่ยว มีชายหาดทอดยาว สถานที่ท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรม รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวเชิงพุทธ
ในอนาคตอันใกล้ไวแซ็กจะได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว เพราะขณะนี้รัฐบาลอินเดียเตรียมแยกรัฐใหม่ โดยเมืองไฮเดอราบาดและไวแซ็กแยกออกไปอยู่คนละรัฐ ไวแซ็กจะได้เปรียบเพราะมีทางออกสู่ทะเล คาดว่า การค้าและการลงทุนจะไหลกลับไปที่ไวแซ็กจากไฮเดอราบาดอย่างรวดเร็ว
หากพิจารณาถึงขนาดตลาดผู้โดยสาร แม้ไวแซ็กจะมีประชากรเพียง 2 ล้านคน แต่สนามบินเมืองไวแซ็กเป็นศูนย์กลางการบินของประชากรประมาณ 30 ล้านคน ในรัศมี 250 กิโลเมตร ซึ่งครอบคลุมทั้งรัฐอานธรประเทศ รัฐฉัตตีสครห์ และรัฐโอริสสา ปัจจุบัน มีเที่ยวบินระหว่างประเทศสองเส้นทาง ได้แก่ ไวแซ็ก-สิงคโปร์ (Silk Air) และไวแซ็ก-ดูไบ (Air India) โดย Silk Air ทำการบิน 3 เที่ยวต่อสัปดาห์ อัตราบรรทุกผู้โดยสารสูงถึงร้อยละ 90-95 ในช่วงสุดสัปดาห์ และ 70 ในช่วงวันธรรมดา เพราะได้รับผู้โดยสารต่อเครื่องไปยังประเทศอื่นๆ รวมถึงนักไอทีชาวอินเดียที่ทำงานในซิลิคอนแวลลีย์ สหรัฐอเมริกาด้วย
ผู้จัดการการบินไทยประจำอินเดียกล่าวต่อที่ชุมนุมเอกชนไวแซ็ก
ภายหลังรับฟังการบรรยายสรุป ทูตไทยได้ขึ้นกล่าวต่อที่ประชุมโดยแสดงความเชื่อมั่นว่า ไวแซ็กเป็นเมืองที่มีศักยภาพสำหรับสายการบินของไทย โดยเฉพาะไทยสมายล์ ด้วยระยะทางที่ใกล้กับไทย ทำให้สามารถใช้เครื่อง A320 ที่จอดทิ้งค้างไว้มาใช้บินตอนกลางคืนได้ ค่าใช้จ่ายในการทำการบินก็ถูกกว่า โดยนอกจากผู้โดยสารแล้ว ยังมีโอกาสสำหรับการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะยาที่อินเดียผลิตส่งไปยังญี่ปุ่นจำนวนมาก ที่ผู้ผลิตต้องการร่นเวลาการขนส่งมากที่สุดเพื่อควบคุมคุณภาพยา
นอกจากนี้ การที่ Silk Air ของสิงคโปร์เข้าไปทำการบินได้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า ไวแซ็กมีตลาดขนาดใหญ่พอที่ไทยสมายล์จะเข้าไปทำการบินแข่ง หรือ บินในวันที่ Silk Air ยังไม่บินได้ เพราะชาวอินเดียชื่นชอบประเทศไทยเป็นทุนอยู่แล้ว อีกทั้งไทยมีบริการ Visa on Arrival สำหรับชาวอินเดีย ซึ่งสะดวกกว่าการต้องขอวีซ่าล่วงหน้าไปสิงคโปร์
ดังนั้น หากผู้บริหารบริษัทการบินไทยประเมินแล้วเห็นว่ามีความเป็นไปได้ทางธุรกิจและพร้อมให้การสนับสนุนในการเปิดบินกรุงเทพฯ-ไวแซ็ก ตนก็เชื่อมั่นว่า จะเป็นประโยชน์ในการตอบสนองนโยบายเชื่อมโยง เพิ่มการท่องเที่ยว และการค้าการลงทุนในที่สุด
ด้านผู้จัดการการบินไทยกล่าวปิดท้ายว่า ตนเดินทางไปไวแซ็กครั้งนี้เพื่อมาสำรวจในเบื้องต้น การพิจารณาว่าจะเปิดบินได้หรือไม่คงต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย โดยเฉพาะความเป็นไปได้ในทางธุรกิจ ซึ่งคงต้องใช้เวลาในการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเสนอให้สำนักงานใหญ่พิจารณาตามกระบวนการภายในต่อไป
ทั้งนี้ ปัจจุบัน สายการบินไทยและไทยสมายล์ทำการบินไปยังอินเดียทั้งหมด 8 จุดบิน รวมทั้งสิ้น 58 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยเส้นทางบินที่ไทยสมายล์เปิดตัวเข้ามาบินในอินเดียเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้แก่ กรุงเทพฯ –อาห์เมดาบาด (รัฐคุชราต) ภูเก็ต-นิวเดลี และภูเก็ต-มุมไบ
ประพันธ์ สามพายวรกิจ
รายงานจากกรุงนิวเดลี
4 กันยายน 2556