เมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารกลางอินเดีย หรือ Reserve Bank of India ได้ประกาศเรียกคืนธนบัตรเงินรูปีที่ผลิตเข้าสู่ระบบก่อนปี พ.ศ. 2548 โดยมุ่งเป้าไปที่การกำจัดธนบัตรปลอมที่มีการผลิตออกมาในช่วงดังกล่าวจำนวนมากออกไปจากระบบเงินตราอินเดีย
ตั้งแต่ 1 เม.ย. 57 เป็นต้นไป ธนาคารกลางหรือแบงก์ชาติอินเดียได้เปิดให้ประชาชนนำธนบัตรเงินรูปีที่พิมพ์ก่อนปี 2548 (สังเกตได้จากด้านหลังของธนบัตร จะไม่มีปีที่พิมพ์กำกับ) ไปแลกเปลี่ยนเป็นธนบัตรรุ่นใหม่ได้ที่ธนาคารพาณิชย์สาขาใดก็ได้ทั่วประเทศ
การดำเนินการดังกล่าว เป็นความพยายามของธนาคารกลางอินเดียที่ต้องการแก้ปัญหาธนบัตรปลอม (ธนบัตรมูลค่า 500 รูปีถูกลักลอบพิมพ์มากที่สุด รองมาคือธนบัตรมูลค่า 1,000 รูปี) โดยตั้งแต่ปี 2548 ธนาคารกลางอินเดียได้จัดพิมพ์ธนบัตรรุ่นใหม่ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ (Security features) ที่ลอกเลียนได้ยาก
ทั้งนี้ แม้ธนาคารกลางอินเดียจะไม่ได้กำหนดวันสุดท้ายที่จะอนุญาตให้แลกคืนธนบัตรเก่า แต่หลังจากวันที่ 1 กรกฎาคม 2557 เป็นต้นไป ผู้ที่จะนำธนบัตรมูลค่า 500 รูปีและ 1,000 รูปีที่พิมพ์ก่อนปี 2548 มากกว่า 10 ฉบับไปแลกกับธนาคารที่ตนไม่ได้เปิดบัญชีไว้ จะต้องแสดงบัตรประจำตัว และเอกสารถิ่นที่อยู่ (proof of identity and residence) ต่อธนาคารด้วย ขณะที่ผู้ที่ต้องการนำธนบัตรมูลค่ารวมกว่า 50,000 รูปีมาแลก จะต้องแสดงเลขบัญชีถาวร (Permanent Account Number – PAN) หรือเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ตาม กม. ป้องกันการฟอกเงิน
หากระหว่างทำการการแลกเปลี่ยนธนบัตร และพบว่ามีธนบัตรปลอมเกิน 5 ฉบับ เจ้าของธนบัตรจะต้องทำการแจ้งความด้วย
จากประมาณการของธนาคารกลางอินเดีย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2556 มีธนบัตรที่พิมพ์ก่อนปี 2548 อยู่ในระบบจำนวนไม่มาก ประมาณ 73.51 พันล้านฉบับ ในจำนวนนี้มีธนบัตรมูลค่า 500 รูปีร้อยละ 14.6 และมูลค่า 1,000 รูปีร้อยละ 5.9
สื่อมวลชนอินเดียรายงานว่า ณ เดือนมีนาคม 2555 มีธนบัตรปลอมถูกใช้อยู่ในระบบถึง 5 แสนฉบับ เพิ่มจากปี 54 ถึงร้อยละ 31 และปัจจุบัน เศรษฐกิจนอกระบบของอินเดียมีขนาด 1 ใน 3 ของ GDP หรือประมาณ 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (30 ล้านล้านรูปี) หากถูกนำมาเปิดเผยและคำนวนภาษีในอัตราร้อยละ 33 จะสร้างรายได้ให้รัฐได้ถึงประมาณ 10 ล้านล้านรูปี
ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านออกมาวิเคราะห์ว่า มาตราของธนาคารกลางอินเดียจะส่งผลกระทบที่ไม่ได้คาดหมายต่อราคาทองคำและอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากผู้ที่ต้องการกำจัดธนบัตรปลอม/ธนบัตรรุ่นเก่าจำนวนมาก จะนำไปแลกเปลี่ยนเป็นทองคำหรืออสังหาริมทรัพย์ และอาจทำให้เกิดอาชีพใหม่ คือ การเป็นนายหน้าแลกเปลี่ยนธนบัตร และกล่าวด้วยว่า มาตรการของธนาคารกลางอินเดียที่ประกาศในครั้งนี้ เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จะต้องมีการปฏิรูปเศรษฐกิจทั้งระบบถึงจะสามารถจัดการกับ black money และเศรษฐกิจนอกระบบของอินเดียได้อย่างแท้จริง และได้ตั้งคำถามไว้ว่า ธนาคารต่างๆ จะพร้อมรองรับกับปริมาณธนบัตรที่รอแลกเปลี่ยนอยู่หรือไม่ อย่างไร
สื่อมวลชนอินเดียยังวิเคราะห์อีกว่า มาตรการของธนาคารกลางอินเดียที่ออกมาก่อนการเลือกตั้งทั่วไปเพียงไม่กี่เดือน อาจเป็นการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องนี้ นาย Raghuram Rajan ผู้ว่าธนาคารกลาง อินเดียกล่าวยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน เพราะกระทรวงคลังอินเดียมีมาตรการถอนคืนธนบัตรมานานแล้ว และได้ใช้กับธนาคารต่างๆ เรื่อยมา แต่ประชาชนยังไม่เคยได้รับทราบนโยบายดังกล่าว
นาย Rajan ยังกล่าวอีกว่า ความพยายามที่จะจัดการกับธนบัตรปลอมด้วยการจัดพิมพ์ธนบัตรรุ่นใหม่ที่มีลักษณะเฉพาะจะไม่สัมฤทธิ์ผล หากธนบัตรปลอมยังคงถูกใช้อย่างแพร่หลายอยู่ในระบบ
ถึงแม้ว่าธนาคารกลางอินเดียจะพยายามโน้มน้าวให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนกกับมาตรการดังกล่าว โดยอ้างว่า เป็นแนวปฏิบัติปกติที่ธนาคารกลางทั่วโลกกระทำกันเพื่อยกเลิกธนบัตรรุ่นเก่าๆ จากรายงานข่าวปรากฏว่า ร้านขายของเล็กๆ ต่างเริ่มปฏิเสธไม่ยอมรับธนบัตรรุ่นเก่ากันแล้ว ทั้งนี้ ปัจจุบัน ธนบัตรรูปีอินเดียมีมูลค่าตั้งแต่ 5 รูปี 10 รูปี 20 รูปี 50 รูปี 100 รูปี 500 รูปี และ 1,000 รูปี
คลิกที่นี่ เพื่อตรวจสอบธนบัตรเก่า
พจมาศ แสงเทียน
รายงานจากกรุงนิวเดลี
3 มีนาคม 2557