อินเดียเป็นประเทศที่กำลังเนื้อหอม โดยนักลงทุนต่างชาติจากทั่วโลกต่างสนใจที่จะเข้ามาลงทุนมากที่สุด ก็คือ มอริเชียส โดยลงทุนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยสิงคโปร์ อังกฤษ ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ สหรัฐฯ ไซปรัส เยอรมนี ฯลฯ โดยรัฐบาลอินเดียได้เปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ในหลายสาขาอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน การบิน เทคโนโลยีชีวภาพ การก่อสร้าง พลังงาน ไอที เวชภัณฑ์ อิเล็คทรอนิกส์ และภาคบริการ เช่น การท่องเที่ยวและการธนาคาร เป็นต้น
สำหรับการลงทุนของไทยนั้น ภาคเอกชนไทยได้เข้ามาลงทุนในอินเดียไม่น้อยเหมือนกัน โดยอยู่ในลำดับที่ 35 ตั้งแต่ปี 2543 - เดือนเมษายน 2558 มีมูลค่าการลงทุนทางตรงของไทยในอินเดียรวม 204.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
![Thai Summit Sri City pix](/images/2015/Thai_Summit_Sri_City_pix.jpg)
คณะผู้เยี่ยมเยือนจากประเทศไทยถ่ายภาพร่วมกับผู้บริหารและทีมงานของบริษัทไทยซัมมิท ออโตพาร์ท อินเดีย
ดิฉันได้มีโอกาสเดินทางร่วมไปกับคณะผู้แทนจากสำนักเศรษฐกิจอุตสาหกรรมระหว่างประเทศและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นำโดยท่านผู้อำนวยการวีรศักดิ์ ศุภประเสริฐ และ ผศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ไปเยี่ยมเยือนและสัมภาษณ์พูดคุยกับผู้บริหารของบริษัทไทยที่เข้ามาลงทุนในอินเดียเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2558 ที่ผ่านมา
โดยในช่วงเย็นภายหลังจากที่ได้เดินทางไปศึกษาดูงานที่เขตนิคมอุตสาหกรรม Sri City ซึ่งอยู่ที่บริเวณตะเข็บรอยต่อระหว่างรัฐทมิฬนาฑูกับรัฐอานธรประเทศแล้ว ดิฉันได้ติดตามคณะไปยังโรงงานของบริษัท ไทยซัมมิท ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม Vallam Vadagal SIPCOT Industrial Park เขตอำเภอกาญจีปุรัม (Kancheepuram) ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองเจนไน รัฐทมิฬนาฑูไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 46 กิโลเมตร
![Thai Summit Sri City factory pix](/images/2015/Thai_Summit_Sri_City_factory_pix.jpg)
โรงงานของบริษัทไทยซัมมิท ออโตพาร์ท อินเดีย
ที่โรงงานของบริษัทไทยซัมมิท เราได้พบกับคุณสมชัย จงเจริญทวีสุข ผู้บริหารของบริษัทไทยซัมมิท ออโตพาร์ท อินเดีย และทีมงานผู้จัดการของบริษัทกว่า 6 ชีวิต ซึ่งรอต้อนรับคณะอยู่ถึงแม้จะเป็นเวลาเย็นเลิกงานแล้ว
คุณสมชัยฯ และทีมงานผู้บริหารได้เล่าให้ฟังว่า โรงงานของบริษัทไทยซัมมิทแห่งนี้ เป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนโครงสร้างที่เป็นเหล็กสำหรับรถสกูตเตอร์และรถมอเตอร์ไซค์ จดทะเบียนบริษัทในอินเดีย เมื่อปี 2556 โดยใช้ชื่อว่า Thai Summit Autoparts India Private Ltd. และเริ่มดำเนินงานและผลิตสินค้าเมื่อปี 2557 ที่ผ่านมา โดยการลงทุนช่วงเฟสแรกนี้มีมูลค่ารวมสูงถึง 800 ล้านรูปี
ไทยซัมมิทได้รับความไว้วางใจจากบริษัทยามาฮ่าซึ่งได้ชักชวนให้มาร่วมงานด้วยกัน โดยทำการผลิตชิ้นส่วนโครงสร้างเหล็กทั้ง body part และ frame part ป้อนให้กับโรงงานผลิตรถมอเตอร์ไซค์ของยามาฮ่า พร้อมกับโรงงานซัพพลายเออร์ของญี่ปุ่นอีก 8 โรงงาน ภายใต้แนวคิด “One Factory Concept”
โรงงานของยามาฮ่าตั้งใจให้ทั้ง 9 บริษัทซัพพลายเออร์ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่เดียวกัน เพื่อลดต้นทุนด้านการจัดการและการขนส่ง รวมทั้งลดการนำเข้าชิ้นส่วนบางส่วนจากต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้โรงงานสามารถสร้างกำไรได้มากขึ้น โดยเรียกโครงการนี้ว่า Yamaha Vendor Park
![Thai Summit Sri City side pix](/images/2015/Thai_Summit_Sri_City_side_pix.jpg)
บริเวณด้านหน้าของโรงงานไทยซัมมิทในเขตนิคมอุตสาหกรรม Vallam Vadagal SIPCOT Industrial Park กำลังก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับโครงการ Yamaha Vendor Park
การที่เป็นบริษัทไทยเพียงบริษัทเดียวที่ได้รับเลือกจากบริษัทยามาฮ่าให้เป็นซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนอะไหล่จักรยานยนต์นี้ ถือเป็นความภูมิใจของบริษัทไทยซัมมิทอย่างยิ่ง และเป็นการแสดงถึงศักยภาพและความสามารถในการผลิตของบริษัทซึ่งก้าวเข้าสู่มาตรฐานสากล
”ที่โรงงานแห่งนี้ ไทยซัมมิทผลิตงานเหล็กของตัวโครงมอเตอร์ไซต์ทั้งหมด โดยเป็นบริษัทไทยเพียงบริษัทเดียวที่ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทยามาฮ่า ขณะที่ซัพพลายเออร์ของอินเดียแม้จะมีจำนวนมาก แต่จุดที่เป็นปัญหาคือ capacity ต่ำ จึงทำให้คุณภาพมีปัญหา” คุณสมชัยฯ กล่าว
สำหรับตลาดรถจักรยานยนต์ของอินเดียนั้น ถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทั้งในแง่ของการผลิตและยอดขาย โดยตั้งแต่เดือนเมษายน 2557– มกราคม 2558 ตลาดรถจักรยานยนต์สองล้อ คือรวมทั้งรถมอเตอร์ไซค์และรถสกูตเตอร์ของอินเดียมีการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 8.7 และมียอดจำหน่ายรวม 16.5 ล้านคัน
บริษัทที่ผลิตรถจักรยานยนต์สองล้อเจ้าใหญ่ของอินเดีย ก็ได้แก่ Hero MotorCorp ซึ่งมีส่วนแบ่งของตลาดรวมร้อยละ 40 บริษัท Bajat Auto บริษัท Honda Motorcycle & Scooter India ซึ่งมาส่วนแบ่งทางการตลาดของรถสกูตเตอร์มากที่สุด และบริษัท TVS Motor มีส่วนแบ่งทางการตลาดของรถสกูตเตอร์ราว ร้อยละ ๑๕ ขณะที่บริษัทยามาฮ่ามีส่วนแบ่งในลำดับรองๆ ลงมา
บริษัทยามาฮ่าเข้ามาลงทุนที่อินเดียและเปิดโรงงานผลิตรถจักรยานยนต์แห่งแรกในอินเดียตั้งแต่ปี 2528 โดยจดทะเบียนในนาม India Yamaha Motor Pvt.Ltd. หรือมีชื่อย่อว่า IYM ก่อนหน้าการตั้งโรงงานแห่งที่สามนี้ บริษัทยามาฮ่ามีโรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ในอินเดียอยู่แล้ว ๒ โรงงาน คือ โรงงานที่เมือง Faridabad ในรัฐหรยาณา และที่เมือง Surajpur ในรัฐอุตตรประเทศ
โรงงานแห่งใหม่ของยามาฮ่านี้ ใช้งบประมาณก่อสร้างทั้งสิ้น 15,000 ล้านรูปี โดยมีเป้าหมายที่จะผลิตรถมอเตอร์ไซค์ป้อนตลาดอินเดียในช่วงแรกประมาณ 4.5 แสนคันต่อปี และจะเพิ่ม การผลิตไปถึง 1.8 ล้านคันภายในปี 2561 รุ่นมอเตอร์ไซค์ที่ผลิตที่โรงงานนี้ คือ Saluto 125 ซีซี และรถสกูตเตอร์ รุ่น Ray และ Alpha 110 ซีซี โดยยามาฮ่าวาง position ของรถจักรยานยนต์อยู่ในกลุ่ม high-end premium bike หรือ superbike
สำหรับการเข้ามาลงทุนในอินเดียของไทยซัมมิทในอินเดียนี้ มิใช่ครั้งแรก แต่บริษัทได้เข้ามาลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในอินเดียมาก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่ปี 2546 เพราะเล็งเห็นศักยภาพของจำนวนประชากรและโอกาสทางธุรกิจสืบเนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอินเดีย
แรกเริ่มบริษัทเข้ามาในอินเดียโดยทำ Joint Venture กับบริษัท JBM group ของอินเดีย เพื่อผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ป้อนให้กับบริษัทผลิตยานยนต์หลายแห่งทั้งของอินเดียและญี่ปุ่น เช่น บริษัท Bajat บริษัท TVS บริษัท Hero MotorCorp และ Suzuki เป็นต้น โดยมีโรงงานผลิตอะไหล่ยานยนต์ อะไหล่จักรยานยนต์สองล้อและสามล้อในอินเดียอยู่หลายแห่ง เช่น ที่เมืองกูร์กาวน์ (Gurgaon) เมืองปูเน่ (Pune) เมืองโฮซุร์ (Hosur) และเมืองปันท์ นาการ์ (Pantnagar) เป็นต้น แต่มาภายหลัง ได้แยกออกมาดำเนินกิจการเองเมื่อปี 2555
ในการเปิดกิจการและเข้ามาลงทุนของบริษัทไทยในอินเดียนั้น คุณสมชัยฯ ให้ข้อสังเกตจากประสบการณ์ว่า “การทำ Joint Venture ที่อินเดียไม่ง่าย โดยเฉพาะเรื่องการควบคุมเรื่องกำไร หากคุมต้นทุนไม่อยู่ โดยเฉพาะเรื่อง Transfer pricing ที่ค่อนข้างสูง นอกจากนี้ เอกชนเองต้องมีความเข้มแข็ง บุคลากรเองต้องมีความพร้อมที่จะออกมา ต้องเข้าใจวัฒนธรรม (ของอินเดีย) ภาคเอกชนไทยควรต้องศึกษาเรื่องกฏหมายของอินเดีย โดยเฉพาะกฎหมายภาษี กฏหมายโรงงาน ซึ่งมีความละเอียดยิบย่อยสูงด้วย”
![Thai Summit Sri City team pix](/images/2015/Thai_Summit_Sri_City_team_pix.jpg)
ทีมงานคุณภาพของบริษัทไทยซัมมิท ออโตพาร์ท อินเดียถ่ายภาพร่วมกับคณะด้านหน้าทางเข้า ภายหลังการพาชมสายการผลิตภายในโรงงาน
ปัจจุบัน โรงงานของไทยซัมมิทที่รัฐทมิฬนาฑูมีพนักงานไทยรวม ๒๐ คน และบางช่วงมีการนำพนักงานจากประเทศไทยเข้ามาทำงานเพิ่มเติมชั่วคราว โดยเฉพาะหากมีความจำเป็นที่จะต้องอบรมหรือถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับพนักงานชาวอินเดีย อย่างไรก็ดี โรงงานแห่งนี้มีเป้าหมายที่จะใช้เทคโนโลยีในการผลิต โดยนำระบบเครื่องจักรอัตโนมัติ (automation) มาใช้ให้มากขึ้น โดยให้มีสัดส่วนถึงร้อยละ ๕๐
นอกจากนี้ ไทยซัมมิทยังมองว่า ด้วยพื้นที่ตั้งของสองโรงงานของบริษัทที่อยู่ในเขตอำเภอกาญจีปุรัมแห่งนี้ และที่เมืองบังคาลอร์อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งต่างอยู่ในเขตฮับอุตสาหกรรมยานยนต์ของอินเดียตอนใต้ จัดว่าเป็นโลเกชั่นที่ดีที่สามารถเชื่อมโยงด้านโลจิสติกส์กับกลุ่มโรงงานผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกัน ทั้งในเขตรัฐทมิฬนาฑู เช่น Hyundai Mitsubishi Nissan Renault & Daimler Ford และ BMW และในเขตรัฐกรณาฏกะ เช่น Toyota Scannia และ Volvo เป็นต้น และด้วยความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะก้าวไปสู่การเป็น global player ทางบริษัทฯ จึงมีเป้าหมายที่จะพัฒนาความร่วมมือกับบริษัทยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลกและของอินเดียอื่นๆ ให้ใกล้ชิดมากขึ้นต่อไปในอนาคต ซึ่งคงมิได้จำกัดแค่ยานยนต์สองล้อ แต่มีเป้าหมายในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์สี่ล้อให้กับผู้ผลิตยานยนต์รายอื่นๆ ด้วย
ไทยซัมมิทเป็นอีกหนึ่งกิจการของไทยที่ได้มาปักธงแห่งความสำเร็จแล้วในอินเดีย และได้สร้างความภูมิใจให้กับคนไทยที่บริษัทฯ สามารถยืนเคียงข้างกับบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ทั้งนี้ โมเดลทางธุรกิจของบริษัทฯ น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสำหรับภาคเอกชนไทยรายอื่นๆ ที่จะได้ใช้เป็นกรณีศึกษาในการเข้ามาลงทุนและบุกตลาดในอินเดียต่อไปในอนาคต
****************************
รายงานโดย ดร. พรพิมล สุคันธวณิช
สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจนไน